เฉียนเพ่ยอิงดีใจ ไม่คิดว่าจะทำสำเร็จ ไม่เสียแรงที่ลงมือทำ
แต่ว่า “มีคนอยู่นี่ตั้งมากมาย ทำไมท่านถึงไม่เรียกข้าหน่อย ข้านอนอยู่ตรงนี้ ใครมาก็เห็น ดูน่าเกลียด”
“กลัวอะไร มองเจ้าไปจะทำอะไรได้” ซ่งฝูเซิงกล่าวอย่างอารมณ์ดี “เจ้านอนเป็นไงบ้าง?”
เฉียนเพ่ยอิงถอนหายใจ บนภูเขาที่ต้องนอนอยู่บนรถเข็นที่ลาดเอียง นางจะนอนได้อย่างไร ต่อสู้กับยุงทั้งคืน ทำให้ยุงกินไม่อิ่ม ส่วนนางก็นอนไม่สบายนัก นางกับยุงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
“ท่านควรใส่เสื้อนอกคลุมสักตัวหนึ่ง ข้าจะไปหามาให้ ตอนเช้ากับตอนเย็น อากาศเย็นนัก ข้าเห็นน้ำมูกของท่านไหลเป็นน้ำแข็งออกมาแล้ว เป็นหวัดไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลยนะ บ้านเราไม่ใช่ไม่มีเสื้อผ้าสักหน่อย”
ซ่งฝูเซิงรีบดึงเฉียนเพ่ยอิงไว้ไม่ให้ไปหาเสื้อผ้า มิหนำซ้ำการเปิดกระเป๋าเดินทางก็ค่อนข้างยุ่งยาก เขาไม่หนาว แต่เขาหิว
เขาลุกขึ้นมาตอนตีสองกว่า แล้วทำงานมาตั้งแต่เวลานั้น ท้องของพี่ชายใหญ่กับพี่ชายรองก็ร้องออกมาด้วยความหิวเช่นกัน ให้นางรีบไปทำอาหารก่อนดีกว่า แค่น้ำซุปก็คงสามารถบรรเทาความหิวของเขาได้
เฉียนเพ่ยอิงรับปาก เดิมจะเก็บผ้าห่มกลับไปด้วย แต่ซ่งฝูเซิงห้ามไว้ก่อน
บอกให้นางวางไว้ตรงนั้น รอจนบุตรสาวตื่นค่อยนำไปวางไว้ในเต็นท์ของนาง ตอนนี้มีสิบกว่าครอบครัวอยู่ที่นี่ คนเยอะแยะอาจหยิบผิดไปได้ พวกเสื้อผ้า ผ้าห่มกับกระเป๋าสัมภาระของพวกเราถูกวางไว้ที่เต็นท์บนต้นไม้แล้ว
“เหล่าซาน เจ้ามาดูสิ ทำแบบนี้ใช่ไหม?”
ซ่งฝูเซิงรีบตอบกลับไป “ดูสิ ข้าดูก่อน” เขากลายเป็นที่ปรึกษาเกี่ยวกับการทำถ่านไปแล้ว
ซ่งหลี่เจิ้งที่ไอค่อกแค่กเดินขึ้นเนินเขาไม่ได้หยุดพักก็พูดเอ่ยชม “ดูท่าจะต้องเป็นบัณฑิตถึงมีสมองอันฉลาดหลักแหลม คิดไม่ถึงว่าจะเผามันออกมาได้จริงๆ”
ลุงใหญ่ที่อยู่ด้านหลังพูดเสริมขึ้นมา “นั่นเป็นเรื่องแน่นอน ตั้งแต่เล็ก เขาเป็นเด็กที่มีอนาคตที่สุดในหมู่บ้าน หลายคนรวมกันยังเทียบเขาคนเดียวไม่ได้เลย”
ซ่งฝูเซิงรู้สึกว่า นี่จะไม่เป็นการเยินยอข้ามากไปหน่อยหรือ? คนอื่นได้ยินจะคิดอย่างไร
“ข้ามิกล้า เมื่อไหร่พวกเราจะได้มีความรู้บ้าง ไม่ใช่ว่าได้เรียนหรือไม่ได้เรียนหนังสือ ข้าเองก็แค่อ่านออกเขียนได้ไม่กี่คําเท่านั้น ไม่ได้มีความรู้มากมายอะไรหรอก”
“ท่านลุง ท่านยังบอกว่าตนเองไม่มีความรู้อีกหรือ?”
“ในปีนั้นที่เจ้าสอบซิ่วไฉได้อันดับหนึ่ง และเป็นปีที่เจ้าสอบได้ถงเซิงจนต้องป่าวประกาศ ข้าดีใจเป็นอย่างมาก หลายปีมานี้คนอื่นไม่ได้เข้าเมืองไปสอนหนังสือ มีแค่เพียงเจ้า ในสายตาของข้า เจ้าเป็นคนเฉลียวฉลาด เอ่ยถึงปีนั้นไปก็ชื่นชมไปด้วย”
ลุงใหญ่นั่งอยู่บนก้อนหิน ทุบขาตนเองไปพลางและเอ่ยขึ้นมา
“ตอนนี้เจ้าทำถ่านออกมาได้ ทำไมคนอื่นถึงทำไม่เป็น?…
…ตอนนี้ก็เรียนรู้กับเจ้า พวกเขาได้เรียนรู้จากเจ้า จะเผาได้ดีเหมือนอย่างเจ้าได้อย่างไร?…
…ฝูเซิง พวกฝูลู่ไปทำเพิงที่พักแล้ว ไม่เช่นนนั้นตอนเย็นจะไม่ที่นอน เจ้าเผาถ่านสักเตาหนึ่งให้ลุงใหญ่หน่อย ขาข้ากับพวกเด็กๆ ทนความหนาวเย็นไม่ได้ เจ้าเหนื่อยหน่อยนะ”
พอพูดจบลุงใหญ่ก็หันไปพูดกับซ่งหลี่เจิ้งที่กำลังดูดไปป์จีน “ฝูเซิงน่ะ เป็นคนกตัญญู ก่อนที่พ่อข้าจะจากไปได้กำชับข้าไว้ ให้คอยช่วยเหลือดูแลหน่อย บอกว่าไม่เสียแรงที่เลี้ยงดู มองคนไม่ผิดหรอก”
ซ่งฝูเซิงในที่สุดก็เข้าใจ
ฮ่ะ จริงๆ เขาไม่ได้มีจุดประสงค์จะเยินยอแค่อย่างเดียวหรอก แต่ทำไปเพื่อหวังผลประโยชน์ต่างหาก
ตอนนี้ไม่ได้ใช้สถานะญาติผู้ใหญ่แล้ว เริ่มใช้วาจาหว่านล้อมกับความสัมพันธ์ใกล้ชิดจนถึงขั้นเอ่ยถึงท่านปู่ที่เสียชีวิตไปแล้ว ตาเฒ่าคนนี้มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวนัก
ซ่งฝูเซิงไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ ไม่ได้รับปากหรือปฏิเสธแต่อย่างใด
เขาทำเหมือนไม่ได้ยิน ยังนั่งคุกเข่าทำช่องระบายอากาศแปดช่องใต้โคลน โน้มตัวลงไปสอนเกาเถี่ยโถ่วว่าต้องทำอย่างไรบ้าง
ซ่งฝูไฉพี่ชายคนโตของซ่งฝูเซิง เห็นลุงใหญ่กำลังรอคำตอบรับจากน้องสาม ลุงใหญ่นั่งยิ้มอยู่บนก้อนหินคนเดียวจนเกือบฝืนยิ้มไม่ไหว สายตาของเขาก็จ้องมองน้องสาม
ลุงหลี่เจิ้งที่กำลังสูบไปป์จีนอยู่ด้านข้างก็ไม่พูดคุยด้วย เขารู้สึกเคอะเขินแทนลุงใหญ่
รู้สึกเสียหน้า
ซ่งฝูไฉถึงกับถอนหายใจ
ปู่ทิ้งควายหนึ่งตัวไว้ให้ ทำให้ลุงใหญ่ที่เป็นญาติแท้ๆ กลับดูห่างเหินไม่สนิทสนมกัน ท่านแม่กับป้าใหญ่มีปากเสียงกันทุกวัน จากเดิมที่เคยเป็นญาติสนิทชิดเชื้อ กลับต้องมาห่างเหิน กลายเป็นเรื่องน่าขบขันของคนในหมู่บ้าน
พวกเขาเป็นพี่ชาย ไม่อยากให้เป็นแบบนั้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติทั้งครอบครัว
น่าสนุกจัง...