ก่อนลงจากภูเขา ซ่งฝูเซิงคอยอบรมคนจำนวนเกือบสองร้อยคน ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมง หลังได้รับการอบรมไปแล้วจะได้ผลหรือไม่นั้นก็ไม่อาจล่วงรู้ได้ แต่ทุกคนก็ตั้งใจฟังเป็นอย่างดี
ทันใดนั้นเอง ในขบวนก็เกิดเหตุโกลาหลอลหม่าน ไม่มีใครทันได้ถามว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น
หนิวจั่งกุ้ยกับพวกเกาถูฮู่ที่คอยบังคับรถ รีบดึงบังเหียนให้รถหยุด พวกเขาหยิบอาวุธข้างกายที่ทำขึ้นเองและกระโดดลงจากรถเพื่อไปช่วยคุ้มกัน
ซ่งฝูเซิงได้สั่งการพวกเขาไว้แล้วว่า หากเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นก็ไม่ต้องสนใจ คอยทำหน้าที่ปกป้องคนและสิ่งของบนรถก็พอ
กลุ่มเด็กหนุ่มสิบกว่าคนตื่นตัวขึ้น สีหน้าที่เหน็ดเหนื่อยหายไปทันที ง่ามไม้ในมือที่อยู่ด้านหน้าตวัดไปมา ทำท่วงท่าเหมือนกับกำลังเอามีดจ้วงแทง
พวกเด็กหนุ่มต่างจดจำหน้าที่ของตนเองได้เป็นอย่างดี
อาสามบอกแล้วว่า ไม่ว่าด้านหลังขบวนจะเป็นอย่างไรก็อย่าได้สนใจ หน้าที่ของพวกเขาก็คือป้องกันไม่ให้พวกผู้ลี้ภัยที่อยู่ด้านหน้าหันมาโจมตีพวกเขา ทำเช่นนี้เพื่อไม่ให้โดนโจมตีพร้อมกันทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
ชายฉกรรจ์ที่กำลังเข็นรถได้แบ่งหน้าที่แยกย้ายกันออกไปจัดการคนที่มาก่อกวน เหลือชายฉกรรจ์คนหนึ่งไว้คอยป้องกัน ส่วนหนึ่งคอยปกป้องรถเข็นสี่คันที่อยู่บริเวณใกล้เคียง จับมือกันไว้และป้องกันไม่ให้คนแปลกหน้าเข้ามาใกล้เสบียงที่มีผู้คุ้มกัน ในมือต่างถืออาวุธ กันไม่ให้คนแปลกหน้าเข้ามาใกล้ได้ ถ้าใครเข้ามาก็จะลงมือฟันไม่เลี้ยง
พวกผู้หญิง ไม่ว่าจะเป็นพวกที่นั่งอยู่บนรถหรือเดินเท้าอยู่ด้านล่างก็มีการเคลื่อนไหวเช่นกัน
พวกนางรีบหยิบตะหลิว หม้อที่อยู่ใกล้มือขึ้นมา ส่วนคนที่เดินเท้า ในมือก็กระชับถือไม้เท้า และดึงเด็กๆ เข้ามาใกล้ตัวเพื่อช่วยปกป้อง โดยต่างหาสิ่งของข้างกายมาใช้เป็นอาวุธ
พวกผู้หญิงจำได้ดี โดยเฉพาะหญิงสาวที่แต่งงานมีครอบครัวแล้ว ซ่งฝูเซิงพูดกับพวกนางตั้งแต่ตอนเช้า
“หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น ไม่ต้องเอะอะโวยวายเสียงดัง ร้องไห้โวยวายไปก็ไม่มีประโยชน์ ไม่ว่าเวลาไหนก็อย่าคาดหวังกับคนรอบข้าง ถึงแม้ว่าคนข้างกายคือสามีของเจ้าก็ตาม…
…หากคาดหวังว่าสามีของเจ้าจะช่วยเหลือเจ้าในยามคับขัน ถ้าเกิดเหตการณ์คับขันจริงๆ แล้วเขาต้องช่วยแม่ของเขาเล่า พวกเจ้าจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเวลานั้นชีวิตของเจ้าสำคัญมากกว่าแม่ของเขา? เชื่อมั่นในตนเองเท่านั้นคือสิ่งที่ดีที่สุด…
…พวกเจ้าไม่ได้เป็นเพียงแค่ผู้หญิงเท่านั้น แต่ยังเป็นแม่ของลูกด้วย ต้องกล้าหาญที่จะต่อสู้เพื่อลูกของตนเอง”
ตอนนี้ชายฉกรรจ์ที่ไม่ต้องเข็นรถ นอกจากพี่น้องในครอบครัวกัวแล้ว พวกเขาต้องคอยช่วยกันระวังป้องกันจากด้านหลัง ชายแต่ละคนถือมีดหั่นผัก ถือขวาน วิ่งออกไปสุดกำลังความสามารถ ไม่มีใครสักคนที่เห็นแก่ตัวจนถอยร่นกลับมา
แม้แต่ตาเฒ่าซ่งหลี่เจิ้งก็กระโดดลงจากรถวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ขณะวิ่งไปก็ชูขวานที่อยู่ในมือไปพร้อมตะโกน “หากกล้ามาแย่งชิงเสบียงพวกข้า ทำกับครอบครัวหนึ่งก็เหมือนทำกับทุกคน พวกเจ้าจงออกไปฆ่าฟันมันให้หมด!”
ในตอนนั้น พวกผู้ลี้ภัยสิบกว่าคนเข้ามารายล้อมคุณยายหวัง ชั่วพริบตาเดียวก็ถูกพวกซ่งฝูเซิงทั้งเตะทั้งต่อย
มีดฟันเข้าที่ด้านหลัง แขน และขาของผู้ลี้ภัยที่ฉวยโอกาสแย่งชิงสเบียงอาหารท่ามกลางความโกลาหล
ไม้กระบองทุบโดนเนื้อจนมีเสียงดัง ควงควง
หวังจงอวี้ ยกจอบฟันลงไป โดนขาและเท้าของอีกหลายคน
ส่วนพี่น้องตระกูลหวังอีกสองคน ทั้งเตะทั้งต่อยผู้ลี้ภัยที่จับแม่ของพวกเขาไม่ยอมปล่อย
ทุกครั้งที่ยกมีด อีโต้ จอบ ไม้กระบองขึ้นมา ในใจของชายฉกรรจ์ทั้งหลายจะคิดถึงคำสั่งก่อนลงจากเขาของซ่งฝูเซิงเสมอ
“เมื่อคนเราอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง มักจะมีความคิดที่ชั่วช้า การจะทำดีหรือทำเลวจึงมักเกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตาเดียว…
…มีเพียงบางคนเท่านั้น ที่ในบางเวลาจะทำเกินขอบเขต…
…หากเจ้าไม่กล้าลงมือรุนแรงกับพวกเขา พวกเขาก็สามารถทำร้ายเจ้าจนถึงแก่ชีวิตได้”
รถลากถูกขวางให้จอดอย่างกะทันหัน ซ่งฝูหลิงรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนจนตื่นขึ้นมา ในมือถือมีดปลายแหลม นางหันหน้าไปมองสถานที่เกิดเหตุ
เมื่อหันไปเห็นภาพ โดยเวลาปกตินางจะเป็นเด็กสาวที่ไม่ชอบการร้องไห้ แต่ตอนนี้ภาพที่เห็นทำให้จิตใจหวั่นไหวจนน้ำตาคลอเบ้า
เพราะผู้ลี้ภัยพวกนี้ที่ถูกตีจนเลือดอาบ ไม่รู้ว่าใครเป็นคนนำให้นั่งคุกเข่าลง พวกเขาต่างร้องบอกว่าไม่ได้เข้ามาแย่งชิงสิ่งใด
มีห้าหกคนที่คุกเข่าลงก่อน
หลังจากนั้นก็มีอีกสิบกว่าคนคุกเข่าด้วย
หลายสิบคนคุกเข่าตาม
พวกผู้ลี้ภัยที่อยู่ท้ายขบวนก็คุกเข่า ประสานมือเป็นกำปั้นตรงหน้าอก แสดงความคารวะ ทุกคนต่างวิงวอน “ขอร้องพวกท่านเถิด ได้โปรดให้อาหารพวกเรากินหน่อยนะ พวกท่านมีรถ จะต้องมีอาหารแน่นอน ขอกินแค่นิดหน่อยก็ได้”
พวกชายฉกรรจ์หยุดตีพวกผู้ลี้ภัย พวกเขาถืออาวุธเอาไว้กระชับแน่นและเฝ้าระวัง พวกเขามองคนกลุ่มใหญ่ที่คุกเข่าลงด้วยท่าทีที่สงบนิ่งอยู่กับที่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติทั้งครอบครัว
น่าสนุกจัง...