“ถึงกับพูดไม่ออก...ฉันไม่คิดจะลองอะไรเล่นๆ กับเธอหรอกนะ เพราะมันคือธุรกิจมีความเสี่ยงสูง ถ้าไม่รอบคอบก็เจ๊งกันพอดี” รอยแสยะยิ้มเยาะเย้ยทำให้ใบหน้าสวยชาวาบ เขาช่างดูเหมือนซาตานกระหายเลือดเสียจริงยิ่งเวลามองอย่างกับจะกลืนกินเธอได้ทั้งตัว
“คุณธีร์คะ แบบนี้พิตต้าจะทำงานร่วมกับหลานชายคุณได้ยังไง พิตต้าจะทำอะไรเค้าก็เห็นเป็นเรื่องไร้สาระไปหมด” หญิงสาวทำเสียงอ้อนฟ้องคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ทำให้เขาต้องถอนหายใจเฮือกใจ
“ไม่เอาน่า เสนอความคิดของใครของมันมา แล้วเปรียบกันด้วยเหตุผลความเหมาะสม ถ้ามันไม่ได้จริงๆ ล่ะก็ฉันจะตัดสินใจเอง”
“ขอบคุณนะคะที่ยังเมตตามองเห็นความสำคัญของพิตต้า” คนสวยเอียงศีรษะซบไหล่กว้างอีกครั้ง
“ฮึ แบบนี้สงสัยความคิดผมคงตกกระป๋องนะครับอา จะให้ไปทำเสียงอ่อนเสียงหวานอ้อนใครแบบนี้ผมทำไม่ได้หรอก”
“แล้วแกจะไปอ้อนใครล่ะ” ธีร์สวนทันควันทำให้คนถูกโต้กลับอึกอักพูดอะไรไม่ถูก
“จะ จะไปอ้อนใครได้ครับอา ผะ ผมว่าผมไปดีกว่าอยู่นาน แล้วคลื่นไส้ยังไงไม่รู้”
“เชิญค่ะ พิตต้าก็รู้สึกเหม็นๆ กลิ่นสาปอะไรซักอย่างเหมือนกัน”
“ไม่เอาน่าพิตต้า”
“แหม ก็คุณธัญญ์จงใจประชดประชันพิตต้าก่อนนี่ค่ะ สงสัยจะอิจฉาที่ไม่มีใครรัก” หญิงสาวทิ้งคำพูดท้ายประโยคอย่างเยาะเย้ย ก่อนจะเชิดหางตามองคนที่กำลังจะเดินออกไปมันทำให้มือหนาบีบเข้าหากันจนแน่น ธัญญ์ไม่กล้าหันกลับไปมองหน้าคนทั้งสอง เขาไม่อยากเห็นภาพคลอเคลียออดอ้อนราวกับรักกันจะเป็นจะตาย ถึงแม้เสียงหวานจะดังก้องอยู่ในประสาทหูเขาก็ต้องฝืนกั้นอารมณ์ ขายาวก้าวออกอย่างกระตุกมันเกือบจะไม่ทำตามคำสั่งของเขาเสียแล้ว ธัญญ์ต้องควบคุมตัวเองให้ออกไปเร็วที่สุด
ค่ำคืนที่หัวใจคนหนุ่มว้าเหว่เงียบเหงา แสงเสียงอึกกระทึกไม่ช่วยให้สมองของเขาโลดแล่นตามจังหวะเพลงมันๆ ที่สาวโคโยตี้เอวบางกำลังโยกย้ายส่ายบั้นท้าย ธัญญ์รับรู้เพียงแค่เขากำลังโกรธเกลียดใครบางคนเอามากๆ ไม่รู้จะมีวิธีไหนช่วยให้ความรู้สึกบ้าๆนี่จางหายไปซักที สุราในแก้วใสตรงหน้าที่เขาใช้เป็นที่พึงก็ดูเหมือนจะไม่ช่วยอะไรเลย ชายหนุ่มกระดกแก้วขึ้นดื่มน้ำสีอำพันจนหมดไปหลายแก้ว ความกลัดกลุ้มเหมือนคลุขึ้นมาเรื่อยๆ
“คิดอะไรอยู่คะคุณธัญญ์” เสียงที่ถูกดัดให้เล็กราวกับสาวแรกรุ่นดังอยู่ด้านหลัง ชายหนุ่มเอียงหน้ามองเล็กน้อยราวกับไม่ใส่ใจ
“เปล่าครับ”
“โด่งเห็นคุณนั่งดื่มตั้งแต่หัวค่ำแล้ว ไม่กลัวเมาเหรอคะ”
“ถ้ากลัวผมคงไม่ดื่ม”
“แบบนี้มีแต่คนที่กำลังทุกข์เท่านั้นแหละค่ะที่ทำ”
“ฮึๆ ผมเนี่ยนะทุกข์ ดูสิบาร์ออกจะกิจการดี มีสาวเพียบขนาดนี้ มีเรื่องอะไรที่คนอย่างผมจะต้องทุกข์ใจครับคุณโด่ง” ดนุพรมองหน้าคมเข้มแล้วยิ้มให้กับการกลบเกลื่อนที่ไม่แนบเนียนนั้น
“อืม ก็อาจจะไม่ใช่เรื่องงาน อกหัก โดนแย่งแฟน หรือรักสามเศร้าทำนองนั้นมั้งคะ” คนถึงกับกลืนน้ำลายอย่างยากลำบากมันทั้งฝืนเหนียวอยู่ในลำคอ
“ว่าไงคะ...โด่งพูดแทงใจดำเหรอ”
“ไม่มีครับ ผมไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น” ชายหนุ่มปฏิเสธไม่เต็มเสียงนัก เขาหลบสายตาที่ค้นหาคำตอบของดนุพรแต่ก็ไม่มีสิ่งไหนจะช่วยเรียกความสนใจของเขาเลยซักนิดนอกจากแก้วใสในมือ
“อุ๊ย พอๆเถอะค่ะ ดื่มมากขนาดนี้เดี๋ยวก็กลับบ้านไม่ไหวหรอก”
“ไม่ไหวก็ไม่ต้องกลับ”
“จะนอนค้างที่นี่ได้ยังไงคะ...โด่งว่าถ้าคุณธัญญ์ไม่ไหวกลับบ้านก่อนก็ได้ค่ะที่เหลือโด่งดูแลให้เอง”
“ฮึๆ คุณสองคนอาหลานมีแผนอะไรกันแน่ คิดจะมีปลอกลอกเงินทองของอาธีร์หรือไง”
“อย่าคิดอย่างนั้นค่ะ เพราะโด่งไม่เคยคิดจะทำ”
“แล้วมันอะไร พวกคุณไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่จะมาวุ่นวายกับครอบครัวของผม”
“มันพูดยากค่ะคุณธัญญ์”
“ยากอะไรกัน ก็แค่บอกมาว่าทำทุกอย่างเพื่ออะไร เอาบาร์นี่มาขายเอาเงินไปทุกอย่างมันก็จบ”
“ขะ ขายเหรอคะ โด่งไม่ได้อยากจะขายบาร์ซะหน่อย” ดนุพรตอบเสียงสั่นเครือ
“แล้วยังไงอาธีร์ก็จ่ายเงินไปแล้วนี่นาทำไมยังไม่จบอีก ยังเอาหลานสาวมายกให้เป็นเมีย หรือคิดจะขายหลานสาวอีกคนกันล่ะ” ดวงตากลมเป็นประกายแวววาวหยดน้ำใสคลออยู่ที่ริมขอบตา หล่อนเม้มปากอย่างสะกดกั้นอารมณ์โศกเศร้า ก่อนจะค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่ม
“ฟังให้ดีนะคะ โด่งไม่ได้ขายบาร์ แต่มันกำลังจะถูกเจ้าหนี้ยึด แล้วคุณธีร์ก็ยื่นมือเข้ามาช่วยจ่ายหนี้ให้ แต่โด่งไม่มีปัญญาเอาเงินมากมายขนาดนั้นมาใช้คืนก็เลยต้องยอมยกบาร์ให้คุณธีร์” หล่อนเอ่ยตอบพร้อมน้ำตาที่กั้นไว้ไม่อยู่
“งั้นเหรอ ยกให้แล้วมันก็จบทำไมยังไม่ไปผุดไปเกิดกันอีกล่ะ” ชายหนุ่มกรรโชกด้วยความโมโห
“โด่งกับพิตต้าไม่ใช่ผีสางนะคะ จะได้ให้ไปผุดไปเกิด”
“มันก็ตระกูลเดียวกันสูบเลือดสูบเนื้อเกาะกันอยู่แบบนี้เค้าเรียกอะไร”
“คุณธัญญ์...โด่งก็แค่ไม่อยากเสียบาร์ไปเพราะเป็นสมบัติชิ้นเดียวที่โด่งมีอยู่”
“งั้นเหรอ เอาเงินมาไถ่คืนซะสิ” แก้มคนหนุ่มกระตุกอยู่หลายครั้ง เขาแทบไม่อยากระงับอารมณ์เอาไว้มันทำให้อึดอัดแต่คนตรงหน้าก็ไม่ใช่คนที่เขาอยากจะระเบิดอารมณ์ใส่
“ถ้าโด่งมีเงิน จะทนให้พวกคุณมาดูถูกอยู่แบบนี้เหรอคะ”
“ฮึๆ แล้วไงขายหลานสาวเพื่อจะเอาเงินมาซื้อบาร์คืนว่างั้นเถอะ” น้ำเสียงเขายังคงเยาะเย้ยไม่จบสิ้น ดนุพรมองหน้าของคนใจร้ายแล้วก็นึกหวาดกลัวที่ปล่อยให้หลานสาวเข้าไปอยู่ร่วมชายคาด้วย
“ว่าไง ตอบมาซิ ตอบมา” ธัญญ์จับไหล่บางเขย่าเคล้นหาคำตอบ
“โอ๊ย เจ็บนะคะ ฮือ”
“สำออยทั้งอาทั้งหลานเลยจริงๆ ตอบมาสิว่ามันเกิดอะไรขึ้นทำไมพิตต้าต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับอาธีร์ด้วย”
“ฮึ ที่คุณอยากรู้เพราะเป็นห่วงอา หรือว่าหึงยายพิตต้ากันแน่คะ...โด่งมองออกนะ” มือหนาบีบไหล่คนไม่มีทางสู้เอาไว้แน่นดวงตาจ้องมองราวกับจะกินเลือด ความโมโหโกรธาในตัวเขามันพร้อมจะระเบิดใส่ทุกคนที่เขาเข้าใกล้
“อย่าง...มา...สู่...รู้” ชายหนุ่มตอบช้าๆเน้นคำพูดชัดเจนก่อนที่จะผลักดนุพรให้ออกห่างจากตัวเขา
“โอ๊ย” หล่อนเซถลาไปกระแทกโต๊ะใกล้จนข้าวของล้มลง
“โด่งไม่ได้อยากจะรู้ความรู้สึกของคุณหรอกค่ะ ถ้าผู้หญิงที่คุณกำลังดูถูกไม่ใช่หลานสาวของโด่ง”
“ยายหลานสาวตัวแสบ ฮึ คงกำลังออดอ้อนอาธีร์อยากได้โน่นนี่อยู่ล่ะสิ”
“พิตต้าไม่ใช่คนแบบนั้นนะคะ...หลานโด่งว่านอนสอนง่ายไม่ดื้อไม่ร้ายกาจซะหน่อย”
“ปกป้องกันจริงๆ แต่ฉันไม่เชื่อเพราะที่ผมเห็นมันเลวร้ายกว่านั้น”
“อย่าดูถูกหลานโด่งนะคะ”
“คุณเองไม่ใช่เหรอที่ทำให้ผมต้องดูถูกพิตต้า” ดนุพรเม้มด้วยขมขื่นมันเป็นความอัปยศสิ้นดีที่ส่งหลานตัวเองไปเป็นภรรยาของธีร์ ผู้ชายคนที่เอ่ยปากบอกรักหล่อน แต่คนไม่มีเพศอย่างหล่อนมีหรือจะกล้ารับรักผู้ชายแสนดีคนนั้นได้ หล่อนไม่อยากจะให้ใครมาด่าว่าธีร์หากเลือกหล่อนเป็นคู่ชีวิต
“ค่ะ โด่งยอมรับว่าทุกอย่างเป็นความคิดของโด่งเอง”
“ฮึๆ สมรู้ร่วมคิดกันมากกว่า”
“ไม่ใช่ค่ะ พิตต้าไม่เกี่ยวข้องอะไรทั้งนั้น” ดนุพรรีบแก้ตัวให้หลานสาวทันที
“งั้นเหรอ ฮึๆ น่าสรรเสริญอาหลานคู่นี้จริงๆ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทัณฑ์นางโลม