ที่จริงแล้ว ข้าคือเซียนผู้ยิ่งใหญ่ นิยาย บท 49

สรุปบท ตอนที่ 49: ที่จริงแล้ว ข้าคือเซียนผู้ยิ่งใหญ่

อ่านสรุป ตอนที่ 49 จาก ที่จริงแล้ว ข้าคือเซียนผู้ยิ่งใหญ่ โดย Internet

บทที่ ตอนที่ 49 คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน ที่จริงแล้ว ข้าคือเซียนผู้ยิ่งใหญ่ ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

ในที่สุดภายใต้การจ้องมองอย่างกระตือรือร้นของ ฉินม่านหยุนเมิ่งจุนเหลียงก็มาอย่างช้าๆ

ทันใดนั้นร้านอาหารทั้งร้านก็เงียบลงมีเพียงเสียงของ เมิ่งจุนเหลียงเท่านั้นที่ดังออกมาช้าๆ

”จักรพรรดิหยกประกาศกฤษฎีกาเชิญ ซันฉิง(สาม), สื่อหยู(สี่), อู่เหล่า(ห้า), หลิ่วซิ(หก), ชีหยวน(เจ็ด), ปาจี(แปด), จิ่วเหยา(เก้า), ซื่อตู(สิบ) และ เฉียนเจินเทียน พระหลายพันรูปมาที่นี่และขอบคุณพระยูไล นอกจากนี้เขายังสั่งให้สี่ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่และนางฟ้าเก้าสวรรค์เปิด ยูจงจินคู, วังไท่ซวนเปา, หอหยกตงหยาง และเชิญพระตถาคตให้นั่งที่ฉีเปาหลิงเทียน ชั้นใส่อาหารแต่ละชั้นมีตับของมังกรและไขกระดูกวิหคเพลิง… “(ผู้แปลไม่มีความรู้เรื่องไซอิ๋วแปลผิดก็ขออภัย)

งานเลี้ยงที่ดูหรูหราถูกยรรยายให้ทุกคนฟังแม้ว่าจะเป็นเพียงในเรื่อง แต่พวกเขาก็ไม่กล้าหายใจ

ชื่อและตำแหน่งของเทพเจ้าที่เข้าร่วมงานเลี้ยงทำให้พวกเขามึนงงและเกือบสูญเสียความสามารถในการคิด

สำหรับตับมังกรและไขกระดูกฟีนิกซ์บนโต๊ะอาหาร พวกเขาก็ไม่อยากคิดถึง

นั่นคือมังกรและนกฟีนิกซ์ซึ่งเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในสมัยโบราณพวกมันอยู่ในดินแดนแห่งความเป็นอมตะ เมื่อพวกมันถือกำเนิดในสายตาของผู้ฝึกตนพวกเขาทำได้เพียงก้มหัวด้วยความเคารพ

แต่เมื่อยู่ที่วังสวรรค์มังกรและฟินิกซ์เป็นได้เพียงอาหาร

แย่มาก มันแย่มาก!

ในขณะที่ตกใจ ฉินม่านหยุนไม่ลืมที่จะเชื่อมโยงและไตร่ตรองถึงความหมายอันลึกซึ้งที่มีอยู่ภายในนั้น

นักปราชญ์กล่าวกับนางว่า เขาต้องการที่จพทดสอบความเข้าใจของนาง นางต้องต้งใจฟังอย่างมาก

นางขมวดคิ้วและกลั้นหายใจ

เทียงกงกำลังเฉลิมฉลองที่สามารถปราบปรามราชาวานรสำเร็จซึ่งคล้ายกับการเฉลิมฉลองในโลกอมตะของเราหลังจากเอาชนะศัตรูที่ทรงพลังได้สำเร็จเหมือนกัน

ผู้แพ้อยู่เบื้องล่างภายใต้ฝ่าเท้าของผู้ชนะและไม่สามารถพลิกกลับได้ส่วนผู้ชนะก็เฉลิงฉลองให้แก่ชัยชนะของตนเอง

ส่วนมังกรและนกฟีนิกซ์สิ่งเหล่านี้ไม่ได้แตกต่างจากของธรรมดาในสายตาของเหล่าเทพ

นอกเหนือจากการมีพลังที่มากล้นแล้วผู้เป็นอมตะก็ไม่ต่างจากผู้ฝึกตน

นี่หมายความว่าอย่างไร?

ฉินม่านหยุนยังคงฟังต่อไป

น้ำเสียงของนักปราชญ์คงที่และโครงเรื่องก็ก้าวหน้าทีละเล็กทีละน้อย

หลายคนมองว่ามันเป็นเรื่องเล่า แต่บางคนก็ค่อยๆขมวดคิ้วด้วยความคิด

ข้ามักจะรู้สึกว่ามีความลับที่ยิ่งใหญ่อยู่เบื้องหลังนี้

ราชาวานรถูกปราบปรามและเรื่องเล่าเกี่ยงข้องกับพระพุทธศาสนามากขึ้น

”เมื่อพระโพธิสัตว์ทั้งหลายได้ยินดังนั้นก็จับมือกันแล้ว เข้าไปถามพระตถาคตว่า” องค์ยูไล มีพระไตรปิฎกอยู่เท่าใดหรือ? “องค์ยูไลตอบกลับว่า:” อาตมามีพระไตรปิฎกสำหรับสนทนาธรรม มีสำหรับเข้าใจฟ้าดิ มีช่วยนำทางผี ทั้งหมดสามสิบห้าส่วน หนึ่งหมื่นห้าพันหนึ่งร้อยสี่สิบสี่เล่ม สำหรับการฝึกตนสู่ประตูแห่งธรรม

อาตมาจะไปที่ดินแดนตะวันตก… สอนให้เขาเดินทางผ่านภูเขาแห่งความยากลำบากนับพันเดินทางผ่านน่านน้ำนับพันมาหาข้าเพื่ออัญเชิญพระไตปิฎกไปที่ดินแดนตะวันออกชั่วนิรันดร์และสอนให้เขาเป็นสัตว์ที่มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี มันเป็นพรอันยิ่งใหญ่แก่ภูเขาและทะเล มีพระรูปใดจะไปกับอาตมาหรือใม่? “”

นี่นี่นี่ …

ฉินม่านหยุนจ้องมองไปที่ เมิ่งจุนเหลียงด้วยดวงตาที่เปิดกว้าง

จุดเริ่มต้นของ “ไซอิ๋ว” ก็ปรากฏขึ้นสมองของ ฉินม่านหยุน

เดินทางไปทางตะวันออกเพื่อตามหาพระไตปิฎกจากทางตะวันตก แต่ เมิ่งจุนเหลียงได้รับคำสั่งจากผู้เชี่ยวชาญให้ไปทางทิศตะวันตกความแตกต่างคือคนหนึ่งแสวงหาความจริงในทางทิศตะวันตกและอีกคนหนึ่ง ต้องไปเทศนาทางตะวันตก!

มันคือการเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปทั่วโลก

เหตุใดเขาจึงต้องการเทศนาไปทางทิศตะวันตกความหมายคืออะไร?

และเมื่อนักปราชญ์พูดถึงการพิชิตราชาวานรและปล่อยให้เขาคุ้มครองพระถังไปสวรรค์ตะวันตกเพื่ออัญเชิญพระไตรปิฎก การหายใจของฉินม่านหยุนก็หนักยิ่งขึ้น

ราชาวานรเป็นกบฏและมีอำนาจและถูกพระยูไบปราบเป็นเวลาห้าร้อยปีเขาจะปกป้อง พระถัง อย่างเต็มใจการไปแญเชิญพระไตรปิฎก

เมิ่งจุนเหลียงเหลือบมองไปที่ฉินม่านหยุน วันนี้เขาเล่ามากกว่าปกติ

”ใช่” ฉินม่านหยุนพยักหน้า “พวกเราผู้ฝึกตนที่ไล่หาความเป็นอมตะ แต่เมื่อสิ้นสุดการฝึกตน เจ้าจะพบว่าการเป็นอมตะนั้นไม่มีประโยชน์อะไรเลย เป็นเวลาหลายพันปีแล้วที่ไม่เคยมีใครขึ้นไปยังโลกเทพเลยสักคน”

ลั่วซือหยูกล่าวด้วยความไม่เชื่อ: “อะไรนะมันเกิดขึ้นได้ยังไงมีตำนานมากมายของการกลายเป็นอมตะมาก่อน?”

”มันเคยมีอยู่ก่อนหน้านี้ แต่แล้วมันก็หายไป” ฉินม่านหยุนกล่าวด้วยเสียงต่ำ: ” ด้วยเหตุนี้วังเต๋าของเราจึงติดต่อกับบรรพบุรุษที่อยู่ที่โลกเทพด้วยวิธีพิเศษและพวกเราได้รับเพียงข่าวว่าเส้นทางสู่ความเป็นอมตะพังทลายลง แต่ ไม่มีใครรู้สาเหตุ “

”ฟ่อ–“

ลั่วซือหยูสูดลมหายใจข่าวดังกล่าวกระทันหันจนหัวของนางสูญเสียความสามารถในการคิดชั่วคราวและมันอาจเป็นความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกแห่งฝึกตน!

ไม่น่าแปลกใจเลย มันเป็นเวลานานมากแล้วที่ผู้ฝึกตนคนสุดท้ายกลายเป็นอมตะ

เส้นทางสู่ความเป็นอมตะ… พัง?

!

ฉินม่านหยุนลุกขึ้นเดินออกจากประตูร้านอาหารอย่างรวดเร็วและเดินไปหา เมิ่งจุนเหลียง

เมิ่งจุนเหลียงยังคงนั่งอยู่ใต้ต้นส้นเหมือนเมื่อคืนนี้และเมื่อเขาเห็น ฉินม่านหยุนมาเขาก็ค่อยๆลืมตา

“ เจ้าเข้าใจหรือยัง?”

ฉินม่านหยุนโค้งคำนับและกล่าวว่า “รุ่นเยาว์ ทราบแล้ว”

เมิ่งจุนเหลียงยิ้มและพูดว่า “มาเล่าให้ข้าฟังเถอะ”

”โลกนี้เป็นเกมหมากรุกคนทั่วไปเป็นเบี้ยและคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถพวกเขาเต็มใจที่จะกลายเป็นตัวหมากในมือของผู้ยิ่งใหญ่” ฉินม่านหยุนกล่าวอย่างเคร่งขรึม

ใบหน้าของเมิ่งจุนเหลียงแสดงท่าทางที่น่าสนใจ “ดูเหมือนว่าความเข้าใจของเจ้าจะไม่ได้เลวร้ายเกินไป”

”อย่างไรก็ตามไม่ใช่ทุกคนที่จะมีคุณสมบัติที่จะเป็นตัวหมากในมือของผู้ยิ่งใหญ่” เมิ่งจุนเหลียงกล่าวอย่างสบาย ๆ “กฎของสวรรค์และโลกได้ถูกเขียนขึ้นใหม่โดยผู้อื่นเมื่อ หลี่กงซีปรากฏตัวในโลกมนุษย์ในเวลานี้ เห็นได้ชัดว่าเขากำลังเล่นกับการมีอยู่ของบางอย่าง! ทุกย่างก้าวของเขาต้องมีความหมายในตัวเอง แม้ว่าข้าจะไม่ได้อยู่ในสายตาของหลี่กงซี แต่ข้าก็เต็มใจที่จะเป็นเบี้ยในเกมหมากรุกของเขา! “

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ที่จริงแล้ว ข้าคือเซียนผู้ยิ่งใหญ่