แขนของเขาตายด้านไปแล้ว ไม่ว่าจะยังไงก็กลับคืนสู่สภาพเดิมไม่ได้ เขาอยากบอกกับพี่ชายเรื่องนี้ แต่คิดแล้วคิดอีก ก็ไม่ได้บอก ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เชื่อว่าพี่ชายจะหายดี
ทันใดนั้นเสียงของฉินหม่าก็ดังขึ้นตัดบทของทั้งสอง
“คุณชายทั้งสองคะ กับข้าวเตรียมเสร็จแล้วค่ะ”
เย่ฉ่าวเฉินพยักหน้าแล้วพูดกับเย่ฉ่าวเหยียน “พวกเรากินข้าวไปด้วยคุยไปด้วยดีกว่า”
“โอเค”
พอถึงโต๊ะอาหาร เย่ฉ่าวเหยียนก็สังเกตุเห็นร่างบางๆ ของหญิงสาวคนหนึ่ง
ทั้งสองมองไปรอบๆ เย่ฉ่าวเหยียนเบิกตากว้าง พูดขึ้นอย่างนุ่มนวลว่า “นี่คงจะเป็นพี่สะใภ้สินะ?”
เย่ฉ่าวเฉินยังไม่ได้เอ่ยปากพูด ฉินหม่าที่กำลังยกกับข้าวมาก็พูดขึ้นว่า “คุณชายรอง ก่อนหน้านี้คุณหนูไม่ระวังจึงหกล้ม ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล ที่คุณเห็นคือคุณเฉียวซินโยวเพื่อนของคุณหนูค่ะ”
ฉินหม่าพูดเช่นนั้น เย่ฉ่านเฉินก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
เฉียวซินโยวได้ยินเช่นก็แสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา
ทุกคนที่อยู่ร่วมโต๊ะอาหารไม่ทันสังเกตุ มีเพียงแค่เย่ฉ่าวเหยียนเท่านั้นที่มองเห็น เขานึกในใจ:หึ! ชักจะสนุกแล้วสิ…
เฉียวฉินโยวหยุดทำหน้าไม่พอใจ แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ฉ่าวเฉิน คุณคนนี้คือฉ่าวเหยียนเหรอคะ?”
เย่ฉ่าวเฉินพยักหน้า ด้วยท่าทางอบอุ่น ดูท่าจะอารมณ์ดี
แต่เย่ฉ่าวเหยียนกลับรู้สึกแปลกๆ เจอกันครั้งแรกก็เรียก “ฉ่าวเหยียน”เลยเหรอ เขาอดคิดขึ้นมาเสียไม่ได้ว่าคารมของผู้หญิงคนนี้สูงไม่เบา!
เฉียวซินโยวนึกถึงเมื่อก่อนที่หนานกงเฮ่าพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับเย่ฉ่าวเหยียน การกลับมาของเย่ฉ่าวเหยียนทำให้ตัวเองได้ผลประโยชน์ และเธอดีใจมาก
ถ้าจะใช้เย่ฉ่าวเหยียนกำจัดมู่เวยเวยก็น่าจะเป็นไปได้! ไม่ว่าจะอย่างไร มู่เวยเวยกับเย่ฉ่าวเหยียนก็ไม่ใช่ฝ่ายเดียวกันอยู่แล้ว
……
ทางฝั่งนี้ต่างคนต่างมีเรื่องต้องให้คิด แต่กลับกันฝั่งมู่เวยเวยเธอกลับรู้สึกสบายยิ่งขึ้น
ทุกๆ วันก็คอยแต่ทำตามคำสั่งของคุณหมอ ต้องทำกายภาพบำบัด ถึงแม้จะลำบากแต่เธอก็พยายามเป็นอย่างมาก เพราะหากต้องใช้ชีวิตอยู่กับรถเข็น ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงคงจะน่ากลัวน่าดู
หนานกงเฮ่ามาหาเธอบ่อยๆ ทุกครั้งที่มา ข้างนอกจะวุ่นวายมากเป็นพิเศษ พยาบาลก็กล้าๆ กลัวๆ ที่จะแอบดูราวกับคนกำลังหมดแรง
ครั้งก่อนเพราะเขาอยู่ข้างๆ พยาบาลที่เข้ามาฉีดยาจึงไม่ค่อยมีสติ ทำให้มู่เวยเวยถูดเข็มแทงไปสามรอบ
เพื่อไม่ให้สถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก เธอจึงสร้างกฎเหล็กให้กับหนานกงเฮ่า นอกจากเวลากินข้าวแล้ว ห้ามไม่ให้เขาเข้ามาในห้องผู้ป่วย และนอกจากนั้นก็ห้ามมาให้เธอเห็นหน้า
พอถึงเวลาทานข้าว มู่เวยเวยมองจานข้าวทีมองนาฬิกาที มันเป็นเวลาที่หนานกงเฮ่าต้องปรากฎตัว ไม่ถึงห้านาที ใบหน้าอันหล่อเหลาของหนานกงเฮ่าก็ปรากฏให้เห็นที่หน้าประตูห้อง
“เวยเวย วันนี้เป็นยังไงบ้าง?”
หนานกงเฮ่าใช้วีธีนี้เข้าหามู่เวยเวย เขาคิดว่าแบบนี้เธอจะได้ไม่รู้สึกอึดอัด
มู่เวยเวยขยับเท้าให้เขาดูผลลัพธ์ที่ได้จากการกายภาพบำบัด “เริ่มดีขึ้นแล้ว วันนี้จะได้ทำท่าที่ง่ายขึ้น”
พูดจบ หนานกงเฮ่าก็ชี้นิ้วไปที่หน้าประตู หลิวหม่านำกับข้าวที่มีแต่อาหารดีๆ เยอะแยะไปหมดเข้ามาส่งในห้อง
มู่เวยเวยกระซิบกับหนานกงเฮ่า “หนานกง ครั้งหน้าไม่ต้องเอามาเยอะขนาดนี้ ฉันกินไม่หมดหรอก มันเปลือง”
หนานกงเฮ่าได้ฟังเช่นนั้นก็พยักหน้า พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ก็ได้ ครั้งหน้าจะให้หลิวหม่าทำอาหารง่ายๆมาให้”
ได้ยินเช่นนั้นมู่เวยเวยก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้น “นายยังไม่ได้กินข้าวใช่ไหม มากินด้วยกันสิ”
หนานกงเฮ่าไม่แสดงท่าทีอะไร ทั้งสองนั่งลงกินข้าวด้วยกัน
จางเห่อมองผ่านหน้าต่างดูในห้อง ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นขัดจังหวะ
“คุณชาย”
สำเสียงอันน่าเกรงขามของเย่ฉ่าวเฉินดังออกมาจากโทรศัพท์ “หนานกงไปโรงพยาบาลอีกแล้วเหรอ?”
จางเห่อไม่ปิดบัง “ใช่ครับ พอถึงเวลากินข้าวทุกๆ วันคุณชายหนานกงจะมาที่นี่ เพื่อมาทานข้าวร่วมกับคุณหนู”
เสียงในสายเงียบไปสักพัก “จางเห่อ ช่วยเป็นตัวแทนฉันไปถามไถ่พ่อของหนานกงเฮ่าหน่อย”
พูดจบ จางเห่อก็เข้าใจทันที “ครับคุณชาย ผมจะจัดการให้”
……
พอรับประทานอาหารเสร็จหนานกงเฮ่าก็เสนอตัวจะพาเธอไปเดินเล่น มู่เวยเวยลำบากใจที่จะปฎิเสธ จึงจำใจต้องไป
ตอนนี้มู่เวยเวยไม่จำเป็นต้องมีคนประคองแล้ว แต่ต้องใช้ไม้เท้าช่วยพยุงเพื่อจะได้ออกกำลังขาไปด้วย แต่สิ่งที่เธอตัดสินใจผิดก็คือ ไม่น่าไปตอบรับให้หนานกงเฮ่ามาดูแลเลย
เมื่อมองไปรอบๆ ผู้คนต่างมองพวกเขาด้วยความอิจฉา มู่เวยเวยลำบากใจมากจนไม่อาจยอมรับสายตาของผู้คนที่เพ้งมองมายังพวกเขา
หน้าโรงพยาบาลมีสวนสาธารณะ พอถึงที่นั่น มู่เวยเวยค่อยรู้สึกสบายตัวขึ้น
พอมองดูบรรยากาศรอบๆ ร่วมถึงผู้คน มู่เวยเวยรู้สึกดีขึ้นมาก ได้เห็นดอกบัวสีขาวบริสุทธ์ช่างสวยงาม จนทำให้เธอลืมเวลาไปชั่วขณะ
พอเงยหน้าขึ้น ก็เจอหน้าของหนานกงเฮ่า เขายิ้มอย่างพอใจแล้วพูดว่า “มอบให้กับคุณ มู่เวยเวย”
มู่เวยเวยดีใจ แล้วรับดอกไม้ที่หนานกงเฮ่ามอบให้
พอได้เห็นมู่เวยเวยยิ้มอย่างมีความสุข ใจของเขาก็เต้นแรง เขาไม่คิดว่ารอยยิ้มของมู่เวยเวยจะมีเสน่ห์ได้ขนาดนี้
มู่เวยเวยไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น ในสายตาของเธอตอนนี้มีแค่ดอกไม้ ทั้งจับทั้งดมกลิ่นหอมของดอกไม้ มันชวนให้เธอหลงใหลและรู้สึกผ่อนคลาย
ในขณะที่กำลังหลงใหลอยู่กับดอกไม้ ก็มีอะไรอุ่นๆ ประทับลงบนหน้าผากเธอ มู่เวยเวยตกใจสะดุ้งตัวขึ้น เงยหน้าขึ้นก็เห็นคางของหนานกงเฮ่า เธอลืมไปทันทีว่าตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่
จนกระทั่งเสียงของหนานกงเฮ่าดังขึ้น “เวยเวยเธออย่าเพิ่งตกใจไป ฉันแค่ห้ามใจตัวเองไม่อยู่”
มู่เวยเวยยังไม่ทันได้ตอบกลับ ก็ที่เสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น “เฮ่าเฮ่า แกทำอะไรของแก?”
หนานกงเฮ่าตกใจจึงรีบหันกลับไปดูผู้หญิงที่กำลังเดินเข้ามาหา แล้วเรียกเธอว่า“แม่”
มู่เวยเวยสีหน้าไม่สู้ดี พอนึกถึงครั้งก่อนที่เคยเจอกันทำให้เธอรู้สึกอึกอัด แล้วก็จูบครั้งนี้อีก เธอไม่รู้จะอธิบายอย่างไร
เฉินซูฮว่าเดินมาด้วยสีหน้าเย็นชามองไปที่พวกเขาสองคน “ฉันจะไปรอพวกเธอที่ร้านกาแฟ”
พูดจบก็เดินตรงออกไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ
ขอบคุณแอดค่ะ...สนุกค่ะ......
สนุก...