“ผมไม่สน!” หนานกงเฮ่าตอบโต้กลับ “เย่ฉ่าวเฉินไม่ได้รักเธอ เขาแต่งงานกับเธอเพียงเพราะพี่ชายของเธอที่ชื่อมู่เทียนเย่! ได้โปรดให้เวลาผมหน่อย ผมจะจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด”
“ฮ่าฮ่า…” เฉินซูฮว่าหัวเราะเยาะ เอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา “แม้เธอจะหย่ากับเย่ฉ่าวเฉิน ฉันก็ไม่อนุญาตให้แกแต่งงานกับผู้หญิงที่มีมลทินแบบนี้ หนานกงเฮ่า อย่าลืมนะว่าแกเป็นลูกชายของหนานกงยู ฉันจะปล่อยให้แกทำครอบครัวอับอายขายขี้หน้าไม่ได้!”
เมื่อเจอกับข้อพิพาทระหว่างแม่และลูกชาย มู่เวยเวยก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา เธอเหนื่อยมาก เห็นได้ชัดตั้งแต่ต้นจนจบ เธอไม่เคยก้าวก่ายชีวิตของพวกเขาเลย แต่ทำไมความผิดทั้งหมดจึงมาตกอยู่ที่เธอ!
บางทีเธออาจจะเรียบง่ายเกินไป เธอคิดว่าตราบใดที่เธอป้องกันหัวใจของตัวเองได้ เธอก็จะได้รับชีวิตที่ตัวเองต้องการ แต่ในความเป็นจริง เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้อย่างยิ่ง
“ไม่ต้องเถียงกันแล้ว!” ในที่สุดมู่เวยเวยก็ทนไม่ไหว จึงตะโกนออกมา
เฉินซูฮว่ามองเธอด้วยสายตาเยือกเย็น ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความชั่วร้ายเอ่ยปากพูดออกมา “คุณหนูมู่เธอคิดคำตอบได้แล้วเหรอ?”
มู่เวยเวยไม่สนใจท่าทีของเธอ ตอนนี้เธอแค่ต้องการกลับโรงพยาบาล แม้จะทำได้แค่นอนอยู่บนเตียงและอ่านหนังสือเงียบๆ ก็ดีกว่าที่ต้องเผชิญหน้ากับการกระแทกแดกดันกันเช่นตอนนี้
“ก็ไม่เชิงค่ะ”
ทันทีที่เธอพูดออกไป สีหน้าของหนานกงเฮ่าก็เป็นประกาย มือทั้งสองข้างประสานกันไว้แน่น ราวกับว่าต้องการดึงดูดพลังอ่อนแอที่อยู่ลึกๆ ในใจ
เวยเวยได้โปรด อย่าผลักไสผม ได้โปรด...
แต่มู่เวยเวยกลับไม่ได้ยินเสียงที่อยู่ในใจเขา เธอหันกลับมามองหนานกงเฮ่า สีหน้าแน่วแน่ เอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา “หนานกง ฉันขอโทษ ขอบคุณที่คอยดูแลฉันในช่วงนี้ ฉันหวังว่าเราจะไม่ได้พบกันอีก สำหรับคุณและฉัน แล้วทุกอย่างจะดีขึ้น”
หนานกงเฮ่ามองเธอด้วยความตกใจ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด น้ำเสียงแหบห้าวเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ “เวยเวยคุณไม่รู้หรอกถ้าทำตามที่คุณพูดไม่ให้เจอหน้าคุณอีก ใจผมจะเจ็บปวดมากแค่ไหน”
มู่เวยเวยหายใจเข้าลึกๆ หันเหสายตาไปมองการจราจรที่พลุกพล่านด้านนอกหน้าต่าง คิดให้กำลังใจตัวเองอยู่ภายในใจไม่หยุด
“ฉันโหยหาชีวิตที่สงบสุข คุณก็รู้ฉันตกอยู่ในสถานการณ์ยังไง ฉันทนต่อไปอีกไม่ไหวแล้วจริงๆ กับอะไรก็ตามที่โจมตีเข้ามาในชีวิตฉัน”
พูดจบเธอก็สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดต่อ “หนานกง ได้โปรดปล่อยฉันไปเถอะนะ ฉันให้ในสิ่งที่คุณต้องการไม่ได้ ฉันแค่ต้องการมีชีวิตที่เรียบง่าย ถ้าคุณเป็นห่วงฉันจริงๆ ได้โปรดรับเงื่อนไขข้อนี้ไป”
พูดจบ มู่เวยเวยก็ยืนขึ้นและเดินจากออกมา เธอไม่อยากรับรู้ว่าหนานกงเฮ่าจะมีปฏิกิริยาอย่างไร ถ้าเขาสนใจเธอจริงๆ หวังว่าเขาจะยอมรับข้อเรียกร้องนี้ของเธอ
เธอไม่อยากถูกใส่ร้ายอย่างไม่มีเหตุผล!
เมื่อเดินออกมาจากร้านกาแฟ มู่เวยเวยก็เดินตรงกลับไปที่โรงพยาบาลทันที แต่จู่ๆ ก็มีลมพัดมาตรงหน้าเธอ จากนั้นแลมโบกินี่ที่ขับมาอย่างรวดเร็วก็จอดขวางทางเธอไว้
มู่เวยเวยผงะ จากนั้นกระจกหน้าต่างรถก็ค่อยๆ เลื่อนลงมา เผยให้เห็นใบหน้าที่เธอคุ้นเคยเป็นอย่างดี
“ขึ้นรถ”
เย่ฉ่าวเฉินมองเธออย่างแยแส แล้วพูดขึ้นมาสองคำสั้นๆ
มู่เวยเวยไม่อยากสนใจเขา เธอต้องการจะเดินผ่านรถนั้นไป แต่ข้อมือกลับถูกรั้งเอาไว้ มู่เวยเวยขมวดคิ้ว น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรำคาญ “ฉันจะกลับโรงพยาบาล คุณยังไม่จบอีกเหรอ?”
น้ำเสียงของเธอเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ เธอรู้เรื่องทุกอย่างดีในตอนนี้ ต้องขอบคุณผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเธอ!
“มู่เวยเวย เจอกันวันนี้ เธออ้วนขึ้นหรือเปล่า?” เย่ฉ่าวเฉินมองเธอด้วยสายตาเย็นชา พร้อมกับน้ำเสียงนั้นที่พูดจาคุกคามเธอ
มู่เวยเวยอดหัวเราะขึ้นมาเสียไม่ได้ น้ำเสียงที่พูดขึ้นอย่างไม่เห็นด้วย “นายมีเงินนายมีอำนาจ ฉันจะกล้าทำอะไรนาย? แต่ฉันอยากรู้จริงๆ กับการแต่งงานไร้สาระนี่ นายคิดจะดึงฉันไว้จนถึงเมื่อไหร่!”
เธอรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะพังทลายลง ก่อนหน้าก็ต้องเผชิญหน้ากับการคุกคามจากครอบครัวของหนานกงเฮ่า ตอนนี้ก็ต้องมาเผชิญหน้ากับเย่ฉ่าวเฉินอีก วันที่เลวร้ายของเธอจะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่กันนะ!
เย่ฉ่าวเฉินเลิกคิ้ว ดวงตาสีน้ำเงินจ้องมองเธอด้วยความเย้ยยัน น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรังเกียจเอ่ยขึ้น “เธอรอหย่ากับฉัน แล้วอยากจะกระโดดเข้าไปในอ้อมแขนของหนานกงเฮ่า แบบนั้นใช่ไหม?”
เขาบีบข้อมือเธอแรงขึ้น ราวกับว่าเขาใช้แรงเพียงแค่เล็กน้อย ข้อมือของเธอก็จะหักเหมือนกับขาของเธอ แต่มู่เวยเวยกลับไม่ได้ขัดขืน เธอเพียงแค่มองเขาอย่างไม่ได้ใส่ใจ แล้วเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา “นายอยากจะตัดมือฉันทิ้งเลยไหม แบบนั้นนายถึงจะสะใจใช่ไหม?”
สีหน้าของเย่ฉ่าวเฉินดูเหยียดหยาม คำพูดที่เอ่ยออกมานั้นร้ายยิ่งกว่า “มู่เวยเวยตอนนี้เธอไม่กลัวฉันแล้วสินะ ดูเหมือนว่าตอนนี้เธอจะสบายเกินไปแล้ว”
สีหน้าของมู่เวยเวยเยือกเย็น น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความดูถูกเอ่ยขึ้น “ต้องการให้ฉันกลัวนาย? ฉันไม่ใช่พี่ชายฉัน ไม่ว่านายจะปฎิบัติกับฉันยังไง จ้างให้ก็ทำอะไรฉันไม่ได้ ถ้านายรู้สึกอาย แล้วคำพูดนั้นทำให้นายสบายใจ ฉันก็คงไม่ห้ามไม่ได้ ไม่ใช่เหรอ?”
เมื่อได้ยินเธอพูดถึงมู่เทียนเย่ สิ่งแรกที่ผุดเข้ามาในหัวของเย่ฉ่าวเฉินคือ เขาอยากจะบีบคอเธอให้ตาย แต่เมื่อสังเกตเห็นไม้ค้ำที่เธอใช้อยู่ เขาจึงพยายามอดทนกับมัน แล้วเอ่ยขึ้นอย่างเฉยชา “ฉันจัดการยื่นเรื่องที่โรงพยาบาลให้เธอเรียบร้อยแล้ว ขึ้นรถมากับฉันเดี๋ยวนี้!”
พูดจบ เย่ฉ่าวเฉินก็ไม่ได้สนใจเธอ เขาเดินตรงไปที่รถ
มู่เวยเวยยิ้มเยาะ พลางในใจคิดว่า บางทีตอนนี้เขาอาจกำลังเบื่อ เลยคิดจะทรมานเธอเพื่อความสนุกอีกครั้ง?
เธอค่อยๆ ขึ้นไปนั่งบนรถ ในใจมู่เวยเวยเริ่มรู้สึกสงบ หรือจะพูดให้ชัดเจนคือ หัวใจเธอตายด้านไปแล้ว อย่างไรก็ตามเมื่อไม่รู้ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้จะเป็นกังวลหรือยุ่งเหยิงจะมีความหมายอะไร? มีแต่จะทำให้ตัวเองเป็นประสาทมากขึ้น!
รถแล่นไปด้วยความเร็วสูง มู่เวยเวยมองออกไปนอกหน้าต่างเงียบๆ เธอไม่สนใจเย่ฉ่าวเฉินที่นั่งอยู่ข้างๆ
จนกระทั่งเสียงของเขาดังขึ้นมา “กลับไปถึงบ้านตระกูลเย่ฉันจะให้เธออยู่ในห้องอย่างเงียบๆ อย่าออกมาข้างนอกตามอำเภอใจ ถ้ามีเรื่องอะไรก็บอกให้ฉินหม่าไปจัดการให้”
มู่เวยเวยได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้ว “คิดจะห้ามแม้กระทั่งเท้าของฉันเลยเหรอ?”
เย่ฉ่าวเฉินตะคอกขึ้น “แน่นอนว่าไม่ใช่ ถ้าฉันบอกเธอว่าน้องชายฉันกลับมา ถ้าเธอฉลาดพอ ก็ไม่ต้องพูดอะไร…”
“น้องชายนาย?”
มู่เวยเวยแปลกใจ เธอพยายามคิดถึงเรื่องราวต่างๆ ในสมอง จู่ๆ ก็จำเรื่องบางอย่างในอดีตขึ้นมาได้
เธอจำได้ชัดเจน ที่เย่ฉ่าวเฉินแต่งงานกับเธอก็เพราะพี่ชายของเธอ เหมือนครั้งนี้เขาจะโกรธมาก เขาเคยบอกกับเธอ ตอนนั้นหลังจากที่เขากับพี่ชายเกิดขัดแย้งกัน เพื่อเขาน้องชายจึง...
เมื่อคิดถึงจุดนี้ หัวใจของมู่เวยเวยที่ช็อกไป แต่ก็กลับฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว
น้องชายเขาถูกพี่ชายทำร้ายจนได้รับบาทเจ็บ คิดว่าเขาต้องเกลียดแม้กระทั่งตัวเธอเอง หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ นับจากนี้เธอตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากขึ้น ไม่มีเพียงแต่เย่ฉ่าวเฉินและเฉียวซินโยว แต่ยังมีเย่ฉ่าวเหยี่ยนเพิ่มขึ้นมาอีกคน
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ มู่เวยเวยก็หัวเราะขึ้นมาเบาๆ เย่ฉ่าวเฉินที่นั่งอยู่ข้างๆ ขมวดคิ้ว “เธอยิ้มอะไร?”
มู่เวยเวยส่ายหน้า ตอบกลับอย่างแผ่วเบา “ไม่มีอะไร ฉันเพียงแค่คิดอะไรตลกๆ “
“เรื่องอะไร?”
เมื่อได้ยินคำถามของเขา มู่เวยเวยก็เลิกคิ้วสงสัย “ทำไมฉันต้องบอกนายด้วย? มันเกี่ยวอะไรกับนาย”
เมื่อถูกเธอย้อนแบบนี้ ไฟในใจเย่ฉ่าวเฉินก็ลุกโชนขึ้น เขาต้องสอนบทเรียนให้เธอสักหน่อยแล้ว แต่เมื่อคิดได้ว่าเธอกำลังบาดเจ็บอยู่ สุดท้ายจึงตัดสินใจว่าค่อยคิดบัญชีกับเธอทีหลัง!
มู่เวยเวยประสานมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน ในใจว่า: เย่ฉ่าวเหยียนคนนี้จะจัดการกับเธออย่างไร?
……
รถแล่นเข้าสู่ประตูบ้านของตระกูลเย่อย่างรวดเร็ว มู่เวยเวยมองเห็นคฤหาสน์ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ช่วงเวลาที่รู้สึกยาวนานคล้ายดั่งผ่านไปอีกชาติหนึ่ง ราวกับว่าเธอจากไปแล้วกว่าครึ่งเดือน เหมือนเวลาผ่านไปแล้วยาวนาน
หลังจากที่ลงมาจากรถ เธอก็เดินเข้ามายังห้องรับแขก เจอชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลานั่งอยู่ที่โซฟา แสงแดดกระทบกับใบหน้าด้านข้างของเขา เพิ่มความสง่างามให้เขาขึ้นไปอีก
เย่ฉ่าวเฉินมองไปที่มู่เวยเวย จากนั้นก็หันไปสนใจเย่ฉ่าวเหยียนที่นั่งอยู่บนโซฟา เขาเอ่ยขึ้นเบาๆ “ฉ่าวเหยียนทำไมนายไม่พักผ่อนอยู่ที่ห้องล่ะ?”
เย่ฉ่าวเหยียนเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียง รอยยิ้มสวยงามปรากฎขึ้นที่มุมปากของเขา เมื่อสังเกตเห็นมู่เวยเวยที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาก็อดไม่ได้ที่จะมองเธอซ้ำอีกรอบ “สวัสดี เราเจอกันอีกแล้วนะ…”
มู่เวยเวยสะดุ้ง เมื่อเห็นเขาแวบแรก มู่เวยเวยจำได้ว่า เขาคือผู้ชายคนนั้นคนที่ช่วยเธอตอนอยู่โรงพยาบาล เธอไม่อยากให้เขาเป็นน้องชายของเย่ฉ่าวเฉินเลยจริงๆ
มู่เวยเวยถอนหายใจข้างในใจ ขอให้ตัวเองโชคดี
“สวัสดี บังเอิญจัง…” มู่เวยเวยคลี่ยิ้มเล็กน้อย แล้วเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น
เย่ฉ่าวเหยียนมองเธออย่างครุ่นคิด แล้วเอ่ยถามขึ้นเบาๆ “พี่ สาวสวยคนนี้พี่คือสะใภ้ใช่ไหม?”
สีหน้ามู่เวยเวยดูลำบากใจ ไม่รู้ว่าจะตอบเขาอย่างไร
เมื่อเย่ฉ่าวเฉินได้ยินแบบนั้น ก็พยักหน้าอย่างอ่อนแรง แล้วหันหน้าไปทางมู่เวยเวย “ขาของเธอยังไม่หายดี กลับไปพักผ่อนที่ห้องเถอะ”
แม้คำพูดของเขาจะดูเย็นชา แต่เธอกลับถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก สำหรับเธอ แทนที่ต้องยื่นอยู่ต่อหน้าพวกเขา สู้อยู่ในห้องตัวเองยังสบายใจกว่า เมื่อคิดได้อย่างนั้นเธอก็เดินโดยมีไม้เท้าช่วยพยุงขึ้นไปที่ชั้นบน
เมื่อกลับมาถึงห้องตัวเอง มู่เวยเวยก็เดินไปที่โต๊ะแล้วหยิบหนังสือวาดรูปขึ้นมา จากนั้นเธอก็นอนคว่ำลงไปบนเตียงและเริ่มลงมือวาด เธอยังไม่ลืมการสัมภาษณ์กับนิตยสารแฟชั่นในเดือนหน้า ตอนนี้เธอทำงานอย่างหนัก เพื่อจัดการกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง
……
ภายในห้องรับแขก
“ใช่สิพี่ ผมยังไม่รู้เลยว่าพี่สะใภ้ชื่ออะไร…”
เย่ฉ่าวเหยียนเอนกายลงบนโซฟา รูปร่างสูงยาว
แก้วไวน์บ่มอย่างดีที่อยู่ในมือถูกเขย่าเบาๆ พลางเอ่ยถามอย่างใจเย็น
“มู่เวยเวย”
เย่ฉ่าวเหยียนเลิกคิ้วถามด้วยความแปลกใจ “เธอนามสกุลมู่เหรอ?”
เย่ฉ่าวเฉินชะงักไป ในใจกำลังสับสน เขาอยากบอกความสัมพันธ์ของมู่เวยเวยกับมู่เทียนเย่ให้เย่ฉ่าวเหยียนได้รับรู้ แต่ไม่รู้ทำไม เขากลับไม่กล้าเอ่ยออกไป
สีหน้าของเย่ฉ่าวเหยียนเป็นประกาย รอยยิ้มที่ดูเลือนราง ยากที่คาดเอาความคิดที่แท้จริงของเขาได้
มู่เวยเวยกำลังออกแบบอย่างขยันขันแข็ง ทันใดนั้นก็มีเสียงดังเบาๆ เกิดขึ้นในห้อง ดึงดูดความสนใจของมู่เวยเวยไปทันที เธอเงยหน้าขึ้นมอง เห็นเสี่ยวจื่อที่เธอไม่ได้เจอหน้ามานานหลายวัน
เสี่ยวจื่อหรี่ตามองเธอ ดวงตาสีม่วงเปล่งประกายแวววาว ใบหน้าเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มเอ่ยถามขึ้นช้าๆ “คราวนี้คุณไปไหนมา? ผมมาที่นี่ตั้งหลายครั้ง แต่พบว่าคุณไม่อยู่”
มู่เวยเวยวางสมุดวาดรูปลง รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฎขึ้น แล้วกระซิบตอบเบาๆ “ฉันไม่ระวังก็เลยหกล้มน่ะ ช่วงนี้เลยต้องอยู่ที่โรงพยาบาลตลอด”
“อ่อ เป็นแบบนี้นี่เอง”
เสี่ยวจื่อเม้มปาก น้ำเสียงดูผ่อนคลาย เขาย้ายจากบนอากาศไปที่เตียงของมู่เวยเวยทันที มองไปที่เธออย่างอ่อนโยน พึมพำเบาๆ “ครั้งนี้คุณเจ็บหนักเลย แล้วเป็นยังไงบ้าง?”
เมื่อรับรู้ถึงคำพูดห่วงใยของเสี่ยวจื่อ มู่เวยเวยก็เม้มปากเบาๆ “ไม่มีอะไร ฉันเพิ่งล้มไปไม่นาน ต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะหายดี”
ในสถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้ เธอตั้งใจปกปิดเค้า จากก้นบึ้งของหัวใจลึกๆ บอกกับเธอว่า เธอไม่ต้องการให้เสี่ยวจื่อรู้ว่าชีวิตตอนนี้ของเธอนั้นแย่แค่ไหน เธอหวังจะคงเหลือภาพลักษณ์ดีๆ ให้ไว้แก่เขา
เสี่ยวจื่อได้ยินที่เธอพูดดังนั้น สีหน้าก็เป็นประกายแพรวพราว แต่เขาก็ไม่ได้ถามเธอต่อ จากนั้นก็หันตัวกลับ ยืดแขนออกเบาๆ สิ่งของที่อยู่ห้องก็ลอยขึ้นมาทันที เป็นสถานการณ์ที่พบเห็นจนเป็นปกติ
มู่เวยเวยเบิกตากว้าง มองดูสีหน้าท่าทางของเสี่ยวจื่ออย่างเฝ้าคอย นึกถึงเวทมนต์อันใหม่ที่เสี่ยวจื่อจะนำมาใช้กับเธอในครั้งนี้
เสี่ยวจื่อยิ้ม แล้วกระซิบเบาๆ “ผมเพิ่งได้เรียนรู้ทักษะใหม่มา คุณอยากดูไหม?”
ได้ยินแบบนั้น สีหน้าของมู่เวยเวยก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น เธอรีบพยักหน้าแล้วตอบว่า “เอาสิ…”
เสี่ยวจื่อเม้มปากอย่างไม่พอใจ เอ่ยขึ้นเสียงทุ้มต่ำ “การแสดงออกของคุณดูเสแสร้งเกินไป รู้สึกเหมือนแค่พูดไปงั้นๆ… ไม่เอาแบบนี้ คุณต้องทายมาก่อนว่าทักษะใหม่ของผมคืออะไร ถ้าคุณทายถูกผมถึงจะแสดงให้คุณดู…”
เมื่อได้ยินเสี่ยวจื่อพูดแบบนั้น สีหน้าของมู่เวยเวยก็ดูลำบากใจขึ้น ความหมายที่เขาจะบอกคือ ถ้าทายถูกเขาก็จะแสดงให้ดู อย่างนั้นถ้าทายไม่ถูก เขาก็จะไม่แสดงให้เธอดูงั้นเหรอ?
อะไรนะ… ไม่ยุติธรรมเอาซะเลย… แบบนี้แล้วเธอจะทายถูกได้อย่างไร?
“งั้น นายบอกใบ้ให้ฉันหน่อยได้ไหม ไม่อย่างนั้นฉันจะทายถูกได้ยังไงเล่า?” มู่เวยเวยพูดขึ้นสีหน้าเต็มไปด้วยความลังเลใจ
เสี่ยวจื่อครุ่นคิดอยู่สักพัก แล้วพูดว่า “เอาล่ะ ผมจะสาธิตให้คุณดูรอบหนึ่ง”
“โอเค”
มู่เวยเวยจ้องมองอย่างตั้งใจ เธอพบว่าร่างของเสี่ยวจื่อหายไปทันที มองหาทั่วทุกมุมห้องก็ไม่เจอเขา มู่เวยเวยงงอยู่สักพัก ทันใดนั้นก็มีเสียงดังกรอบแกรบดังออกมาจากในห้องน้ำ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ
ขอบคุณแอดค่ะ...สนุกค่ะ......
สนุก...