หัวใจของเธอถูกความอิจฉาและความเกลียดชังเข้ากลืนกิน เธอคิดว่าที่เย่ฉ่าวเฉินกลับมาเพราะมีธุระบางอย่าง แต่แล้วที่เขากลับมาเร็วเพราะต้องการไปหามู่เวยเวยที่ห้อง
เย่ฉ่าวเหยียนเงยหน้าขึ้นมองเธอ เขายิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “คุณเฉียว คุณดูโกรธมากเลยนะครับ”
เฉียวซินโยวระงับความโกรธไว้ข้างใน ฝืนใจพูดขึ้น “ไม่หรอกค่ะ ฉันจะโกรธเรื่องอะไรคะ?”
เย่ฉ่าวเหยียนยิ้ม เขาโยนนิตยสารลงบนโต๊ะ “ผมควรโกรธนะ สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมไปทำงานทำการเลย หยาบคายเกินไปแล้ว ในบ้านนี้ยังมีคนโสดนะ แบบนี้ไม่ทรมานคนโสดไปหน่อยเหรอ?” พูดจบเขาก็ไม่ได้หันไปมองเธอ แต่เดินตรงไปที่ห้องครัวและตะโกนว่า “ฉันหม่า อาหารพร้อมหรือยัง?”
ฉินหม่าโผล่หน้าออกมาจากห้องครัว เอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “เรียบร้อยแล้วค่ะ แต่ต้องรอคุณชายใหญ่ก่อนนะคะ”
เย่ฉ่าวเหยียนนั่งลงบนเก้าอี้ พูดขึ้นอย่างเกียจคร้าน “ไม่ต้องรอ ยังไม่รู้ว่าจะยุ่งจนถึงเมื่อไหร่ ฉันหิวแล้ว”
“ได้ค่ะ ฉันจะจัดอาหารให้คุณชายรองนะคะ”
ไม่นานอาหารทั้งหมดก็ถูกจัดลงบนโต๊ะ เย่ฉ่าวเหยียนหันกลับไปมองใครบางคนที่ยังยืนตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม “คุณเฉียว มาทานข้าวกันเถอะครับ”
สติของเฉียวซินโยวยังติดอยู่กับคำว่า ‘สามีภรรยา’ เธอเกลียดคำนี้ และอีกไม่นานเธอต้องให้เย่ฉ่าวเฉินเขียนชื่อเธอลงไปข้างๆ ว่า ‘เฉียวซินโยว’ สามคำนี้
เธอระงับความโกรธในใจไว้ เฉียวซินโยวนึกถึงเรื่องที่เย่ฉ่าวเหยียนช่วยเธอไว้เมื่อวาน เธอเอ่ยขึ้นเบาๆ “ฉ่าวเหยียน เรื่องเมื่อวานนี้ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยพูดแทนฉัน”
ตะเกียบของเย่ฉ่าวเหยียนหยุดกลางคัน รอยยิ้มตื้นตันปรากฎขึ้นบนใบหน้าเขา “ไม่ต้องขอบคุณหรอกครับ แต่ถ้าในอนาคตผมมีเรื่องที่ต้องให้คุณเฉียวช่วย คุณก็อย่าปฏิเสธแล้วกัน”
เฉียวซินโยวประหลาดใจ “แน่นอนค่ะ ตราบใดที่คุณต้องการฉัน ฉันจะทำให้เต็มที่”
“โอเค งั้นก็ตามที่พูด”
เฉียวซินโยวเคยสงสัยว่าทำไมเย่ฉ่าวเหยียนถึงช่วยตัวเอง แท้จริงแล้วเพราะเขาก็มีเรื่องที่ต้องการจะขอ สิ่งนี้ทำให้เธอมีความสุขเมื่อมีคนให้จับมือด้วย สำหรับเย่ฉ่าวเหยียนที่เหมือนเป็นเกราะป้องกันให้เธอได้ไม่น้อย
……
สงครามบนชั้นสองยังไม่จบลงจนกระทั่งเวลาประมาณสี่ทุ่ม ก่อนหน้านี่ ที่ไม่มีใครไปรบกวน
ภายในห้องครัว ฉินหม่ายังคงเก็บโจ๊กเอาไว้ อาหารไม่กี่อย่างก็ถูกจัดเตรียมไว้ให้
ทั้งสองคนนั่งอยู่บนโต๊ะอาหาร ภายใต้แสงจันทร์นอกหน้าต่าง สำหรับเย่ฉ่าวเฉินนี่เป็นการรับประทานอาหารผู้ป่วยร้อนๆ เย็นๆ เป็นครั้งแรกของเขา
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ เย่ฉ่าวเฉินก็อุ้มเธอขึ้นไปชั้นบน ใช้เท้าถีบประตูออก โยนเธอลงบนเตียง แล้วตัวเองก็ลงไปนอนด้วย
มู่เวยเวยตกใจ “นายจะนอนที่นี่เหรอ?”
“ที่นี่คือบ้านตระกูลเย่ ฉันเคยพูดไปแล้ว!”
มู่เวยเวยยกมือขึ้นยอมจำนน โอเคๆ นายเคยพูดไปแล้ว
วันต่อมา
เพื่อไม่ให้ตัวเองเดือดร้อน และเพื่อไม่ให้เย่ฉ่าวเฉินสงสัยเย่ฉ่าวเหยียน มู่เวยเวยจึงตัดสินใจที่จะไปทำงาน
เมื่อได้ฟังการตัดสินใจนี้ เย่ฉ่าวเฉินก็เหลือบมองที่เท้าของเธอ เขาไม่ได้พูดอะไร แต่บอกใบ้ให้ฉินหม่าช่วยประคองเธอเข้าไปในรถ
ระหว่างที่ไปบริษัท แม้คนขับรถก็รับรู้ได้ถึงความโกรธของเฉียวซินโยว
เพราะเมื่อต้องไปบริษัทด้วยกันสามคน ตำแหน่งที่นั่งข้างคนขับต้องเป็นของมู่เวยเวยอยู่แล้ว ส่วนเธอจะนั่งอยู่กับเย่ฉ่าวเฉินด้านหลังกันสองคนอย่างมีความสุข แต่วันนี้เธอกลับเป็นคนที่ต้องมานั่งข้างคนขับ
ไม่ได้ เธอต้องได้รับสิ่งเหล่านั้นโดยเร็วที่สุด เธอทนไม่ได้อีกต่อไป!
มู่เวยเวยคิด สถานการณ์นี้คงจะเกี่ยวกับเธอแน่ อันที่จริงเธอก็ไม่อยากเปลี่ยนที่นั่ง ตอนนั้นเธออยากปฏิเสธ แต่ฉินหม่ากลับผลักเข้ามา แล้วปิดประตูลงอย่างรวดเร็วเพราะกลัวว่าเธอจะกระโดดออกไปเหมือนทุกครั้ง
เมื่อถึงประตูบริษัท เย่ฉ่าวเฉินไม่ได้มีความตั้งใจที่จะช่วยเธออยู่แล้ว พอลงจากรถเขาก็เดินเข้าบริษัท และแน่นอนว่าเฉียวซินโยวก็ไม่สนใจเธอ แล้วเดินตามเย่ฉ่าวเฉินเข้าไป
มู่เวยเวยรู้สึกหดหู่เล็กน้อย ฉินหม่าเธอผลักฉันเข้ามา แต่ทำไมลืมไม้เท้าของฉันล่ะ?
ช่างเถอะ เสียหน้าก็เสียหน้า จะให้นั่งอยู่บนรถแบบนี้ก็ไม่ได้
แต่เธอยังโชคดี พอลงมาจากรถก็เจอเข้ากับเหอเหม่ยหลิง
“เจ็บยังไม่หายดีเลยยังจะมาอีก?” เธอเข้ามาช่วยพยุงมู่เวยเวยไว้
มู่เวยเวยกล่าวขอบคุณ “อยู่แต่บ้านมันน่าเบื่อน่ะค่ะ และฉันก็อยากออกแบบงานแฟชั่นให้เสร็จเร็วๆ”
อันที่จริง เธอไม่อยากบอกสาเหตุที่ไม่อยากอยู่บ้าน และอีกอย่าง เธอกลัวว่าเย่ฉ่าวเฉินจะฉีกแบบของเธออีก เธอเอาคืนเขาไม่ได้ ก็เลยต้องซ่อนตัว
“ช้าๆ”
……
ตลอดทั้งช้า มู่เวยเวยเอาแต่แก้แบบจากเมื่อวานทั้งวัน สำหรับการเยาะเย้ยถากถางของเฉียวซินโยวก็จัดการด้วยความเย็นชา ไม่ว่าเธอจะพูดอะไรมู่เวยเวยก็ไม่สนใจ
เมื่อเห็นมู่เวยเวยไม่สนใจเธอ เฉียวซินโยวลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ห้องชงชาด้วยความโมโห มู่เวยเวยหันมองตามหลังของเธอไป เป็นเวลาเดียวกันที่เสียงโทรศัพท์มือถือของเฉียวซินโยวดังขึ้น...
จิตใต้สำนึกบอกให้มู่เวยเวยเอื้อมมือออกไปหยิบโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะขึ้นมาดู เห็นเป็นเบอร์แปลกๆ โทรเข้ามา
เมื่อมองไปยังเงาที่อยู่ในห้องพักผ่อน มู่เวยเวยก็กดรับสาย
“ฮัลโหล คุณเฉียวใช่ไหม?”
มู่เวยเวยลดเสียงลงแล้วตอบกลับไป “ใช่ค่ะ”
“ผมเตรียมของที่คุณต้องการครั้งล่าสุดเรียบร้อยแล้ว เราจะพบกันได้เมื่อไหร่?”
มู่เวยเวยใจเต้นแรง นี่เป็นครั้งแรกที่เธอทำอะไรแบบนี้ก็ย่อมประหม่าเป็นธรรมดา สัญชาตญาณของกับเธอบอกว่าสิ่งของที่ชายคนนี้พูดถึงต้องเกี่ยวข้องกับตัวเองแน่
“พรุ่งนี้สิบโมงเช้า ที่ร้านกาแฟอีเหริน” มู่เวยเวยแสร้งพูดขึ้นด้วยท่าทีสงบ
“โอเค อย่าลืมนำเงินสดที่ผมต้องการมาด้วยล่ะ เงินมาของไป”
“โอเค ไม่เจอไม่กลับ”
เมื่อวางสาย มู่เวยเวยก็จดเบอร์โทรศัพท์ของอีกฝ่ายลงบนกระดาษ จากนั้นก็ลบบันทึกการโทรทันที กดกลับไปที่หน้าจอหลักแล้ววางไว้บนโต๊ะทำงานของเฉียวซินโยวดังเดิม
เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น เฉียวซินโยวก็เดินออกมาจากห้องชงชา มู่เวยเวยที่ยังคงใจเต้น ‘ตึกตักตึกตัก’
“เวยเวย——”
“ห่ะ?” น้ำเสียงของมู่เวยเวยเปลี่ยนไปเล็กน้อย “มีอะไรเหรอ?”
“ฉันบอกว่าจะเรียกไว่ไม่ ช่วยฉันสั่งสักชุดสิ” เพื่อนร่วมงานพูดขึ้น
มู่เวยเวยถอนหายใจ “อ่อ โอเคๆ”
ตกใจหมด มู่เวยเวยตบหน้าอกตัวเองเบาๆ คิดว่าจะถูกจับได้ซะแล้ว
เฉียวซินโยวเดินมาแล้วมองไปที่เธอ มู่เวยเวยปิดเบอร์โทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างใจเย็น และวาดรูปต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่สมองกลับวิ่งเตลิดหายไปแล้ว
พรุ่งนี้ตัวเองต้องแกล้งเป็นเฉียวซินโยวแล้วไปตามนัด ถ้าชายคนนั้นเคยเห็นเฉียวซินโยวมาก่อนเธอจะทำอย่างไร?
เป็นเรื่องที่ควบคุมไม่ได้ งั้นก็ต้องจัดการไปทีละปัญหา
และเรื่องอื่นอีก ผู้ชายคนนั้นบอกว่าเขาต้องการเงิน แล้วเท่าไหร่ล่ะ?
ต้องดูก่อนว่าตัวเองมีเงินในบัตรเท่าไหร่
ก่อนที่มู่เย่เทียนจะหายตัวไป เขาจะให้ค่าครองชีพแก่เธอในทุกๆ เดือน โชคดีที่เธอไม่ค่อยฟุ่มเฟือยเท่าไหร่ จึงประคองชีวิตมาได้นานกว่าครึ่งปี
เธอเปิดแอพพลิเคชั่นธนาคารออนไลน์ ป้อนรหัสผ่าน คลิ๊กยอดเงิน สิบ หนึ่งร้อย หนึ่งพัน หนึ่งหมื่น...
พระเจ้า เธอเหลือเงินในบัญชีเพียงแค่หนึ่งหมื่นสามพันหยวน
ไม่รู้ว่าจะพอจ่ายหรือไม่ น่าจะถามตอนนั้นว่าต้องการเงินเท่าไหร่
ช่างเถอะ ถอนออกมาให้หมดเลยละกัน
เมื่อใกล้ถึงเวลาเลิกงาน มู่เวยเวยเดินเข้าไปที่ห้องทำงานของผู้จัดการ “ท่านประธานเหอ พรุ่งนี้ฉันต้องไปตรวจที่โรงพยาบาล พรุ่งนี้ขอลาครึ่งวันได้ไหมคะ?
“ได้” เหอเหม่ยหลิงก้มหน้าทำงาน พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ขอบคุณค่ะท่าน”
เช้าวันรุ่งขึ้น มู่เวยเวยรอให้เย่ฉ่าวเฉินและเฉียวซินโยวเข้าไปที่บริษัทก่อน แล้วเธอค่อยหมุนตัวเดินไปริมถนนช้าๆ โบกแท็กซี่ แล้วตรงไปที่ร้านกาแฟอีเหริน
ตอนนี้เป็นเวลาแปดโมงครึ่ง ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงครึ่งกว่าจะถึงเวลานัด มู่เวยเวยต้องไปถอนเงินที่ธนาคารก่อน เธอจึงเดินไปที่ห้างสรรพสินค่าใกล้ๆ ร้านกาแฟอีเหริน ภายในห้องน้ำ ผมยาวที่มัดรวบไว้ถูกปล่อยลงมาปกปิดใบหน้า ใบหน้าถูกแต่งแต้มไปด้วยเครื่องสำอางอย่างหนัก เธอสวมแวนกันแว่นกันแดดอันใหญ่และสวมหมวกที่เตรียมไว้
อยู่กับเฉียวซินโยวมาสามสี่ปี สำหรับเธอรูปร่างหน้าตาและน้ำเสียงของเฉียวซินโยวเป็นอะไรที่คุ้นเคยมาก หลังจากที่มู่เวยเวยลงมือแปลงร่าง ก็เหลือเพียงแค่จมูกและปากเท่านั้น ตั้งแต่ตาขึ้นไปดูเหมือนเฉียวซินโยวแล้ว
เวลาเหลืออีกไม่มาก มู่เวยเวยต้องไปที่ร้านกาแฟอีเหรินก่อนที่คนนั้นจะมา
“ฉันนามสกุลเฉียว นัดผู้ชายคนหนึ่งไว้ ถ้าเขามาแล้วรบกวนคุณพาเขามาพบฉันหน่อยนะคะ”
พนักงานตอบ “ได้ค่ะ คุณผู้หญิง”
มู่เวยเวยค่อยๆ เดินไปอย่างช้าๆ มองเห็นมุมๆ หนึ่งค่อยข้างอับสายตา มีแสงสว่างสลัวๆ แต่ก็เป็นประโยชน์สำหรับเธอ
ใกล้จะสิบโมงแล้ว หัวใจของมู่เวยเวยเต้นรัวขึ้น อดสงสัยขึ้นมาไม่ได้ เวลาที่คนทำความผิดต้องใจแข็งแค่ไหน ไม่งั้นคงต้องหลอนตัวเองตายไปก่อนแน่
ดื่มกาแฟไปด้วยความกดดัน เธอเป็นลูกค้าคนเดียวในร้านของเช้าวันนี้ เสียงเพลงผ่อนคลายดังก้องไปในอากาศ เงียบเป็นพิเศษ
สิบโมงผ่านไป มู่เวยเวยเห็นพนักงานพาชายคนหนึ่งเดินเข้ามา ชายคนนั้นรูปร่างสูงผอมสวมหมวกและแว่นตาดำ ผมเผ้ารุงรังราวกับคนไม่ได้นอน สวมเสื้อยืดสีฟ้าขาว กางเกงยีนส์สีขาว รองเท้าแตะผู้ชายแบบหัวเปิด ในมือถือแฟ้มเอกสารฉบับหนึ่ง
เหมือนพวกฝ่ายไอที
หัวใจที่เต้นรัวเริ่มทรงตัวลง เพราะเธอสังเกตได้ว่า ชายคนนี้ไม่รู้จักเฉียวซินโยว
“คุณเฉียว? คิดไม่ถึงเลยนะครับว่าจะสวยขนาดนี้” ชายหนุ่มก้มมองเธอ แล้วเอ่ยขึ้น
เมื่อนั่งลง ก็พูดกับพนักงานว่า “มอคค่าที่หนึ่ง”
“ของที่ฉันต้องการล่ะ?” มู่เวยเวยหรี่เสียงลง เอ่ยถามอย่างใจเย็น
ชายหนุ่มตบกระเป๋าใส่เอกสารที่อยู่ในมืออย่างภาคภูมิใจ “วางใจได้ทั้งหมดอยู่ในนี้ แล้วเงินของผมล่ะ?”
มู่เวยเวยชี้ไปยังกระเป่าที่อยู่ข้างๆ พูดขึ้นอย่างตั้งใจ “แล้วราคาที่นายต้องการ…”
เมื่อได้ยินแบบนั้น ชายหนุ่มก็แสดงท่าทีไม่พอใจ มองเธอขึ้นลงแล้วเอ่ยว่า “คุณเฉียว ผมเห็นว่าคุณไม่ใช่คนที่ขัดสนเรื่องเงินอะไร ราคาแค่ห้าพันหยวนก็ต่ำมากแล้ว ถ้าคุณกลับคำพูด ผมจะเดินออกไปทันที”
“ไม่ใช่ไม่ใช่ ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” เมื่อมู่เวยเวยได้ยินว่าห้าพันหยวน ในใจก็มีความสุขขึ้นทันที เธอคิดว่าจะแพงกว่านี้ซะอีก “ฉันเห็นว่านายเหมือนยังไม่ได้นอน ช่วงนี้คงต้องเหนื่อยแย่ ยังคิดว่าจะเพิ่มราคาให้สักหน่อย ในเมื่อนายพูดมาแบบนี้ งั้นฉัน ฮ่าฮ่า…”
ท่าทางชายหนุ่มดูหงุดหงิด ถ้ารู้ความหมายของเธอเร็วกว่านี้ ตัวเองจะได้ไม่พูดไปแบบนั้น เขาส่งแฟ้มจากบนโต๊ะให้เธอ “ของที่คุณต้องการ”
มู่เวยเวยเอื้อมมือไปหยิบมันและชำเลืองมองอย่างรวดเร็ว ข้างในเป็นถุงกระดาษ ดูเหมือนว่าสิ่งที่ถูกห่ออยู่ด้านในจะเป็นรูปภาพ
ดูตอนนี้คงไม่เหมาะสม มู่เวยเวยรับแฟ้มนั้นมา จากนั้นหยิบเงินจากกระเป๋าตัวเองออกมาห้าพันหยวน “นายต้องการเงินสด นับสิ”
ชายหนุ่มรับเงินไปอย่างมีความสุข พูดขึ้นอย่างร่าเริง “ไม่ต้องนับหรอก คุณคงไม่โกงผม”
พนักงานนำกาแฟเข้ามาเสิร์ฟ ชายหนุ่มรีบหยิบเงินเข้ากระเป๋าทันที
มู่เวยเวยก้มหน้ายิ้ม คนกาแฟในถ้วย รอให้พนักงานออกไป แล้วพูดขึ้น “ฉันหวังว่านายจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ”
ชายหนุ่มตบหน้าอกแล้วพูดว่า “คุณเฉียววางใจได้ สิ่งที่เราต้องยึดมั่นในธุระกิจของเราคือความน่าเชื่อถือ เรื่องนี้นอกจากคุณ ผม คุณชายหนานกง จะไม่มีบุคคลที่สี่ได้รับรู้”
นิ้วมือของมู่เวยเวยจับช้อนไปมา คุณชายหนานกง หนานกงเฮ่า?
เธอไม่ควรแปลกใจ หนานกงเฮ่าและเฉียวซินโยวร่วมมือกันมานานแล้ว
“อืม แบบนี้ก็ดี” มู่เวยเวยตอบกลับ แล้วยิ้มเบาๆ
ชายคนนั้นมองมาที่รอยยิ้มของเธอเพียงไม่กี่วินาที จากนั้นก็ก้มหน้าจิบกาแฟ
“คุณเฉียว ผมต้องขอตัวไปก่อน” ชายหนุ่มลุกขึ้นแล้วกล่าวลา
ทันใดนั้นมู่เวยเวยก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ “เดี๋ยวก่อน”
“ยังมีธุระอะไรอีกครับ?”
มู่เวยเวยยิ้มอ่อนโยน “เพื่อป้องกันผลประโยชน์ของฉัน รบกวนนายช่วยลบเบอร์โทรศัพท์ของฉันออกด้วย”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ
ขอบคุณแอดค่ะ...สนุกค่ะ......
สนุก...