กลุ่มของเย่หวง
มู่เวยเวย โอบลูบเอวที่เจ็บปวดเดินเข้าไปในแผนกออกแบบ สาวสวยเพื่อนร่วมงามด้านตรงข้ามเดินผ่านเข้ามา
“เวยเวย เธอไม่ค่อยสบายเหรอ?” เธอถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย
“ฉันไม่เป็นไร” มู่เวยเวยตอบกลับอย่างรวดเร็ว
หลังจากตั้งแต่ช่วงเวลาที่เธอแสดงความรักเป็นต้นมา ทำให้เพื่อนร่วมงานในบริษัทมีความกระตือรือร้นต่อเธออย่างมาก
“ฉันเห็นสีหน้าของเธอไม่ค่อยสดชื่น แถมยังสวมเสื้อแขนยาวอีก เป็นไข้หวัดหรือเปล่า ? ฉันมียาลดไข้นะ”
“โอ้….ใช่ เป็นไข้หวัดนิดหน่อย ขอบคุณนะ” มู่เวยเวยค้อยตามไปกับคำพูดของเธอ
“ค่ะ เธอไปพักผ่อนก่อนเถอะ ฉันไปเอายาให้เธอ”
เมื่อเธอเดินกลับไปยังที่นั่งของตัวเอง เฉียวซินโยวซึ่งอยู่ด้านข้างๆเธอก็มองเธออย่างเย็นชา แล้วหันหน้าลาจากไป
มู่เวยเวยชินชากับพฤติกรรมของเธอมานานแล้ว ตราบใดที่เธอไม่ยั่วโมโห เธอก็จะไม่ทำให้ตัวเองเดือนร้อน
หลังจากที่มู่เวยเวยแก้ไขงานภาพออกแบบเสร็จ นำเข้าไปในห้องทำงานของเหอเหม่ยหลิง เมื่อเพียงเธอชำเลืองมองก็ทำให้ถูกดึงดูดตรึงตราใจ
ไม่เลว มันดีขึ้นกว่าครั้งที่แล้วมาก เธอเตรียมตัวให้พร้อม ในวันพรุ้งนี้เราจะนำเสนอต่อหน้าประธานเย่ โอกาสครั้งนี่พวกเราต้องได้รับชัยชนะให้ได้
มู่เวยเวยตอบอย่างมั่นใจ “ประธานเหอ ฉันจะพยายามให้สุดความสามารถ ”
“อื้ม ออกไปเถอะ” พร้อมยื่นเอกสารงานออกแบบให้มู่เวยเวยนำไปส่งให้ประธานเย่
เอ่อ.......
“ไปเถอะ!”ประธานเหอเหม่ยหลิงยักคิ้ว
“ค่ะ” มู่เวยเวยรับมันอย่างไม่เต็มใจ เธอรู้สึกเสมือนว่ากลายเป็นเลขาส่วนตัวของเหอเหม่ยหลิงเต็มที่แล้ว ตราบใดที่การเอกสารทั้งหมดตกอยู่ที่เธอ ก็ไม่เยียวยาความเจ็บปวดได้ เท้าของเธออาการเพิ่งจะหายดี
เมื่อถึงหน้าห้องทำงานประธานฉาย มู่เวยเวยก็นึกถึงความป่าเถื่อนเมื่อวานของเขา เป็นช่วงที่ไม่อยากเห็นใบหน้าเขาซะเลย เธอจึงหันหน้ากลับมาที่โต๊ะเลขา
“เลขาหลิว นี่ประธานเหอเหม่ยหลิงส่งมาให้ค่ะ รบกวนคุณส่งให้ประธานเย่”มู่เวยเวยพูดอย่างสุภาพ เธอจำขึ้นใจเสมอ เธอคือนักศึกษาฝึกงานแผนกออกแบบของบริษัท
เลขาหลิวมองที่เอกสารอย่างอ่อนโยน “มู่เวยเวย เอกสารนี่เธอเอาเข้าไปส่งเถอะ ไม่มีคนอยู่ด้านใน”
เพราะว่าไมมีคนเธอจึงไม่ต้องการเข้าไป
“เลขาหลิว โปรดช่วยเหลือฉันเถอะ” มู่เวยเวยยกมือพนมขอร้อง แต่เลขาหลิวก็เพิกเฉย
“มู่เวยเวย ประธานเย่ได้สั่งไว้ ถ้าเธอมาให้เข้าไปด้านในได้เลย”
แผนการนี่ได้มีการไตร่ตรองไว้แล้ว
ไม่มีทางเลือกจริงๆ มู่เวยเวยต้องนำเอกสารกลับเข้าไปในห้องของเย่เฉ่าเฉิน เปิดประตูออก
“ประธานเย่ นี่เอกสารที่ประธานเหอส่งมา”
“อื้ม วางไว้” เย่เฉ่าเฉินยุ่งกับงานที่กำลังทำอยู่ ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา
“ค่ะ งั้นฉันขอตัว คุณยุ่งเถอะ” มู่เวยเวยอุทาน “โอ้วเย้” ในใจ วันนี่เป็นยังไงบ้าง?
ยังไม่ทันออกจากประตูไปถึงไหน ก็ได้ยินเขาถาม “เธอเป็นไข้หวัดเหรอ?”
“ไม่นะ” มู่เวยเวยหันกลับไปกลับ บังเอิญเห็นแก้วถ้วยน้ำร้อนบนโต๊ะ ด้านข้างมียาลดไข้ ชนิดเดียวกับที่เพื่อนร่วมงานสาวสวยคนนั้นให้เธอ
เย่เฉ่าเฉินเงยหน้า “นี่เธอ.... ทำไมวันนี้ส่วมเสื้อผ้าเยอะจัง?หนาวเหรอ?”
มู่เวยเวยไม่พอใจ เธอส่วมเยอะขนาดนี่เขายังไม่รู้อีกเหรอ?
“เธอก็ดูเอาเองสิ แขนของฉันเป็นอย่างนี้แล้ว ยังจะสวมเสื้อยืดได้อีกเหรอ?” พูดจา มู่เวยเวยดึงแขนเสื้อขึ้นเผยให้เห็นรอยช้ำเขียวบนเขียวทั้งสองข้าง
ดวงตาสีฟ้าครามของเย่ฉ่าวเฉินขยายกว้างหยุดสองสามนาทีจากจิตสำนึกถึงความตื่นเต้นและความเสน่หาในห้องน้ำเมื่อคืน เขาหวังแค่สุขสมอารม์หมายของตนเองในเวลานั้น มันก็ช่างโหดร้ายต่อเธออย่างแท้จริง
“ไม่เป็นไร ฉันไปละ”มู่เวยเวยสังเกตเห็นลมหายใจของเขาผิดปกติ เธอดึงแขนเสื้อลงแล้วออกไปด้านนอกทันที
“หยุดก่อน!”เย่ฉ่าวเฉินตะโกน
มู่เวยเวยหยุดชะงัก แล้วหันไป “ประธานเย่ ยังมีธุระอะไรอีกค่ะ?”
เย่ฉ่าวเฉินชี้ไปที่โซฟา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “ฉันจะเลิกงานแล้ว เธอนั่งรอตรงนี้สักครู่ ฉันสั่งมื้อเที่ยงไว้แล้ว”
ทานข้าวด้วยกัน?
ไม่ต้องการ ฉันกลัวระบบอาหารไม่ย่อย
“ประธานเย่ ฉันไปรับประทานอาหารพนักงานได้ด้วยตัวเอง”
เย่ฉ่าวเฉินนิ่งไปสักครู่ “เธอต้องการให้พนักงานพูดถึงฉันล่วงเกินเธองั้นเหรอ?ฉันไม่พูดเป็นครั้งที่สองนะ”
มู่เวยเวยกัดริมฝีปากแล้วกวาดสายตาไปที่เขา เสียงเดินกระทืบเท้า “ตึง ตึง"ไปยังโซฟาแล้วนั่งลงด้วยความรู้สึกขัดขืน
ไม่กี่นาทีต่อมา เลขาหลิวเข้ามาพร้อมรถเข็นอาหารเจ็ดถึงแปดจาน
นี่อุดมสมบรูณ์เกินไปแล้ว
มู่เวยเวยช่วยเลขาหลิวยกอาหารวางไว้บนโต๊ะ พูดคำว่า “ขอบคุณ”หลายครั้งจนเลขาหลิวเขินยิ้มออกมาแล้วเดินจากไป
“ทานข้าวกันเถอะ” รีบทานรีบแยกย้าย หลีกเลี่ยงเขาจะเซ้าซี้อะไรอีก
เมื่อเย่ฉ่าวเฉินได้ยินคำพูดนั้น ก็ทำปากบึ้ง วางงานที่กำลังทำอยู่ ตรงดิ่งไปล้างมือ แล้วกลับมานั่งข้างเธอ
“ยังปวยแขนอยู่ไหม?” เย่ฉ่าวเฉินถามอย่ากระทันหัน
ตะเกียบของมู่เวยเวยหล่นกระแทก เธอหันไปมองด้วยสายตาแปลก “เย่ฉ่าวเฉิน เธอโดนผีสิงหรือเปล่า?”
เขาเป็นห่วงตัวเองกระทันหัน?
เย่ฉ่าวเฉินได้ยินคำพูกของเธอ ก็กัดฟันไปเคี้ยวข้าวไป
ผู้หญิงคนนี่ เหมาะสมแก่การถูกทารุณ ไม่คู่ควรต่อการผูกมิตร
ทำไมเห็นพฤติกรรมแบบนี้ของเธอแล้ว เหมือนตัวเองรู้สึกอยากจะบ้าคลั่งขึ้นมาล่ะ?
มู่เวยเวยรีบทานอย่างเร็ว แทบจะสำลัก กลืนน้ำซุปลงไปสองสามคำ
“เธอกินช้าลงหน่อยได้ไหม?” ไม่มีใครแย่งเธอหรอก เย่เฉ่าเฉินอดไม่ได้ที่จะตำหนิเธอ
“ฉัน…..ฉันหิวเหลือเกิน”มู่เวยเวยเสแสร้งแกล้งพูด
“หื่อ จริงเหรอ?งั้นก็กินเยอะๆหน่อย”เย่ฉ่าวเฉินตักเนื้อผัดพริกไทยใส่ลงไปในจากเธอ เขาจำได้ว่าเธอไม่ชอบกินเผ็ด
มู่เวยเวยมองเห็นน้ำมันพริกแดงเผ็ดร้อนที่อยู่บนผัก ดวงตาแห่งความตกใจโตขึ้นยิ่งกว่าลูกระฆัง เขาทำอย่างนี่ตั้งใจลงโทษฉัน
“กินสิ ไม่ใช่หิวหรอกเหรอ?”เย่ฉ่าวเฉินมองเธอด้วยสายตาที่โหดร้าย ดูเหมือนว่าหากเธอบอกว่าไม่กิน เขาจะยัดมันเข้าไปแน่ๆ
มู่เวยเวยพูดไม่ออก เธอวางชามลงบนโต๊ะ “กินอิ่มแล้ว” หากกินทั้งหมดนี่ลงไป พรุ้งนี้ใบหน้าของเธอก็เต็มไปด้วยสิวแน่นอน เธอยังจะมีชีวิตรอดอยู่ไหม?
“เธอแน่ใจ?”
เห็นได้ชัดว่าเธอถูกคุกคามจากคำพูด มู่เวยเวยมองไปเห็นข้าวในชามของเขา เธอรีบตักกับข้าวให้เขา “ประธานเย่ ฉันอิ่มแล้วจริงๆ เธอเพิ่งทานไปนิดหน่อยเอง ช่วงบ่ายจะมีแรงทำงานเหรอ? มามามา ชิมกุ้งนี้สิ่ อร่อยดีนะ”
เย่ฉ่าวเฉินกับความใส่ใจของเธอ ความโกรธที่เพิ่งก่อตัวขึ้นหายไปอย่างลึกลับ จากนั้นเขาก็ยอมรับการดูแลนั้นทันที
“อันนี่ก็อร่อยมากนะ เธอชิม”มู่เวยเวยตักเห็ดหอมเพิ่มเข้าไปในชามของเขา
เย่ฉ่าวเฉินเผ่งเล็งเพื่อจับสีหน้าที่ไม่มีความสุขบนใบหน้าเธอ เขาผลักเมนูปลาไปที่ด้านหน้าของเธอแล้วพูดอย่างเย็นชา “แยกก้างปลาออกให้ด้วย”
“ทำไมเหรอ? ฉันเพิ่มเนื้อปลาให้เธอได้นะ เธอต้องการก้างปลาไปทำไม?”มู่เวยเวยดึงดัน
“ฉันยินยอม มู่เวยเวย เจ้านายยืนยันว่าจะคัดค้านเหรอ?”เย่ฉ่าวเฉินใช้ร่างกายบีบทับเธอ
มู่เวยเวยจับตะเกียบเเน่นจนมือสั่น กลั้นความรู้สึกเอาไว้ “ประธานเย่ ตอนนี่มันคือเวลาเลิกงาน”
“แต่ตอนนี่เธออยู่ในบริษัท ซึ่งเป็นพนักงานของฉัน”
“จ้า ได้ได้ได้ คุณเก่งกาจที่สุดแล้ว!”มู่เวยเวย ยกนิ้วโป้งชูใส่เขา แล้วก้มแยกก้างปลาด้วยท่าทีที่ประชดประชัน แยกก้างปลาไปพลางสาปแช่งไปพลาง ขอให้ติดคอตาย
ในร้านอาหารชั้นล่างของบริษัท
เฉียวซินโยวกินไปก้มดูตะเกียบที่อยู่ในมือไป แล้วหยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อโทร “ฉันมีเรื่องที่ต้องคุยกับเธอ”
“ตอนไหน?”
“ตอนเย็นหลังเลิกงาน รอฉันส่งโลเคชั่น”
“ดี”
เฉียวซินโยวางสาย ก็ไม่ต้องการทานอาหารต่อ
แม้ว่าหนานกงเฮ่าด่าเธอว่าขยะ แต่เธอก็ไม่ได้สนใจคำพูดเหล่านั้น
ช่างน่าหดหู่ใจจริงๆ
ในตอนเย็น เฉียวซินโยวมาถึงจุดนัดพบร้านหนานกงเฮ่า ฉันต้องการน้ำมะนาวหนึ่งแก้ว ช่วงนี่ต้องการสงบสติอารมณ์
แต่รอแล้วรอเล่า เลยเวลานัดไปแล้วครึ่งชั่วโมง ในร้านหนานกงเฮ่าก็ยังไม่มีใครโผล่มา
เฉียวซินโยวยิ่งรอยิ่งโมโห ไม่ใช่เพราะว่าเป็นคุณหนูมหาเศรษฐีหรอกเหรอ? หากไม่มีพ่อแม่เขา หากไม่เกี่ยวข้องตระกูลหนานกง เฉียวซินโยวไม่มีทางผูกมิตรด้วยแน่นอน
เมื่อท้องฟ้ามืดลงดวงไฟสว่างไสวขึ้น หนานกงเฮ่าก็ปรากฎตัวต่อหน้าเธอ
ตั้งแต่เรื่องราวถูกเปิดเผย พวกเขาก็ไม่ได้ติดต่อกันเลย ยกเว้นทางข้อความ
“หนานกงเฮ่า เธอช่วยมาให้ตรงต่อเวลาได้ไหม เธอดูสิสายไปนานขนาดไหนแล้ว ให้ผู้หญิงนั่งรออยู่คนเดียว รู้สึกผิดไหม?”เฉียวซินโยวยุให้เขาโมโห
หนานกงเฮ่าก็ไม่ใช่คนที่พูดจาประจบ “เธอรอไม่ได้ก็ไปสิ เรื่องราวครั้งที่แล้วฉันยังไม่ถามเธอนะ? แผนการเป็นความลับมากขนาดนั่น ทำไมถูกเปิดเผยได้ละ?”
“เรื่องนี่ไม่ต้องสงสัยฉันเลยนะ แฮ็กเกอร์ที่เธอหามาฝีมืออ่อนเกินไป ยังไม่เจอฉันตัวจริงๆเลยก็นำรูปให้ฉันดูซะเเล้ว....”
“เรื่องราวตอนไหน?ทำไมเธอไม่บอกฉัน?”หนานกงเฮ่าล้มหน้าหลบหลีกสิ่งที่เธอพูด
เฉียวซินโยวก้มหน้า ตอนนั้นเธอก็อยากจะบอกหนานกงเฮ่า แต่รอสองสามวันแล้วเงียบไม่มีความเคลื่อนไหว จากทัศนคติเรื่องน้อยดีกว่าเรื่องเยอะ ฉันเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ แต่ก็คิดไม่ถึงว่ามันจะกลายเป็นเรื่องที่เลวร้าย
หนานกงเฮ่าโมโหอย่างที่สุด “เฉียวซินโยว แกมีสมองหรือเปล่า? เรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมไม่บอกฉัน?แกคิดว่ามิตรภาพของเรายังไปได้รอดไหม?”
“ขอโทษ.....เรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว”เฉียวซินโยวขอโทษด้วยน้ำเสียงเบา ตอนนี่เป็นเรื่องยากเหลือเกินที่เขาเพียงคนเดียวจะบรรลุเป้าหมาย
หนานกงเฮ่าจ้องมองเขาเป็นเวลานาน อยากหันหน้าเดินหนีจากไป แต่....
“พูดเธอ ครั้งนี้มาหาฉันมีธุระอะไร?”
เฉียวซินโยวกุมแก้วน้ำมะนาวที่อยู่ในมือ เธอพูดสั้นๆเกี่ยวกับเรื่องเธอและเย่ฉ่าวเหยียน “เย่ฉ่าวเหยียนคนนี้ช่างแปลกประหลาดเหลือเกิน เขามาช่วยฉันทุกครั้งที่ฉันไม่ขอความช่วยเหลือ แต่เมื่อฉันขอความช่วยเหลือจากเขากลับโดนปฎิเสธ เธอว่าเขาคิดยังไงของเขา?”
“เย่ฉ่าวเหยียน เขาคือคุณชายสองของตระกูลเย่ ทำอะไรก็ทำตามใจตัวเอง เขามีพฤติกรรมแบบนี้กับเธอก็ไม่แปลก”หนานกงเฮ่าเคยเจอเย่ฉ่าวเหยียนไม่กี่ครั้ง รู้จักเขาดีเหลือเกิน
“งั้นฉันจะได้รับความไว้วางใจจากเขาได้อย่างไร? ตอนนี่ตระกูลเย่ มีเพียงเขาที่สามารถช่วยเหลือฉันได้”
หนานกงเฮ่ากุ้มแก้วเหล้า แล้วพูดอย่างใจเย็น “เขาไม่ต้องการร่วมมือกับเธอ เพราะเขาอ่านเกมส์ออกว่าเธอจะจับเสือมือเปล่า นอกแต่ว่าเธอจะมีในสิ่งที่เขาต้องการ ไม่จำเป็นต้องไปหาเขา เขาจะขอสิ่งนั้นตามธรรมชาติ”
เฉียวซินโยวหดหู่ใจเหลือเกิน “ฉันรู้เขาต้องการรู้ข่าวสารของมู่เทียนเย่ แต่ทว่าฉันจะไปหามู่เทียนเย่
ได้ที่ไหน?”เขาพูดจบ กวาดสายตาไปที่หนานกงเฮ่า “หรือเธอมีมู่เทียนเย่เบาะแส?”
หนานกงเฮ่าหัวเราะถูกใจถูกคอ “ถ้าฉันรู้มู่เทียนเย่อยู่ที่ไหน พวกเรายังต้องเสียเวลาขนาดนี่ไหม?” เธอคิดว่ามู่เทียนเย่หาตัวง่ายนักเหรอ?เขาร้ายกาจยิ่งกว่าเย่ฉ่าวเฉินสะอีก
“หึ!งั้นที่เธอพูดมาก็ไม่ได้เสียเปล่า?”
หนานกงเฮ่าจิบเหล้าด้วยสายตามีเลห์ กลอุบาย “ซื่อบื้อเหรอ? เขาต้องการมู่เทียนเย่ แกก็ต้องให้มู่เทียนเย่สิ ว่าแต่มู่เทียนเย่ผู้นี้จะมีอยู่จริงหรือไม่ เหอะๆ....”
จู่ๆเฉียวซินโยวก็มีไหวพริบขึ้นมา เมื่อฟังหนานกงเฮ่าพูดจบ ตอบกลับด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “เธอกำลังคิดใช้มู่เทียนเย่ตัวปลอมมาทำให้พวกเขาสับสน?”
“ไม่เพียงแต่จะทำให้พวกเขาสับสน แต่จะทำให้มู่เวยเวยและเย่ฉ่าวเฉินแตกหักกันไปสักพัก ได้ยินว่ามู่เวยเวยและเย่ฉ่าวเหยียนความสัมพันธ์ไม่เลว?”หนานกงเฮ่ายักคิ้วถาม
นึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสอง เฉียวซินโยวทั้งอิจฉาทั้งริษยา “มู่เวยเวยเคยช่วยเหลือเย่ฉ่าวเหยียน ส่วนเย่ฉ่าวเหยียนก็เคยช่วยยู่เวยเวยมาก่อนเช่นกัน เธอคิดว่าความสัมพันธ์พวกเขาจะดีไม่ดีละ?”
หนานกงเฮ่ามีความคับข้องใจที่อธิบายไม่ได้ มู่เวยเวยยังมีความกลมเกลียวกับผู้ชายคนอื่น แล้วทำไมเธอถึงยอมรับตัวเองไม่ได้ละ?แค่ความเป็นเพื่อนก็ไม่ยอมรับนั่นเหรอ?
“ถ้าอย่างนี่แล้ว เธอก็อยู่ตรงกลาง ให้พี่น้องทั้งสองของพวกเขาเปลี่ยนมู่เวยเวยเป็นศัตรูสิ เป้าหมายของพวกเราก็สำเร็จแล้ว?”
ดูเหมือนเฉียวซินโยวจะมองเห็นอนาคตสักอย่าง ดวงตาทั้งสองเปิดกว้างขึ้น “มู่เทียนเย่ตัวปลอมหาได้รึยัง?”
“แน่นอนอยู่แล้ว ถึงเวลาฉันจะให้เธอร่วมการแสดงครั้งใหญ่นี่”ใบหน้าของหนานกงเฮ่าแฝงร้อยยิ้มที่ร้ายกาจ
เฉียวซินโยว อดใจรอไม่ไหว “ฉันต้องทำอะไร?เธอพูด”
หนานกงเฮ่าก้าวไปข้างหน้า พูดด้วยน้ำเสียงต่ำ “พวกเราแบบนี่ก่อน....”
ในวันรุ่งขึ้น เพื่อเลือกภาพวาดออกแบบที่ดีที่สุดร่วมมือกับแผนกแฟชั่นทั้งสองแผนกคัดเลือกโปรแกรมที่ดีที่สุด
เหอเหม่ยหลิงและผู้แข่งขันหลีจื่อเจี๋ยแยกที่นั่งสองด้าน ไม่มีใครยอมใคร แค่เพียงรอให้ที่นั่งในห้องประชุมเต็มไปด้วยผู้ชม
มู่เวยเวยนั่งข้างๆเหอเม่ยหลิง ครั้งนี่เธอประหม่าจนในมือออกเหงื่อ ถึงแม้ว่าเขาเคยพูดต่อหน้าผู้คนจำนวนมากมาก่อน แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนที่ผ่านมา ยิ่งเธอถูกให้ความสำคัญก็จะยิ่งตื่นเต้น
เหอเหม่ยหลิงมองเห็นความผิดปกติของเธอ จึงหันไปกระซิบข้างหู“ไม่ต้องตื่นเต้น ฉันเห็นศักยภาพในภาพการออกแบบของเธอ แค่เธออธิบายแนวคิดอย่างชัดเจนก็ชนะขาดลอยแล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ
ขอบคุณแอดค่ะ...สนุกค่ะ......
สนุก...