วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ นิยาย บท 136

เหอเหม่ยหลิงทำงานด้านการจัดการห้างสรรพสินค้าเป็นเวลาหลายปีและแน่นอนว่าเธอต้องเข้าใจเหตุผลเหล่านี้ดี

ในตอนนี้มู่เวยเวยไม่ได้เป็นลูกน้องในมือของเธอ แต่เป็นภรรยาของประธานเย่ แน่นอนว่าจำเป็นต้องไว้หน้าเขา

"โอเค เวยเวย ครั้งนี้ฉันอยากจะขอบคุณคุณ หากไม่มีคุณทีมของเรามีโอกาสที่จะชนะในครั้งนี้น้อยมาก"

มู่เวยเวยยิ้มอย่างมีความสุข“ประธานเห่อ คุณอย่าชมฉันเลย ถ้าขืนยังชมฉันอีกเดี๋ยวฉันไปไม่ถูก ถ้าอย่างนั้นหมดแก้วแล้วกัน”

จากนั้นก็เงยหน้าดื่มไวน์แดงไปครึ่งแก้ว เสียง "อึก อึก" ดังขึ้นพร้อมกับไวท์ที่ลงท้องเธอไป เย่ฉ่าวเฉินเงยหน้ามองคอขาวบางของเธอ

ค่อยๆเผาไหม้ ...

ต่อมา ตราบใดที่มีคนมาชนแก้วกับเย่ฉ่าวเฉิน ไวท์ทั้งหมดก็จะลงไปในท้องของมู่เวยเวย เธอได้กินอาหารอร่อยๆเพียงไม่กี่คำตลอดทั้งคืนและเอาแต่ดื่มแทนคนอื่น

เมื่อเย่ฉ่าวเฉินเห็นเธอเมาได้ที่และกำลังเขย่าหัวไปมาแถมยังเกือบชนโต๊ะอาหารหลายครั้ง ในใจก็คิดขึ้นมาว่าควรถึงเวลาแล้ว

"มู่เวยเวยเรากลับกันเถอะ" เย่ฉ่าวเฉินกระซิบข้างหูของเธอ

หลังจากนั้นมู่เวยเวยก็ผลักเขาออกไปและพูดว่า "ฉันไม่กลับ ฉันจะดื่มไวน์ ไวน์นี้อร่อยจัง"

เย่ฉ่าวเฉินรีบจับมือเธอเพื่อคว้าแก้วไวน์และจับเธอไว้ในอ้อมแขนของเขา "เรากลับไปดื่มกัน ไวน์ที่บ้านอร่อยกว่าเยอะ"

"คุณโกหก ฉันไม่กลับหรอก" มู่เวยเวยชกหน้าอกของเขาด้วยกำปั้นเล็กๆผ่านเสื้อเชิ้ตตัวบางแล้วหยอกล้อกับความปรารถนาที่รอคอยมานานของเขา

"เป็นเด็กดีนะ ผมอุ้มคุณกลับบ้าน" เสียงของเย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างนุ่มนวล เพื่อนร่วมงานที่อยู่ข้างๆต่างมองและพากันอิจฉา

"ประธานเห่อ ประธานหลี่ คุณกับเพื่อนร่วมงานตามสบายเลย ผมขอตัวส่งเวยเวยกลับก่อน"

"ได้เลย ประธานเย่เดินทางปลอดภัย" หลีจื่อเจี๋ยพูดอย่างรวดเร็ว

เย่ฉ่าวเฉินพยักหน้าให้ทุกคน สายตาของเขากวาดไปที่เฉียวซินโยวที่กำลังเมาเหมือนกัน ท่าทางการแสดงออกของเขาไม่เปลี่ยนไปเลย เขาก้มตัวลงคลุมชุดสูทของตัวเองให้กับมู่เวยเวย จากนั้นก็อุ้มเธอแล้วเดินออกไป

"โอ้ ... ประธานเย่ช่างสมบูรณ์แบบจริงๆ ... ฉันอิจฉามู่เวยเวยจัง" เพื่อนร่วมงานหญิงคนหนึ่งพูดออกมาภายใต้เสียงที่อยู่ในใจของผู้หญิงหลายๆคน

"ใช่ เวลาหาสามีต้องหาแบบประธานเย่ ทั้งมีอำนาจทั้งอ่อนโยน เธอเห็นแววตาของเย่ฉ่าวเฉินตอนที่เธอมองไปที่เวยเวยไหม?หวานจนแทบจะฆ่ากันเลย ... "

"อ่า ไม่ได้ ไม่ได้การแล้ว ฉันก็อยากมีความรัก ... "

เฉียวซินโยวเมามากแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูด ทันใดนั้นเขาก็กระแทกแก้วในมือของเขา "ฉันจะบอกพวกเธอให้ ไม่ช้าก็เร็วฉันจะแย่งเขามา!"

จู่ๆบรรยากาศที่คึกคักรอบโต๊ะอาหารที่มีชีวิตชีวาก็เงียบหายไป ทุกคนมองเธอด้วยท่าทางแปลก ๆ ฉากต่างๆดูเข้าที่มาก

เหอเหม่ยหลิงกลัวว่าเธอจะพูดอะไรออกมาอีก จึงรีบบอกเพื่อนร่วมงานผู้หญิงทั้งสองคนในแผนกทันที“เฉียวซินโยวเมาแล้ว เสี่ยวจาง คุณกับลีน่าพาเธอออกไปก่อนและถามว่าเธอพักที่ไหน”

"โอเค ได้"

"อย่าแตะต้องตัวฉัน ฉันจะดื่มต่อ ... ฉันสาบาน ฉันต้อง ... " เสี่ยวจางปิดปากของเธออย่างรวดเร็วและพูดว่า "เฉียวซินโยว คุณเมาแล้ว เราจะพาคุณไปตั้งสติ"

หลังจากฉุดกระชากลากถู ในที่สุดเฉียวซินโยวก็ถูกทั้งสองนำตัวออกมาได้

พวกเขาต่างนั่งอยู่ในห้องรับแขกของร้านอาหาร เฉียวซินโยวนอนลง เสี่ยวจางลูบแขนที่เมื่อยของเธอแล้วบ่นว่า "เธอว่าเขาบ้าไปแล้วเหรอ เรื่องนั้นเพิ่งผ่านไป ประธานเห่อก็แสดงท่าทีออกมาแล้ว เขายังไม่สนใจแถมยังดื้อดึงอีก เขาจะทำอะไรกันแน่ "

ลีน่าเช็ดเหงื่อด้วยทิชชู่ มองไปที่เฉียวซินโยวแล้วพูดว่า "เขาพูดว่าอะไรนะ? อยากแย่งประธานเย่มา เขาไม่ดูตัวเองเลย ทำอย่างกับว่าตัวเองสวยกว่ามู่เวยเวย แต่เอาเข้าจริงๆนิสัยใจคอเขาก็แย่กว่าเยอะ อีกทั้งยังไม่มีความสามารถเท่ามู่เวยเวย แบบนี้ยังอยากแย่งประธานเย่เหรอ? เห้อ "

"พระเจ้า... โชคดีที่ประธานเย่จากไปแล้ว ถ้าเขายังอยู่ที่นั่นหนังเรื่องนี้ก็คงจะสนุกน่าดู" เสี่ยวจางพูดอย่างซุบซิบ

"พอแล้ว หยุดพูดได้แล้ว คิดก่อนว่าจะทำยังไงกับเธอดี"

ทำเอาพวกเขาสองคนปวดหัวทีเดียว เหอเหม่ยหลิงเดินไป

"ประธานเห่อ ควรทำยังไงกับเฉียวซินโยวดี" เสี่ยวจางถาม พวกเขาต่างรู้ว่าเฉียวซินโยวอาศัยอยู่ในบ้านของเย่ฉ่าวเฉิน แต่ถ้าโทรหาเย่ฉ่าวเฉินเกี่ยวกับเรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง

เหอเหม่ยหลิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วขมวดคิ้วและพูดว่า "ตึกข้างๆเป็นโรงแรม เปิดห้องให้เธอพักสักคืนไหม"

"ก็คงต้องเป็นแบบนั้น"

...

เมื่อมู่เหว่ยเหว่ยเมาจะมีนิสัยประหลาด นั่นคือเธอชอบร้องเพลง อาจเป็นเพราะน้ำเสียงที่ไม่สมบูรณ์แบบของเธอเลยไม่เคยกล้าร้องต่อหน้าคนแปลกหน้า ดังนั้นเธอจึงปล่อยตัวเองเฉพาะตอนที่เมาเท่านั้น

ในรถเย่ฉ่าวเฉินมองไปที่ใครบางคนด้วยความปวดหัวเพราะเขากำลังร้องโหยหวนอย่างน่ากลัว ในที่สุดก็เข้าใจสิ่งที่เธอพูดประโยคนั้นก่อนจะเมา ทำให้ตอนนี้เขาอยากจะทิ้งเธอไว้ข้างถนนจริงๆ

"กะหล่ำปลีน้อย ... สีเหลืองทั้งพื้น ... สองหรือสามขวบ ... แม่ที่ตาย ... " มู่เวยเวยร้องเพลงผ่านหน้าต่าง เย่ฉ่าวเฉินสาบานว่าเขาไม่เคยได้ยินเสียงใครที่ร้องเพลงได้แย่ขนาดนี้มาก่อน

"มู่เวยเวยหยุดร้องสักพักได้ไหม?" เย่ฉ่าวเฉินตะโกนใส่เธอ

แรงกระตุ้นและความปรารถนาเล็กๆก่อนที่จะอุ้มขึ้นรถถูกเธอกวาดหายไปหมด แล้วทำไมเขาถึงไม่รู้ว่าเวลาเธอเมาแล้วจะกลายเป็นสภาพนี้

มู่เวยเวยจ้องกลับมาที่เขาหลังจากร้องเพลงจบ "คุณ ... คุณมีสิทธิ์อะไรไม่ให้ฉันร้อง"

"เสียงแย่มาก"

"แย่เหรอ? ฉันว่าเสียงดีออก" มู่เวยเวยส่ายหัวและอ้าปากอีกครั้ง "กะหล่ำปลีน้อย ... "

เย่ฉ่าวเฉินไม่สามารถทนได้อีกต่อไป เขาจึงดึงเธอเข้ามาแล้วเอามือปิดปากเธอไว้ "เลิกร้องได้แล้ว"

เพราะมู่เวยเวยดื่มไวน์จนเมา เธอจึงไม่ค่อยมีสตินัก ปากที่ค้างอยู่ของเธอจึงกัดนิ้วของเขาทันที

"อ๊าก มู่เวยเวย เธอเป็นหมาหรือไง?"เย่ฉ่าวเฉินหายใจเข้าลึกๆจากนั้นให้เธออ้าปากแล้วเอานิ้วออกมา นิ้วของเขาเห็นถึงรอยฟันอย่างชัดเจน

"ใครสั่งให้คุณไม่ให้ฉันร้องเพลง" หลังจากที่มู่เวยเวยพูดประโยคนี้จบ เธอก็เกาะเข้ากับกระจกรถแล้วร้องเพลง"กะหล่ำปลีน้อย" ของเธอต่อ

เย่ฉ่าวเฉินยอมแพ้โดยสิ้นเชิง เมื่อเธอร้องเพลงวนมาถึงรอบที่สาม เขาก็พูดเชิงแนะนำว่า "มู่เวยเวย คุณเปลี่ยนเพลงได้ไหม"

มู่เวยเวยดูเหมือนจะกำลังนึกเพลงในหัวอย่างจริงจัง นึกแล้วนึกอีก จากนั้นหัวของเธอก็ซบลงบนไหล่ของเขาและหลับไป

เย่ฉ่าวเฉินถอนหายใจด้วยความโล่งอก ถ้ารู้ว่าวิธีนี้ใช้ได้ผล หูของเขาคงไม่ต้องทนฟังนานขนาดนี้

เมื่อมาถึงบ้าน เย่ฉ่าวเฉินก็อุ้มเธอขึ้นไปชั้นบนและโยนเธอลงบนเตียงทันที จากนั้นก็หันหลังจากไป

ตอนนี้เขาในหัวเขามีแต่ "กะหล่ำปลีน้อยๆ " วนไปวนมาและไม่มีความปรารถนาที่จะทำอะไรอีกเลย

ในตอนเช้า มู่เวยเวยตื่นขึ้นมาด้วยอาการปวดหัว เมื่อก้มมองไปที่ตัวเองที่ยังสวมเสื้อผ้าเมื่อคืนเลยก้มศีรษะลงพร้อมดมกลิ่น พระเจ้านี้มันกลิ่นอะไรทำไมเหม็นแบบนี้

ยังไม่ทันได้คิดอะไร มู่เวยเวยก็พลิกตัวและวิ่งไปที่ห้องน้ำทันที

...

ในห้องอาหารเมื่อเย่ฉ่าวเฉินเห็นเธอเดินมา เขาก็นึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในเมื่อคืนอย่างอัตโนมัติและล้อเธอว่า " กะหล่ำปลีน้อย ตื่นแล้วหรอ?"

มู่เวยเวยแข็งทื้อไปชั่วขณะ“ กะหล่ำปลีน้อยอะไร?”

"เฮ้ ผมก็ไม่รู้ว่าใคร ดื่มจนไม่มีสติแถมยังเกาะหน้าต่างแล้วร้องเพลงกะหล่ำปลีน้อย" เย่ฉ่าวเฉินยิ้มด้วยดวงตาที่สดใสและดูดี

เย่ฉ่าวเหยียนเดินเข้ามาพร้อมกับถามอย่างสงสัย "จริงเหรอ?พี่สะใภ้ชอบร้องเพลงตอนเมาหรอ?ร้องเพราะไหม?"

มู่เวยเวยรีบพูดว่า "แย่มาก มันแย่มากจริงๆ"

"ฮึ ยังรู้ตัวนิ" เย่ฉ่าวเฉินหันหน้ามายิ้มและพูดกับน้องชายว่า "เธอเป็นคนที่ร้องเพลงได้แย่ที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้ยินมา ถ้านายคิดว่าหูนายทนได้ ก็ขอเธอร้องให้ฟังสักท่อนสองท่อน”

"เฮ้! เย่ฉ่าวเฉิน ฉันไม่ใช่นักร้องตามข้างทางสักหน่อย คุณหมายความว่ายังไงกับท่อนสองท่อน" มู่เวยเวยไม่พอใจและยัดซาลาเปาเข้าปากของเขาพร้อมกับตำหนิเขา ขายหน้า ขายหน้าจริงๆ!

เย่ฉ่าวเฉินมองไปที่มู่เวยเวยที่กำลังโวยวาย แต่ในใจเขาก็มีความคาดหวังบางอย่าง ถ้าเขามีโอกาสเขาจะต้องสอนเธอร้องเพลงอย่างแน่นอน

"เอ๊ะ? เฉียวซินโยวล่ะ?ยังไม่ลงมาอีกเหรอ?" มู่เวยเวยถาม ปกติเธอมักจะตื่นเช้าที่สุด

แม่บ้านฉินพูดอยู่ข้างๆว่า "เมื่อคืนคุณเฉียวไม่ได้กลับมา"

"อ้อ ~" มู่เว่ยเว่ยแหล่สายตาไปยังเย่ฉ่าวเฉินเมื่อเห็นใบหน้าที่ไม่เปลี่ยนไปของเขาเลยกลืนสิ่งที่จะพูดลงไป

...

ในโรงแรมเฉียวซินโยวก็ตื่นนอนแล้วและยังนอนอยู่บนเตียงสักพักก่อนที่จะค่อยๆนึกสิ่งที่เกิดขึ้นได้ แต่เธอกลับลืมสิ่งที่พูดไปจนหมด

ใครพาเธอมาที่โรงแรม?

เฉียวซินโยวเปิดผ้าห่มออก เสื้อผ้าทั้งหมดบนร่างกายของเธอยังอยู่ครบและมีกระดาษโน้ตแปะอยู่บนหัวเตียง เขาหยิบมันขึ้นมาอ่าน: เฉียวซินโยว คุณดื่มจนเมา เราเลยส่งคุณมาที่โรงแรม จ่ายเงินไปแล้ว ตอนเที่ยงอย่าลืมเช็คเอาท์ ลายเซ็นคือเห่อเหม่ยหลิง

อืม คำสั้นๆกระชับและรัดกุมตามสไตล์ของเธอ โดยไม่มีคำพูดไร้สาระแม้แต่คำเดียว

แต่เธอไม่ได้กลับบ้านทั้งคืน เย่ฉ่าวเฉินตามหาเธอไหมนะ?

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เฉียวซินโยวก็ลุกจากเตียงและดึงโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋า ไม่มีสายที่ไม่ได้รับ รวมทั้งข้อความแม้แต่ข้อความเดียวก็ไม่มี ...

น้ำตาร่วงลงมาอย่างอธิบายไม่ถูก เธอไม่ได้กลับบ้านทั้งคืนและไม่มีใครติดต่อหาเธอเลย ถ้าเธอเกิดอุบติเหตุอยู่ข้างนอกจนเสียชีวิต ก็จะไม่มีใครรู้ใช่ไหม?

เสียงร้องไห้ดังขึ้นเรื่อยๆ จากสะอื้นจนร้องไห้และวนกลับมาร้องไห้อย่างเงียบๆอีกครั้ง เฉียวซินโยวดูเหมือนจะร้องไห้ด้วยความคับข้องใจของทั้งหมดในช่วงนี้ออกมา

เมื่อช่วงเวลาบ่ายโมงก็มาถึงบริษัท เฉียวซินโยวสังเกตเห็นดวงตาของเพื่อนร่วมงานมองเธอแปลกๆ รอยคล้ำใต้ตาไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้นหรือเปล่า

ในห้องรับรองมีเพื่อนร่วมงานหญิงหลายคนกำลังดื่มกาแฟ เฉียวซินโยวแอบยืนฟังอยู่ในที่ที่พวกเขามองไม่เห็น

"เห็นตาของเฉียวซินโยวไหม มันแดงไปหมดเลยฉันเดาว่าต้องเป็นเพราะเมื่อคืนร้องไห้แน่ๆ"

"หึ เธอทำตัวเองไม่ใช่เหรอ? จู่ๆเมื่อคืนก็พูดแบบนั้นออกมา พวกเธอลองทายว่าเธอจะจำได้ไหม?"

เฉียวซินโยวขมวดคิ้ว เมื่อคืนเธอพูดอะไรออกไป?

"ฉันว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์เธอต้องลืมเรื่องนี้ไปแล้วแน่ๆ ไม่งั้นเธอก็หน้าหนาเกินไปแล้ว"

"เฮ้ – แต่พูดตามตรง ฉันชื่นชมเธอจริงๆที่กล้าพูดว่าจะแย่งประธานเย่มา ปกติฉันแค่แอบคิดแค่ในหัวเท่านั้นเอง ฮ่าฮ่าฮ่า... "

ตาของเฉียวซินโยวกระตุกสองสามครั้ง แท้จริงแล้วเมื่อวานหลังจากที่เธอเมา เธอพูดความในใจออกไป?

ถึงว่าพวกเขาถึงมองเธอแปลก ๆ

ช่างเถอะ พวกเขาจะรู้ก็ปล่อยให้รู้ไป ยังไงซะเรื่องนี้ก็จะเป็นจริงในไม่ช้า

สองวันต่อมาในวันหยุดสุดสัปดาห์ท้องฟ้าช่างปลอดโปร่ง

มู่เวยเวยตื่นเช้ามาก เมื่อคืนเธอฝันถึงพ่อแม่ที่เสียชีวิตไปแล้ว พวกเขายืนอยู่ห่างๆและยิ้มให้เธอด้วยความรัก พวกเขาพูดกับเธอว่า "เวยเวยสุขสันต์วันเกิด ลูกต้องใช้ชีวิตให้ดีๆกลับมาอยู่พร้อมหน้ากับพี่ชายนะ”

น้ำตาเธอไหลและวิ่งเข้าไปเพื่ออยากจะกอดพวกเขาไว้ แต่ดูเหมือนเท้าของเธอจะผูกติดกับก้อนหิน ยิ่งเธอวิ่งมากขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งช้าลงเรื่อยๆ ร่างของพวกเขาก็ยิ่งไกลออกไปเรื่อยๆ สุดท้ายพวกเขาก็หายไป

พ่อกับแม่รู้ว่าวันเกิดเธอถึงแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงมาอวยพรเธอเป็นพิเศษอย่างนั้นหรอ?

เธอไม่ได้ฝันถึงพี่ชาย ซึ่งหมายความว่าพี่ชายของเธอยังมีชีวิตอยู่

“คุณหนูวันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ คุณไม่ไปทำงานนิ ทำไมยังตื่นเช้าแบบนี้ล่ะ?” แม่บ้านฉินเดินเข้าไปในครัว ยืนมองเธอที่ดูโทรศัพท์มือถือและกำลังมองหาวัสดุบางอย่างพร้อมกัน

มู่เวยเวยดูเหมือนจะเห็นผู้ช่วยชีวิตแล้วรีบเดินขึ้นไปและพูดว่า "แม่บ้านฉิน คุณสอนฉันทำบะหมี่อายุยืนหน่อย"

พ่อกับแม่บอกว่าต้องใช้ชีวิตให้ดี ถ้าอย่างนั้นเธอก็จะอยู่ดีกินดีแน่นอน

แม่บ้านฉินตกตะลึงและถามเธอว่า "วันเกิดใคร คุณหรอ?"

มู่เวยเวยทำเสียง "ชู่ว์" สักพัก แล้วมองไปข้างนอกและกระซิบว่า "แม่บ้านฉิน วันนี้เป็นวันเกิดฉัน แต่ฉันแค่อยากทำอาหารที่ง่ายๆอย่างบะหมี่อายุยืนสักหนึ่งชามให้ตัวเองและอย่าบอกใครทั้งนั้น ฉันไม่อยากให้พวกเขารู้"

แม่บ้านฉินเข้าใจความยากลำบากของเธอและถอนหายใจในใจแล้วพูดว่า "โอเค ฉันรู้แล้วคุณหนู แต่ตอนนี้ฉันจะต้องทำอาหารเช้าให้เหล่าคุณชายก่อน ช่วงสายๆไม่มีอะไรให้ทำฉันจะสอนคุณทำบะหมี่อายุยืนแล้วกันนะ”

มู่เวยเวยยิ้มด้วยความสุขแล้วเอื้อมมือไปกอดเธอแล้วพูดว่า "ขอบคุณค่ะแม่บ้านฉิน ถ้างั้นฉันออกไปก่อนนะ"

"คุณหนู" แม่บ้านฉินเรียกเธอแล้วยิ้มอย่างใจดี "สุขสันต์วันเกิด"

ดวงตาของเธอชุ่มชื้นขึ้นในทันที เธอกลั้นน้ำตาและพยักหน้าให้เธอจากนั้นก็จากไป

หลังจากเธอลืมตานี่เป็นคนแรกที่กล่าวอวยพรวันเกิดให้เธอ เธอดีใจมากที่มีคนอวยพรให้เธอในวันดังกล่าวอย่างจริงใจ

เมื่อขึ้นไปถึงชั้นบน ก็มองหากระโปรงตัวใหม่ที่ยังไม่เคยใส่และแต่งหน้าเบาๆ แม้ว่าจะไม่มีใครรู้ แต่ในวันนี้เธอก็ต้องทำให้ตัวเองมีความสุขและอยากให้พ่อแม่ที่อยู่บนสวรรค์วางใจเช่นกัน

หลังเวลาสิบโมงกว่า มู่เวยเวยกับแม่บ้านฉินกำลังทำบะหมี่อายุยืนในครัว พ่อบ้านหวังก็เดินเข้ามาพร้อมกับพัสดุห่อใหญ่ในมือ "คุณหนูนี่เป็นพัสดุของคุณ"

มู่เวยเวยรู้สึกประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่งและถามซ้ำเพราะไม่เชื่อ "พัสดุของฉัน?"

"ใช่ครับ ด้านบนมีชื่อของคุณ มู่เวยเวย" คุณอาหวังยืนยันอีกครั้ง

มู่เวยเวยเช็ดมือของเธอแล้วรับพัสดุมา เมื่อลองกะน้ำหนักก็ไม่หนักมาก

แต่ว่า ทำไมถึงมีคนส่งของให้เธอละ? มันดูแปลกเกินไป

"ขอบคุณค่ะ คุณอาหวัง" มู่เวยเวยขอบคุณเสร็จเลยหันมาพูดกับแม่บ้านฉิน "ฉันขึ้นไปดูก่อนว่ามันคืออะไร รอสักแป๊บค่อยมาเรียนต่อนะ"

“ อืม ไปเถอะ”

...

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ