มู่เวยเวยกลั้นน้ำตาที่ไหลอยู่ในหัวใจ พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “พ่อแม่ขอเขาสุขภาพไม่ดี กลับบ้านเกิดไปแล้ว”
“อ๋อ….ฉันคิดออกแล้ว ก่อนหน้านี้ พ่อแม่ของเขาเคยมาหาเขาที่ประตูบริษัทใช่ไหม? ได้ยินว่าพ่อของเขายังนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล”
มู่เวยเวยตอบอย่างไว “อื้ม เพราะว่าพ่อเขาไม่สบาย เขาคือลูกคนเดียวของครอบครัว ยังไงก็ต้องไปดูแลพ่อแม่”
“เรื่องมันเป็นเช่นนี่นี้เอง ฉันนึกว่าเขาจะเเอบอู่งาน หนีไปซะอีก ลีน่าพูดด้วยน้ำเสียงประชด”
ล้วนพูดกันว่าคนตายแล้วมักจะเป็นใหญ่ ถึงแม้ว่าจะทำไม่ดีไม่ร้ายไว้ แต่เขาก็จากไปดั่งสายลม มู่เวยเวยไม่อยากฟัง คำพูดที่ใส่ร้ายป้ายสีเขาลับหลัง
“แยกย้ายเถอะแยกย้าย เดี๋ยวประธานเหอก็ออกมาตำหนิหรอก “คำพูดมู่เวยเวยทำให้ทุกคนแยกแตกกลุ่ม
เพราะว่าเพิ่งเริ่มทำงาน มู่เวยเวยไม่มีคำพูดมากมาย ตั้งใจอ่านนิตยสารแฟชั่นฉบับใหม่อย่างจริงจังและเต็มไปด้วยการคาดหวัง อวยพรให้พี่ชายใหญ่มองเห็น และรีบมาหาฉันโดยเร็ว แบบนี้จะทำให้รอดพ้นจากเงื้อมมือปีศาจ
เที่ยงแล้ว มู่เวยเวยและเพื่อนร่วมงานเดินไปพลางพูดคุยจะไปทานอาหารเที่ยงที่ไหนกัน ลิฟต์จากด้านบนเลื่อนลงมา แล้วเปิดออกด้านในมีหนึ่งคนยืนอยู่
ผู้คนที่กำลังพูดคุย จีจี ชาชา อยู่ในลิฟต์ก็เงียบเสียงลงทันที มู่เวยเวยมองไปที่ใบหน้าที่เฉยเมยเย่ฉ่าวเฉิน มีคนเข้ามาในลิฟต์ คนในลิฟต์ทยอยกันเข้าไปด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย
“สวัสดีประธานเย่ ”
“สวัสดีประธานเย่ ”
เย่ฉ่าวเฉินตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มโทนสูง “อื้ม” เสมือนตอบรับคำทักทาย
เสี่ยวหลี่และลีน่าพยักหน้าและสบตา ดูเหมือนจะโชคดีมาก ปกติประธานเย่ใช้ลิฟต์ส่วนตัวของเขา?ทำไมวันนี่มาใช้ลิฟต์พนักงานละ?
อ่ะ ต้องมาดูมู่เวยเวยแน่ๆ เพื่อนร่วมงานสาวๆเหล่านั้นเกิดความเสื่อมใสในมู่เวยเวยยิ่งขึ้น
ถึงแม้ว่าพวกหล่อนจะแต่งงานแล้ว แต่ก็อดอิจฉากับผู้ชายในฝันแบบเขาไม่ไหว
ได้เวลาเลิกงาน คนใช้ลิฟต์ยิ่งเยอะขึ้น มู่เวยเวยเพิ่งแยกระยะห่างจากเย่ฉ่าวเฉิน แต่พื้นที่ยิ่งน้อยลงเรื่อยๆจนบีบพวกเขากลับมายืนใกล้กันจนได้
เย่ฉ่าวเฉินลดสายตาลงมอง ทรงคิ้วโค้งดำที่ขมวดอยู่บางๆ ขนตาที่ปิดบังแววตาอันสดใสของเธอ เม็ดเหงื่อซึมๆที่บริเวณสันจมูกโด่งคม มุมปากที่โค้งงอเล็กน้อย ถึงแม้ว่าในลิฟต์จะมีผู้คนจำนวนมากแต่เธอก็เกร็งที่จะขับไปติดตัวเขา ราวกับเขาเป็นวัตถุเคมี
“ดิ้ง ——” ประตูลิฟต์เปิดออก มีคนเข้ามาเพิ่ม
“อย่าดันเข้ามาจ้า อย่าดันเข้ามา”มีเสียงตะโกนออกมา
มู่เวยเวยและเย่ฉ่าวเฉินยืนเคียงกันอยู่ด้านหลัง ด้านหน้ามีผู้ชายส่วมเสื้อเชิ้ตสีขาวโดนบีบดันเข้าไปด้านข้างมู่เวยเวย เย่ฉ่าวเฉินดึงมูเวยเวยเข้ามาเสมือนอยู่ในอ้อมกอดอย่างไว และหันหลังให้ทุกคน เขาเหยียดมือทำเป็นห้องเล็กๆ
หลายคนรอบข้างมองเห็นบรรยากาศเหล่านี้ ไม่ว่าแกล้งหันไปพูดคุย ก้มเล่นโทรศัพท์ หรือทำเป็นมองไม่เห็น แต่ในความเป็นจริงนั้นทุกคนหูชาจนหูอื้อ อยากรู้ว่าประธานเย่และภรรยาพูดอะไรกัน
มู่เวยเวยรู้สึกร้อนขึ้นเล็กน้อยจากลมหายใจอันร้อนระอุของเขา ต้องการให้เขาข้างออก แต่ในลิฟต์มีคนจำนวนมากไม่สะดวกที่จะพูดได้ แต่มองขึ้นไปที่เขาและแสดงความไม่พอใจออกมา
เย่ฉ่าวเฉินถูกสายตาของเธอจับจ้องจนทำให้หัวใจเต้นระรัว เขาก้มหน้าไปกระซิบที่หูเธอ “ไปทานข้าวที่?”
มู่เวยเวยหันหน้าหนีไม่สนใจเขา
เย่ฉ่าวเฉินเห็นเขาไม่พูดคุย จึงพูดกัดข้างๆหูต่อ “เชื่อหรือไม่ หากเธอไม่ตอบฉัน ฉันจะจูบเธอในนี้?”
ใบหน้าของมู่เวยเวยเริ่มๆแดงขึ้น ผู้ชายคนนี้มีความละอายใจบ้างไหม?
“ยังไม่แน่ใจ เพิ่งจะปรึกษากัน” มู่เวยเวยตอบอย่างเฉยเมย
“โอ้…..”ก่อนเย่ฉ่าวเฉินจะจากไป เขากัดที่ติ่งหูสีชมพูของเธอเบาๆ จากมุมที่ไม่มีใครมองเห็น
มู่เวยเวยตกตะลึงกับพฤติกรรมอยู่สองสามวินาที หลังจากที่มีติกลับมาได้ เธอใช้ข้อศอกกระแทกเขาอย่างไม่เกรงใจ หยอกล้อในที่สาธารณะ ต้องการต่อสู้?
เย่ฉ่าวเฉินจุกแทบหายใจไม่ออกจนคิ้วขมวด ผู้หญิงคนนี่แรงไม่น้อยเลย
บรรยากาศในลิฟท์เป็นไปด้วยความกังวลและแปลก ไม่มีใครพูดเสียงดัง สายตาของคนส่วนใหญ่กำลังจับจ้องตัวเลขที่เปลี่ยนไป
0、19、18……
เป็นครั้งแรกที่มู่เวยเวยรู้สึกว่าลิฟต์เลื่อนลงช้าจริงๆ ทันใดนั้น มือของเย่ฉ่าวเฉินยื่นไปเหนือศีรษะแล้วเลื่อนลงมาเกาะที่เอว เสมือนว่าโอบเธอไว้ในอ้อมแขน
มู่เวยเวยใช้สายตาที่ร้ายกาจเพ่งมองเขา นี่เธอจะทำอะไร?
เย่ฉ่าวเฉินแบะปากเบาๆ ก็แก้แค้นไงละ ใครใช้ให้เธอทำร้ายฉันก่อน?
เธอขยับปากก่อนนะ!
ก็เธอกัดฉันก่อน
มู่เวยเวยมองบนพูดไม่ออก ใช้ชีวิตยี่สิบกว่าปีแล้ว เธอไม่เคยเจอผู้ชายที่ไร้ยากอายเช่นนี้
“ดิ้ง ——“ สิ่งที่ทุกคนคาดหวัง ลิฟต์ก็ถึงชั้นหนึ่งสักที
ทำให้มู่เวยเวยปลื้มปริ่ม เย่ฉ่าวเฉินไม่มีพฤติกรรมที่แปลกประหลาดอะไร เขาเดินออกไปพร้อมๆผู้คน
“เวยเวย เธอกับประธานเย่ไปทานอาหารกันก่อนเถอะ” ลีน่าพูดด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม
มู่เวยเวยคว้าแขนของเธออย่างรวดเร็ว “ฉันไปกับพวกเธอ เย่ฉ่าวเฉินมีธุระ....”
“ฉันไม่ธุระ ฉันตั้งใจพาเธอไปทานอาหาร” เย่ฉ่าวเฉินพูดแทรก
มู่เวยเวยอดทนไว้ ปฏิเสธตรงๆอยากไม่ให้หน้าเขา “แต่ฉันไม่อยากทานข้าวกับคุณ”
ทำให้ผู้คนที่ในสถานการณ์นั้นตกตะลึง เมื่อได้ยินมู่เวยเวยพูดกับเย่ฉ่าวเฉินเช่นนี้?
เย่ฉ่าวเฉินก็ตะลึงไปเลย หลังจากที่มึนงงอยู่พักนึง ดวงตาสีฟ้าที่เย็นชาก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มจางๆ “ไม่เป็นไร เธอก็ทานของเธอไป ทำเหมือนไม่มีฉันอยู่”
ตั้งแต่เช้าเขาก็เริ่มจัดการกับกองเอกสาร ไม่ต้องการหยุดการทำงาน เพราะเมื่อสมองหยุดคิดเรื่องงานเขาก็กลับมาคิดเรื่องเดิมๆ ตอนนี่มู่เวยเวยทำอะไรอยู่?
หลายต่อหลายครั้ง ที่เขาหาข้ออ้างที่จะลองไปแผนกออกแบบเพื่อตรวจสอบ แต่ก็ถูกระงับด้วยเหตุผลของตัวเอง
ความคิดนี่หลอกหลอนจนถึงเที่ยง เขาวางเอกสารในมือลง ลงไปชั้นล่างเพื่อหาไปมู่เวยเวย
เสี่ยวหลี่และลีน่ารู้สึกทำอะไรไม่ถูก ยิ่งนิ่งเงียบลง
เขาทั้งสอง.....ทะเลาะกันเหรอ?
มู่เวยเวยไม่ต้องการให้มายุ่ง พูดอย่างเย็นชา “แล้วแต่เธอ”
……
คนกลุ่มหนึ่งมาที่โรงแรมใกล้บริษัท
เย่ฉ่าวเฉินหยิบเมนูขึ้นมาสั่งอาหาร เสี่ยวหลี่ดึงแขนเสื้อมู่เวยเวยเบาๆ แล้วพูด “เธอดูเย่ฉ่าวเฉินง้อเธอขนาดนี่แล้ว อย่าโกรธเลย”
“ใช่แล้วใช่แล้ว พวกเราล้วนอิจฉาไม่ลงแล้ว อย่าเล่นตัวนักเลย”ลีน่าก็ชักชวนอีกคน
มู่เวยเวยก็ทุกข์ยากซ่ะจริงๆ เมตตาเขา?
ตั้งแต่ที่พ่อแม่เสียไปและการหายตัวของพี่ชาย คำนี้ก็ถูกขีดฆ่าออกจากพจนานุกรมของเธอ
เย่ฉ่าวเฉินสั่งอาหารเสร็จ ก็หันไปถามมู่เวยเวย “ต้องการดื่มอะไร?”
“น้ำเปล่า” พูดออกมาชนิดที่ไม่ต้องการสนทนา
เย่ฉ่าวเฉินหน้านิ่ง บอกพนักงานบริการ “เอานมเปรี้ยวหนึ่งลังให้คุณผู้หญิงท่านนี้”
“ค่ะ รอสักครู่”
เมื่อพนักงานเดินออกไป ลีน่าขยิบตาให้เพื่อนร่วมงานอีกสามคน ลุกลี้ลุกลนขึ้นยืนแล้วพูดว่า “ประธานเย่ ฉันจะไปห้องน้ำสักครูค่ะ"
“ ฉันไปด้วย ฉันไปด้วย”
ลุกลี้ลุกลนกันออกไป จนเหลือเพียงแค่พวกเขาสองคน
มู่เวยเวยกอดอก แล้วมองไปที่เขาด้วยสีหน้าต่อต้าน “เย่ฉ่าวเฉิน เธอจะทำอะไรกันแน่?”
“กินข้าวเถอะ” เย่ฉ่าวเฉิน เย็นชาไม่สนใจ
“งั้นเธอก็กินเองสิ ทำไมต้องตามพวกฉันมาด้วย?” มู่เวยเวยไม่เข้าใจเขา
เย่ฉ่าวเฉินหยิบบุหรี่ออกมาถือไว้ที่ปลายจมูกของเขาดมกลิ่นแล้ววางลง จ้องดวงตาสีดำของเธอ “มู่เวยเวยฉันช่วยคุณจากน้ำมือหนานกงเฮ่า นี่คือทัศนคติของเธอที่มีต่อคนที่ช่วยชีวิตเธอ?”
“เหอะเหอะ ——”มู่เวยเวยเยือกเย็นยิ้ม “เย่ฉ่าวเฉิน เธอไม่ต้องช่วยก็ได้นะ”
หากเธออดทนต่อเพื่อนที่กำลังจะแยกภรรยาของเธอไปได้ ถ้าคุณไม่สนใจความคิดเห็นสาธารณะของสังคม ก็ไม่ต้องช่วยฉัน
ถึงแม้ว่าประโยคหลังนี้ไม่ได้พูดออกมา แต่สมองของเย่ฉ่าวเฉินก็สำนึกได้
ความรู้สึกถูกปิดกั้นหัวใจนั้นกลับมาอีกครั้ง เย่ฉ่าวเฉินเงียบโกรธ และในที่สุดก็เริ่มประนีประนอม “มู่เวยเวยฉันช่วยเธอครั้งหนึ่ง แต่ก็เคยหลอกเธอครั้งเดียวเช่นกัน มันเป็นเรื่องที่เสมอกัน เราจะไม่สามารถกลับมาสงบสุขเหมือนเมื่อก่อนเหรอ?
มู่เวยเวยเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ “เย่ฉ่าวเฉิน พวกเราเคยอยู่อย่างสงบสุข เหรอ? ทำไมฉันไม่รู้?”
“ถ้างั้นเธอต้องการยังไง?” ความโกรธของเย่ฉ่าวเฉินก็พุ่งสูง
“ง่ายมาก หย่า” มู่เวยเวยรื้อฟื้นเรื่องเก่า
“อย่าแม้แต่จะคิด ฉันไม่ตกลง” เย่ฉ่าวเฉินจำสิ่งหนึ่งได้ ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็จ้องไปที่ใบหน้าของเธอ “ฉันก็รู้สึกแปลกใจจริงๆ เธอไม่กลัวที่จะเป็นบ้าเมื่อเห็นฉันเหรอ? ทำไมดีขึ้นแล้วล่ะ?”
มู่เวยเวยไม่คาดคิดว่าเขาจะพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แต่ไม่ต้องการให้เขารู้ความจริงและแสร้งทำเป็นสงบแล้วพูดเสียงแข็งว่า "มันจะเป็นทักษะทางการแพทย์ของแพทย์ที่มีฝีมือ"
เย่ฉ่าวเฉินมองดูเธอด้วยสายตาที่กลั่นกรองและพูดอย่างเย็นชา “ใช่เหรอ”
“ใช่ เป็นไปได้ไหมที่เธอต้องการให้ฉันบ้าคลั่งตลอดไป?” มู่เวยเวยถามกลับ
เย่ฉ่าวเฉินมองเธออย่างลึกซึ้ง แล้วหักบุหรี่ในมือเขาแล้วพูดอย่างเย็นชาว่า "มู่เวยเวย อย่าให้ฉันรู้ความลับของเธอ ไม่งั้น.....”
“จะยังไง? ฆ่าฉันเหรอ? ทารุณฉัน?” มู่เวยเวยท้าทายแบบที่ไม่กลัวตาย “เย่ฉ่าวเฉิน เธอเคยทำเรื่องที่โหดร้ายที่สุดกับฉัน แล้วเธอคิดว่าฉันจะกลัวหรือไม่?”
แม้แต่ความตายเธอก็ไม่กลัว ยังกลัววิธีการของเขาเหรอ? ไม่ใช่เรื่องใหญ่ของชีวิต
คำพูดมู่เวยเวยทำให้เย่ฉ่าวเฉินนึกถึงสิ่งที่เขาเคยทำกับเธอเมื่อก่อน หินในใจก้อนนั้นก็ยิ่งทำให้เขาหดหู่ขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเห็นท่าทีของเธอ ชีวิตนี้เธอคงไม่มีวันให้อภัยเขา
ถ้า.....ตอนนี่เขาพูดขอโทษ......
ไม่ นี่ไม่ใช่สไตล์ของเขา นอกจากไม่รู้ว่าครั้งแรกของเธอให้ไอคนเลวหน้าไหน เรื่องนี้เรื่องเดียวที่เขาก็ไม่สามารถให้อภัยเธอได้
ลีน่ากับเพื่อนๆกลับมา ทั้งสองต่างหน้าขรึมไม่คุยกัน ดูๆแล้ว ขัดแย้งจะทวีคูณไปใหญ่แล้ว
อาหารมาอย่างเร็วไว ล้วนเป็นอาหารขึ้นชื่อของโรงแรม ทั้งสีสวยกลิ่นหอม
แต่ด้วยความเสียอารมณ์ของเย่ฉ่าวเฉิน ทำให้คนที่เหลือรู้สึกหดหู่มาก ยกเว้นมู่เวยเวยที่เคยชินกับอารมณ์ของเขา เขาโกรธเขาและเธอก็กินอาหารโดยไม่รบกวนซึ้งกันและกัน
ทันใดนั้น เสียงที่เสนาะหูก็เปล่งออก อากาศที่อึกอัดจนหายใจไม่ออกก็ถูกทำลาย
“ดีจ้า อาจารย์เสี่ยวฮัว” มู่เวยเวยทักทายอย่างรักใคร่
“เวยเวย ช่วงบ่ายกลับมหาวิทยาลัยสักแป๊ป มีธุระ”เสียงของอาจารย์เสี่ยวฮัวจากโทรศัพท์ออกมา เย่ฉ่าวเฉินที่นั่งอยู่ข้างๆได้ยินอย่างชัดเจน
“ค่ะ ฉันรับทราบแล้ว”
“เฉียวซินโยวคนนั้นโทรศัพท์ติดต่อไม่ได้เลย เธอคุ้นเคยกับเขาใช่ไหม? ฝากบอกเขาหน่อย ช่วงบ่ายพวกเธอมาหาฉัน”
มู่เวยเวยสะดุ้งวูบ เงยหน้าไปสบตากับเย่ฉ่าวเฉิน เขาก็กำลังจ้องมองเธออยู่พอดี
“อื้ม ช่วงบ่ายฉันถึงแล้วจะโทรหาค่ะ” มู่เวยเวยตอบด้วยน้ำเสียงละห้อย
“ค่ะ บ๊ายบาย”
วางสายโทรศัพท์แล้ว มู่เวยเวยกลับสู่อาการทานข้าวไม่ลง ในหมอกในดวงตาค่อยๆปรากฏ เขาไม่กล้าให้เพื่อนร่วมงานรู้ เจึงรีบลุกขึ้นอ้างว่าจะไปห้องน้ำ
คนที่ยังไม่ชีวิตอยู่กลับต้องหายไป ฉันจะอธิบายทุกคนยังไง?
ไม่หยุดที่จะใช้คำโกหก แต่เป็นการโกหกที่ต้องโกหกวกไปวนมา เสมือนก้อนลูกบอลหิมะ เธอบอกทุกคนได้ว่าเฉียวซินโยวกลับบ้านเพื่อดูแลพ่อแม่แล้ว
ถ้าพ่อแม่เขารู้ขึ้นมาล่ะ?
มู่เวยเวยไม่กล้าที่จะคิดต่อไป เรื่องนี้ต้องถูกเปิดเผยสักวัน
ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ใช่ฆาตรกร แต่การตายเฉียวซินโยวก็แยกจากเธอไม่พ้น
เมื่อถึงเวลาจะต้องอธิบายยังไง?
“อย่าคิดมาก ฉันสามารถจัดการได้”เย่ฉ่าวเฉินมาโดดที่เขาไม่รู้ตัว เขายื่นทิชชูให้เธอ
มู่เวยเวย น้ำตาเอ่อ พูดไม่ออก
จิตใจของเย่ฉ่าวเฉินเห็นน้ำตาของเธอที่ไหลเอ่อจนทำให้เขาใจหาย เขาดึงตัวเธอเข้ามากอดลูบไปที่เส้นผมที่ยาว พูดเบาๆ “หยุดร้องเถอะ จะไม่เกิดเรื่องเหล่านั้นได้”
มู่เวยเวยร้องได้ในอ้อมแขนเขาครู่หนึ่ง รู้สึกท่าทางไม่ถูกต้อง จึงผลักเขาออกไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ
ขอบคุณแอดค่ะ...สนุกค่ะ......
สนุก...