วันถัดไป ณ.เย่ฮวางอินเตอร์เนชั่นแนลกรุ๊ป
เย่ฉ่าวเฉินบอกเลขาหลิวว่าพรุ่งนี้ไม่ต้องจัดตารางให้เขา เพราะเขามีธุระต้องไปทำ
เลขาหลิวส่ายหน้าบอกด้วยความเสียใจ “ประธานเย่ พรุ่งนี้มีประชุมสำคัญมากที่เมือง A คุณต้องไปด้วยตัวเอง ครั้งนี้เลื่อนไม่ได้จริงๆ”
“ให้ใครไปแทนผมไม่ได้หรอ” เย่ฉ่าวเฉินเงยหน้าจากกองเอกสารขึ้นมาถาม
“ไม่ได้ค่ะ เลขาของคณะกรรมการการประชุมเพิ่งโทรมาด้วยตัวเอง บอกว่าคุณต้องไป”
เย่ฉ่าวเฉินเอนหลังพิงเก้าอี้ นวดขมับ แล้วพูดอย่างเหนื่อยล้า “โอเค ออกไปก่อนเถอะ”
กว่าจะได้มีโอกาสอยู่กับเขา หรือพรุ่งนี้เขาจะไปไม่ได้แล้วจริงๆ
แผนกออกแบบ
มู่เวยเวยเสียใจนานมาก สุดท้ายก็โทรหาอาจารย์เสี่ยวฮัว
“คิดดีแล้วใช่มั้ย” อาจารย์เสี่ยวฮัวแปลกใจมาก
มู่เวยเวยเอนตัวพิงโต๊ะน้ำชา มองท้องฟ้าและเมฆขาวๆนอกหน้าต่าง จากนั้นก็พูดอย่างหม่นหมอง “อาจารย์ ขอโทษด้วยค่ะ ตอนนี้ฉันไม่ใช่แบบปกติแล้ว ดังนั้น....”
อาจารย์เสี่ยวฮัวเงียบไปชั่วขณะ แล้วพูดอย่างเสียดาย “อาจารย์เข้าใจ ผู้หญิงแต่งงานแล้วจะทำอะไรก็คิดถึงแต่ตัวเองไม่ได้ ไม่เป็นไร เย่ฮวางอินเตอร์เนชั่นแนลกรุ๊ปก็ไม่เลว ไม่แน่เธออาจต่อยอดไปได้อีกไกล”
“ขอบคุณค่ะอาจารย์”
หลังวางสายจิตใจของมู่เวยเวยก็หดหู่มาก โอกาสดีๆแบบนี้ได้หลุดไปจากมือเธอแล้ว จะบอกว่าไม่เสียใจก็เป็นแค่คำโกหก การไปเรียนแฟชั่นดีไซน์ที่มหาวิทยาลัยแคลร์มอนต์ในฝรั่งเศส เป็นความฝันของนักออกแบบทุกคน
แต่ตอนนี้ความฝันนี้เธอเป็นคนทำลายด้วยมือตัวเอง
เมื่อกลับมาถึงบ้านในตอนเย็น เย่ฉ่าวเฉินกับเย่ฉ่าวเหยียนกำลังนั่งคุยกันอยู่ที่ห้องนั่งเล่น มู่เวยเวยจึงไปช่วยในห้องครัว ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าควรฝึกทำอาหาร อย่างน้อยตอนที่อยู่คนเดียวก็จะได้ไม่หิว
“ฉ่าวเหยียน พรุ่งนี้....” เย่ฉ่าวเฉินหยุดมองน้องชายแล้วพูดอย่างรู้สึกผิด “ตอนแรกพี่กะจะไปหาหมอฮัวเป็นเพื่อนแก แต่ว่าพรุ่งนี้มีการประชุมที่สำคัญมาก พี่เลื่อนไม่ได้”
เย่ฉ่าวเหยียนไม่ได้แสดงท่าทีผิดหวังออหมา แต่เขากลับปลอบเย่ฉ่าวเฉินว่า “ไม่เป็นไร ผมไปเองก็ได้ พี่ต้องรับผิดชอบหาเงินไม่ใช่หรอ ผมเข้าใจๆ”
เย่ฉ่าวเฉินขำกับคำพูดของเขา แล้วพูดอย่างโล่งใจ “จริงๆพี่อยากไปเป็นเพื่อนแกมาก ไปคนเดียวพี่ไม่สบายใจ แถมนี่ก็หลายปีแล้วที่พี่ใส่ใจแกน้อยเกินไป”
“พี่ผมก็กลับมาแล้วไม่ใช่หรอ ต่อไปนี้พี่ยังมีโอกาสชดเชยให้ผม” เย่ฉ่าวเหยียนเกิดความคิดขึ้นมาในใจ จึงยิ้มบางๆพูด “ถ้าพี่ไม่สบายใจก็ให้พี่สะใภ้ไปกับผมก็ได้ เพื่อนเธอเป็นคนแนะนำพอดี ไม่แน่หมออาจจะทำดีกับผมหน่อย เพราะเห็นแก่หน้าของเธอ”
เย่ฉ่าวเฉินตอบรับอย่างไม่ลังเล “อย่างนี้ก็ดี งั้นให้เวยเวยไปเป็นเพื่อนแกแล้วกัน”
ตอนกินข้าว หลังจากมู่เวยเวยรู้เรื่อง เธอก็แอบรู้สึกตกใจ “พรุ่งนี้ฉันไม่ต้องทำงานหรอ”
“คุณทำงานหรือไปหาหมอเป็นเพื่อนฉ่าวเหยียนสำคัญกว่า” เย่ฉ่าวเฉินขมวดคิ้วถาม
มู่เวยเวยเหลือบมองเย่ฉ่าวเหยียนแล้วพยักหน้า “เย่ฉ่าวเหยียนสำคัญกว่าอยู่แล้ว”
“งั้นก็ตกลงตามนี้นะ พรุ่งนี้ผมจะให้คนขับรถไปส่ง”
“อืม โอเคค่ะ” มู่เวยเวยก้มหน้ากินข้าวอย่างมีความสุข ในที่สุดก็มีวันที่เธอจะไม่ต้องอยู่บ้าน และใช้ชีวิตอยู่บริษัทอย่างเงียบเหงาแล้ว
เช้าวันถัดไป ท้องฟ้าภายนอกยังไม่สว่างดีนัก มู่เวยเวยก็ตื่นมาจัดของ ในขณะที่เย่ฉ่าวเฉินยังหลับอยู่
เมื่อวานแปลกมากที่เขาไม่แตะต้องเธอ ทั้งคู่นอนขอบเตียงคนละฝั่ง ตรงกลางว่างจนผู้ใหญ่สามารถมานอนได้อีกสองคน
มู่เวยเวยชอบเหตุการณ์แบบนี้มาก
อยากให้เป็นอย่างนี้ต่อไป
แปรงฟัน ล้างหน้า เลือกเสื้อผ้า รองเท้า....
เสียงกุกกัก ปลุกให้ใครบางคนตื่นขึ้นมาจากการหลับไหล เย่ฉ่าวเฉินมองเธอวุ่นวายไปมาด้วยความสะลืมสะลือ เขาถามเสียงแหบแห้ง “เช้าขนาดนี้คุณทำอะไรอยู่”
มู่เวยเวยเก็บของเล็กๆน้อยๆใส่กระเป๋าสะพายข้างของเธอ และตอบเขาโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา “หกโมงครึ่งแล้ว เมื่อวานเราคุยกันว่าจะออกเจ็ดโมง”
จริงด้วย เย่ฉ่าวเฉินเพิ่งนึกออก เพราะว่าบนถนนต้องใช้เวลาถึงสามชั่วโมง ถ้ารถติดอีกก็อาจจะช้ากว่านั้น
เย่ฉ่าวเฉินนอนงีบบนเตียงพักหนึ่ง จากนั้นก็ลุกขึ้นมาใส่เสื้อผ้า
มู่เวยเวยใส่ชุดออกกำลังกายสบายๆ และรองเท้าผ้าใบสีขาว ผมรวบสูง ดูแล้วทั้งบริสุทธิ์และสดใส
เธอสะพายกระเป๋าลงมาข้างล่าง ก็เห็นเย่ฉ่าวเหยียนนั่งกินข้าวที่ห้องอาหารแล้ว
“ฉันนึกว่านายยังไม่ตื่นซะอีก” มู่เวยเวยตกใจเล็กน้อย พลางเดินไปเบาๆ
เย่ฉ่าวเหยียนใจใส่ขึ้นมากับรอยยิ้มของเธอ
“ฉันตื่นมาวิ่งเวลานี้ทุกวัน เธอขี้เกียจเกินไปเลยไม่เคยเห็น” เย่ฉ่าวเหยียนหยอกเธอ จากนั้นก็ไปเทนมอุ่นในห้องครัวมาให้เธอ “กินเยอะหน่อย ออกไปแล้วไม่รู้ต้องไปกินข้าวเที่ยงที่ไหน”
“แค่มีตัง ไปที่ไหนก็ไม่ต้องกลัวหิวหรอก”
เย่ฉ่าวเหยียนหัวเราะแล้ววางขนมปังไว้ตรงหน้าเธอ “ขอบใจที่ไปเป็นเพื่อนฉัน ไม่งั้นฉันคงเบื่อตลอดทาง”
มู่เวยเวยเงยหน้ายิ้ม มองไปรอบๆ แล้วเขเาไปกระซิบเขาเสียงเบาว่า “จริงๆฉันอยากออกไปพักผ่อนหย่อนใจอยู่พอดี ตอนนี้ยังหย่าไม่ได้ พอเจอหน้าเย่ฉ่าวเฉินทุกวันก็อารมณ์ไม่ดี”
ลมหายใจของเธอเป่ารดอยู่บนใบหน้าของเขา ทำให้ใจของเย่ฉ่าวเหยียนสั่นขึ้นมา เขาหลุบตามองริมฝีปากแดงระเรื่อของเธอ แล้วรู้สึกอยากเข้าไปจูบใจจะขาด อยากจะรู้จริงๆว่ารสชาติจะเป็นยังไง
“นายเหม่ออะไร รีบกินข้าว กินเสร็จจะได้รีบไป” มู่เวยเวยไม่รู้สึกถึงความแปลกใจของเขา เธอจึงพูดเร่งออกไป
เย่ฉ่าวเหยียนแอบหายใจเข้าลึกๆ และก้มหน้าไม่มองเธออีก มีแต่เขาเท่านั้นที่รู้ว่าใจเต้นแรงขนาดไหน
จริงๆแล้วเขาไม่ใช่คนที่จะมองผู้หญิงคนนึงอยู่ไกลๆ ขอแค่ให้เธอมีความสุขก็พอ แต่เขาเป็นคนที่ชอบแย่งมา
ความรักคือการเห็นแก่ตัว
เขานึกถึงคำพูดที่พูดกับเฉียวซินโยวขึ้นมา จริงๆแล้วเขากำลังหลอกตัวเอง ชอบเธอ แล้วใครจะไม่อยากครอบครองบ้างล่ะ
ถ้าเธอเป็นผู้หญิงของคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับเขา เขาต้องตามจีบจนแทบคลั่ง แต่เธอดันเป็นภรรยาของพี่ชายของเขา ถึงเขาจะช่วยเธอหนีไปได้ แล้วเขาจะทำยังไงให้เธอมาอยู่ในอ้อมแขนของเขา
เย่ฉ่าวเฉินใส่ชุดนอนลงมาจากชั้นบน เมื่อเห็นทั้งคู่อยู่ในห้องอาหารจากไกลๆ เขาก็หยุดเดิน
สายตาอบอุ่นมองไปที่ทั้งคู่ ทั้งหลังเป็นไปด้วยแสงแดดอ่อนๆ คนหนึ่งกำลังยิ้มบางๆ อีกคนก็อบอุ่นอ่อนโยน ทั้งคู่คุยกันบ้างเป็นบางครั้งทำให้บรรยากาศอบอุ่นขึ้นมา
หัวใจของเย่ฉ่าวเฉินรู้สึกเหมือนถูกแทงด้วยอะไรบางอย่าง ทั้งคู่เข้ากันได้ดีขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
ตอนนี้มู่เวยเวยดูสวยเหมือนดอกไม้แรกแย้ม ไม่เหมือนกับตอนอยู่กับเขาที่มีแต่เข็มที่คอยทิ่มแทงเขาตลอดเวลา
และสายตาของเย่ฉ่าวเหยียนที่มองมู่เวยเวยก็อ่อนโยนมาก
เขาคงจะไม่....
ไม่ ไม่มีทางหรอก เย่ฉ่าวเหยียนเป็นน้องแท้ๆของเขา เขาคงไม่ทำผิดกับพี่ของเขา
ต้องเป็นเพราะแสงไฟแน่ๆ
เขาข่มความรู้สึกสงสัยในใจแล้วแกล้งหระแอมเบาๆ จากนั้นก็ลงไปมองทั้งคู่อย่างกะตือรือร้น
สีหน้าของเย่ฉ่าวเหยียนไม่เปลี่ยน แค่รอยที่บนใบหน้าของมู่เวยเวยค่อยๆหายไป กลายเป็นใบหน้าที่เย็นชาแบบปกติ
“พี่ทำไมตื่นเช้าขนาดนี้เหมือนกันล่ะ” เย่ฉ่าวเหยียนถาม
เย่ฉ่าวเฉินเม้มปากมองมู่เวยเวย แล้วจึงยิ้มให้เขาพูดว่า “พี่สะใภ้แกทำพี่ตื่นน่ะสิ พี่เลยจะมาส่ง”
มู่เวยเวยกินขนมปังหน้าเนื้อคำสุดท้าย เมื่อได้ยินคำพูดของเขาก็รู้สึกว่าขนมปังรสชาติแปลกไปทันที
พี่สะใภ้ของแกหรอ
นี่เป็นครั้งแรกที่เย่ฉ่าวเฉ้นตั้งใจพูดคำว่า ‘พี่สะใภ้ของแก’ ต่อหน้าเย่ฉ่าวเหยียน
ปกติเขาไม่พูดแบบนี้ หรือวันนี้เธอยังไม่ตื่นดี
ยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆบนใบหน้าอบอุ่นของเย่ฉ่าวเหยียน เขาใช้ทิชชู่เช็ดปากแล้วพูด “พวกเรากำลังจะออกไปพอดีเลย”
มู่เวยเวยรีบเช็ดปาก และจะหยิบกระเป๋าสะพายของตัวเองขึ้นมา แต่เย่ฉ่าวเฉินก็แย่งไปถือไว้ได้ก่อน
“ไปกันเถอะ พี่เห็นรถกำลังรออยู่ข้างนอกแล้ว” เย่ฉ่าวเฉินถือกระเป๋าเดินออกไป
มู่เวยเวยมองเขาด้วยสายตามืดมน เขากำลังจะทำอะไร
เพราะต้องไปที่ชนบท กลัวว่าถนนจะไม่ดี อาหวังจึงเตรียมรถฮัมเมอร์สีดำมา และคนขับรถก็เป็นคนขับรถเฉพาะของเย่ฉ่าวเฉิน
เย่ฉ่าวเฉินวางกระเป๋าของมู่เวยเวยไว้ที่ที่นั่งด้านหลัง และหันไปพูดกับเย่ฉ่าวเหยียน “พี่ใส่บอดี้การ์ดตามไปหน่อยดีมั้ย จะได้ปลอดภัย”
เย่ฉ่าวเหยียนหัวเราะขำๆ “พี่ผมไปหาหมอนะ ไม่ใช่จะไปตีกับใคร พี่ทำอย่างนี้หมอก็กลัวหมด แถมถ้าทุกอย่างราบรื่นตอนเย็นเราก็กลับมาแล้ว
เย่ฉ่าวเฉินไม่ได้บังคับ เขาตบบ่าน้องชายเบาๆ แล้วพูดด้วยสายตารักใคร่ “งั้นก็เดินทางปลอดภัยนะ”
“รู้แล้วๆ พี่นี่เหมือนแม่จริงๆ นับวันยิ่งจุกจิก” เย่ฉ่าวเหยียนบ่นจบก็ขึ้นรถไป
มู่เวยเวยกำลังจะตามขึ้นรถไป ก็ถูกเย่ฉ่าวเฉินยึดไหล่ไว้
“ทำอะไร” มู่เวยเวยขมวดคิ้วถามอย่างไม่เข้าใจ
เย่ฉ่าวเฉินกัดฟันด้วยความโกรธ เธอไม่คิดจะยิ้มให้เขาหน่อยหรอ
“คุณ.....ดูแลฉ่าวเหยียนให้ดี อย่าลืมสถานะของตัวเอง” เย่ฉ่าวเฉินกดเสียงต่ำ เน้นตรงคำที่สำคัญ
มู่เวยเวยนึกว่าเขาห่วงเย่ฉ่าวเหยียนจึงพูดอย่างจริงจัง “ฉันรู้แล้ว ถ้าเกิดอะไรขึ้น ถึงฉันจะได้รับบาดเจ็บก็จะไม่ทำให้เขากระทบอะไรเลยแม้แต่ปลายเล็บ”
เย่ฉ่าวเฉินมองเธอที่เข้าใจความหมายของเขาผิด แต่ก็ไม่อาจพูดออกมาตรงๆ ใจเขาจึงโกรธมากขึ้น
“มู่เวยเวย คุณเป็นสมองหมูหรอ”
“เย่ฉ่าวเฉินตอนเช้าคุณนอนไม่อิ่มก็กลับไปนอนต่อ ฉันไม่มีเวลามายืนฟังคุณด่า” มู่เวยเวยก็โกรธแล้ว เธอสะบัดมือเขาออกแล้วเดินขึ้นรถไป
มือของเย่ฉ่าวเฉินค้างอยู่กลางอากาศ ผู้หญิงคนนี้นับวันยิ่งไม่มีความเกรงใจ
“พี่ผมไปแล้วนะ” เย่ฉ่าวเหยียนโบกมือให้เขา
เย่ฉ่าวเฉินพยักหน้าพูด “ขับรถระวังๆ” จากนั้นรถฮัมเมอร์สีดำก็ ‘ฟิ้ว’ ขับออกไป
รถหายไปจากสายตาของเย่ฉ่าวเฉิน เขาหันหลังกลับไปมองบ้านที่อยู่ท่ามกลางแสงแดด แล้วรู้สึกว่าบ้านนี้ใหญ่และว่างเปล่าเกินไป
หรือเขาควรจะเพิ่มอีกคนเข้ามา
“อาหวัง เอาข้อมูลผู้หญิงทุกคนในเมือง A ที่ควรแต่งงานแล้วมาให้ผม” เย่ฉ่าวเฉินพูดพลางบอกพ่อบ้านหวังไปด้วย
พ่อบ้านสมองว่างเปล่า เขาถามอย่างสงสัย “คุณชาย คุณอยากได้ข้อมูลผู้หญิงพวกนั้นไปทำไม
เย่ฉ่าวเฉินหันไปมองเขา แล้วพูดอย่างลึกซึ้ง “คุณว่าฉ่าวเหยียนถึงวัยที่ต้องแต่งงานรึยัง”
พ่อบ้านหวังเพิ่งนึกออก เขาเขกหัวตัวเอง แล้วพูดอย่างยินดี “จริงครับ คุณชายเหยียนควรแต่งงานแล้ว ผมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้ ผมจะหาผู้หญิงที่คู่ควรทุกคนมาให้ จากนั้นเราก็จัดปาร์ตี้ที่บ้าน ให้คุณชายเหยียนเลือกทีละคน....”
“อาหวัง คุณคิดรอบคอบจริงๆ” เย่ฉ่าวเหยียนยิ้ม และบิดขี้เกียจ “ผมไปงีบอีกสักหน่อย หวังว่าวันนี้ทางฝั่งฉ่าวเหยียนจะมีข่าวดี
……
รถฮัมเมอร์ขับไปตามแผนที่ที่ลูกชายของหมอฮัวให้มา
มู่เวยเวยเปิดหน้าต่าง เท้าคางไว้บนแขนมองวิวข้างนอก และบางครั้งก็ชี้ให้เย่ฉ่าวเหยียนดูอย่างมีความสุขราวกับเด็กน้อย
ถึงบรรยากาศจะสวยแค่ไหน เมื่อมองไปหนึ่งชั่วโมงก็รู้สึกตาล้าแล้ว
“ฉันงีบแปบนึง เมื่อเช้าตื่นเช้าเกิน” มู่เวยเวยหาวหวอดๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงง่วงๆ
เย่ฉ่าวเหยียนใส่หูฟังดูสารคดีอยู่ตอบ “อืม” กลับมาเบาๆ แล้วพูด “นอนเถอะ เดี๋ยวถึงแล้วเรียก”
มู่เลื่อนกระจกขึ้น เอาหัวพิงแล้วหลับตาลง
หลายนาทีหลังจากนั้น มู่เวยเวยก็เข้าสู่ห้วงความฝัน เย่ฉ่าวเหยียนหันไปมองเธอด้วยสายตาที่ไม่อาจคาดเดาได้ ตอนที่เธอกำลังจะสับพงก เขาก็ขยับไปใกล้เธอ และเอาหัวเธอมาพิงบนไหล่ของเขา
มู่เวยเวยยังไม่รู้นอนไม่สบาย จึงขยับเข้าไปใกล้เขาอีกนิด จากนั้นจึงนอนหลับสนิทขึ้น
เย่ฉ่าวเหยียนลูบกรอบหน้าเธอเบาๆ และยกยิ้มอย่างอ่อนโยน
คนขับรถแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ยกฉากกลางขึ้นมากั้นห้องทันที
ในสารคดีฉายทิวทัศน์ของทุ่งหญ้าทางแอฟริกาที่เปลี่ยนแปลงและดูน่าหวาดเสียวขึ้นเรื่อยๆ แต่เย่ฉ่าวเฉินไม่มีอารมณดูแล้ว ตอนนี้เขาชอบที่จะอยู่กันตามลำพังกับมู่เวยเวยมากที่สุด
ภายใต้ความอบอุ่นก็มีความรู้สึกตื่นเต้นด้วย
แต่ความตื่นเต้นอย่างนี้ ถึงจะทำให้รู้สึกน่าหลงไหล
การได้จับมือเล็กๆที่อบอุ่นของเธอ เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกราวกับได้ครอบครองโลกทั้งใบ ถ้าถนนเส้นนี้ไม่มีทางสิ้นสุด รถก็จะขับไปอย่างนี้ จริงๆก็ไม่เลวเลย
รถขับไปได้ประมาณหนึ่งชั่วโมงกว่า เย่ฉ่าวเฉินก็รู้สึกว่ามือของเธอขยับเล็กน้อย เมื่อรู้ว่าเธอใกล้จะตื่นแล้ว เขาจึงปล่อยมือ และเอาเสียบหูฟังอีกครั้ง ตอนนี้สารคดีกำลังฉายเสือดาวกำลังล่าสัตว์ตอนกลางคืน ดวงตาของมันส่องประกายสีฟ้าเย็นยะเยือกอยู่
มู่เวยเวยค่อยๆลืมตาขึ้นมา ก่อนจะรู้ตัวว่าตัวเองกำลังพิงไหล่ของเย่ฉ่าวเหยียนอยู่ เธอตื่นเต็มตาทันที และสิ่งแรกที่ทำก็คือลูบมุมปาก ยังดีที่น้ำลายไม่ยืด
แต่เธอไปพิงไหล่เขาได้ยังไง เธอพิงกระจกหลับไปไม่ใช่หรอ
มู่เวยเวยเกาหน้าอย่างขัดเขิน “คือ ทำไมฉันถึง......”
เธอยังไม่ทันได้พูดจบ เย่ฉ่าวเหยียนก็ถอดหูฟังออกด้วยท่าทีสงบ และพูดอย่างเป็นธรรมชาติ “หัวของเธอชนหน้าต่างไม่หยุด ฉันกลัวหน้าต่าร้าวก็เลยให้ยืมไหล่พิง”
“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง ขอบใจนะ”ด้วยความเกรงใจ
เย่ฉ่าวเหยียนใส่หูฟังต่อ แล้วพูดอย่างเป็นธรรมชาติ “เกรงใจอะไร พวกเราไม่ต้องขอบคุณกันขนาดนี้แล้ว”
มู่เวยเวยยิ้มเขินๆ เธอรู้สึกว่าบรรยากาศในรถร้อนขึ้น จึงเปิดหน้าต่างให้ลมพัดเข้ามา ทำให้ความง่วงงุนหายไปในพริบตา
เมื่อใกล้เข้าชนบท ข้างนอกก็มีทุ่งนากว้างใหญ่ และมีกระบือให้เห็นเป็นระยะๆ
เมื่อเข้ามาในชนบท ขับเข้ามาอีกนิด รถก็จอดลงตรงหน้าบ้านหลังหนึ่งที่มีอิฐสีฟ้าและผนังสีขาว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ
ขอบคุณแอดค่ะ...สนุกค่ะ......
สนุก...