เย่ฉ่าวเฉินรีบควักปืนออกมา จ่อไปที่สมองของมู่เทียนเย่ แล้วพูดว่า "ไสหัวออกไปจากคฤหาสน์ของฉัน ถ้าไม่อย่างนั้นฉันจะยิงนายตาย"
มู่เวยเวยมองเขาด้วยความมึนงง "เย่ฉ่าวเฉิน คุณต้องการฆ่าพี่ชายฉัน ถ้าเช่นนั้นลงมือฆ่าฉันก่อนเลย"
เย่ฉ่าวเฉินกัดฟันดังกรอดแต่ไม่ได้มองหน้าเธอ เขานึกภาพออกถึงการแสดงสีหน้าเธอ ที่ไม่มองเพราะเขาไม่อยากเจ็บปวดหัวใจไปมากกว่านี้
อันที่จริง ตั้งแต่ที่เย่ฉ่าวฉ่าวเหยียนกลับมาในช่วงเวลานั้น เขากับมู่เทียนเย่ก็ไม่ได้โกรธแค้นกันถึงขนาดนั้น อยากไปเจอเขาตลอด เป็นความรู้สึกที่ในใจเหมือนพนันอยู่ ไม่ไปหาเขาระบายสิ่งนี้ออกมา ภายในใจก็ยิ่งรู้สึกอึดอัด
ฆ่าเขา? ถ้าเขายังชอบมู่เวยเวยอยู่ เขาก็ไม่สามารถทำเรื่องนี้ได้อีก
พูดคำร้ายกาจออกไป ก็เพื่อที่จะให้เขาออกไปจากคฤหาสน์ตระกูลเย่ ออกไปจากมู่เวยเวย
มู่เทียนเย่ไม่ได้ตกใจอะไรมาก เขาเคยเจอดาบปืนมีดมาตั้งนานแล้ว เขาไม่แม้แต่จะให้ค่ามองแค่เพียงรอบเดียว พูดกระตุ้นว่า "เย่ฉ่าวเฉิน นายคิดว่าทำอย่างนี้แล้วฉันจะกลัวนายเหรอ ยังมีลูกน้องโง่เขาพวกนี้อีก? คนพวกนี้ยังไม่พอฉันแคะฟันเลย นายดูถูกฉันเกินไปแล้วนะ"
เย่ฉ่าวเฉินรู้ว่าเขาพูดความจริง ต่อให้เขาฆ่าที่หัวใจ ต่อให้ปืนกี่กระบอกเล็งใส่มู่เทียนเย่ เขาก็สามารถที่จะหลบหนีไปได้
"มู่เทียนเย่ ฉันรู้ว่านายเก่ง แต่ว่าถ้าหากนายฆ่าคนพวกนี้ที่ยืนอยู่ต่อหน้า นายคิดว่าเวยเวยมีความสุข?"
ดวงตาคู่นั้นของมู่เวยเวยมองมู่เทียนเย่ ในแววตามีแต่ความขอร้องอ้อนวอน "พี่ พี่ไปก่อนเถอะ ไม่ต้องฆ่าคนอื่นเพื่อฉัน" โดยเฉพาะในนี้ยังมีคนที่เธอห่วงใยอยู่
มู่เทียนเย่ถอนหายใจลึก มองมู่เวยเวยด้วยความสงสัย พูดอย่างประนีประนอมว่า "ได้ พี่สัญญากับเธอ แต่ว่าเย่ฉ่าวเฉิน เรื่องที่เคยทำกับเวยเวย ต้องมีสักวันหนึ่งที่ฉันจะคืนกลับไปให้นายเท่าตัวเลย"
มู่เทียนเย่นึกขึ้นได้ถึงเรื่องที่เขาตรวจสอบก็โมโหเดือดดาลขึ้นมา เขาไม่มีทางเชื่อ พ่อแม่กับน้องสาวที่ตัวเองรัก นึกไม่ถึงว่าจะถูกตระกูลเย่กระทำเช่นนี้ ช่วงเวลานั้น เขาเกลียดจนอยากพามู่เวยเวยออกไปรวมถึงทำให้เย่ฉ่าวเฉินละเอียดเป็นชิ้นเล็กๆ
ถูกแหย่ให้เจ็บปวดที่สุด เย่ฉ่าวเฉินดวงตาเปลี่ยนเป็นสีม่วงอยู่สักพัก ปากไม่ยอมถอยให้แม้สักนิด "มู่เทียนเย่ เรื่องที่ฉันทำฉันยอมรับผลที่ตามมา ตอนนี้ เลือกเอาว่าจะขึ้นรถรีบไสหัวไปทันที หรือจะให้ฉันส่งนายไปเจอพญายมทันที"
มู่เทียนเย่ไม่ใช่คนโง่ ถึงอย่างไรเขาก็กลับมาแล้ว วันนี้ไม่ได้ ยังมีวันพรุ่งนี้ มะรืนนี้ ถัดจากมะรืนนี้ต้องมีสักวันหนึ่งที่สำเร็จ
แม้ว่ามู่เวยเวยอยากจะไปจากคฤหาสน์ตระกูลเย่ แต่เธอก็ไม่อยากให้มู่เทียนเย่ได้รับบาดเจ็บเพราะช่วยเธอ ฝืนยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน เธอพูดว่า "พี่ อย่างนั้นก็เอาอย่างที่พูดนะ?"
"อืม พูดแน่ชัดแล้ว พี่เคยโกหกเธอเมื่อไหร่กัน?" มู่เทียนเย่ไม่กลัวสายตาข่มขู่ของเย่ฉ่าวเฉิน เดินมาลูบกระหม่อมมู่เวยเวย "ดูแลตัวเองดีๆ รู้ไหม?"
มู่เวยเวยรู้สึกแสบจมูก แต่ทว่าก็ยังยิ้มออกมาอย่างสดใส "วางใจได้ ฉันจะดูแลตัวเองดีๆ"
"มู่เทียนเย่ นายยังไม่ไสหัวไปอีก?"เย่ฉ่าวเฉินพูดด้วยความโกรธ มู่เทียนเย่เห็นเขาไปอากาศเหรอ? อยู่ต่อหน้าเขานึกไม่ถึงว่าจะพูดคำประเภทนี้?
มู่เทียนเย่เงยศีรษะมองเย่ฉ่าวเฉิน รอยยิ้มบนใบหน้าหายไปทันที "หลังจากที่ฉันไปถ้านายยังทำอะไรให้มู่เวยเวยลำบากใจอีก ฉันจะทำให้นายอยู่อย่างไม่สงบสุขแน่นอน"
"ฉันไม่มีทางทำให้เธอลำบากใจ"เย่ฉ่าวเฉินสัญญากับเขา
"อย่างนั้นก็ดี" มู่เทียนเย่พูดจบ เปิดประตูรถเดินขึ้นไป
เสียงรถดังขึ้น เย่ฉ่าวเฉินโบกมือให้บอดี่การ์ดหลีกทางให้หมด เสียงรถปอร์เช่ คาเยนน์ออกไปอย่างรวดเร็ว
รอจนรถหายไปลับสายตา เย่ฉ่าวเฉินก็ทรงตัวไม่ได้แล้ว "แหวะ" เขาอาเจียนออกมาเป็นเลือด ดวงตาคู่นั้นค่อยๆเปลี่ยนสีทีละนิด
พ่อบ้านหวางตกใจรีบวิ่งมาพยุงเขา "คุณชาย คุณชาย" คุณอดทนไว้นะ ผมจะไปตามหมอหานมา
"ไม่ต้อง ฉันไม่ได้เป็นอะไร ไม่ต้องเรียกเขา" เย่ฉ่าวเฉินเช็ดเลือดที่ริมฝีปาก หลังจากนั้นวางแขนพาดไหล่มู่เวยเวย พูดกับเธอเสียงต่ำว่า "พยุงฉันเข้าไปด้านใน"
มู่เวยเวยมองเขาอยู่สักพักหนึ่ง ใจจิตสับสนว้าวุ่นวางมือบริเวณเอวของเขา พาเขาเดินขึ้นบันไดไป
หรืออาจจะเป็นเพราะเขาปล่อยพี่ชายเธอไป หรืออาจจะเพราะในใจลึกๆไม่อยากให้คนอื่นรู้เรื่องส่วนตัวของเขา
เข้ามาภายในห้องนอน เย่ฉ่าวเฉินล้มนอนลงบนเตียง สีหน้าซีดขาว
ไม่บ่อยครั้งที่มู่เวยเวยจะแสดงความเป็นห่วง "คุณเป็นอย่างไรบ้าง?"
เย่ฉ่าวเฉินหลับตาลง รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา พูดด้วยเสียงอิดโรยว่า"ชั่วพริบตาเดียวก็เปลียนแปลงไป สิ่งนี้การทำงานมีลักษณะเฉพาะ ฉันไม่เคยใช้มาก่อนและพยายามหลีกเลี่ยงเสมอ"
มู่เวยเวยพอได้ฟังสาเหตุนี้ นั่งลงบนโซฟาอย่างไม่พอใจ พูดเสียงกดต่ำ" ไม่เคยใช้มาก่อนก็ไม่ควรที่จะใช้มั่ว " ยังมีอีกคำที่เธอยังไม่ได้พูดออกมา รีบวิ่งกลับมาเพราะอะไร? ทำให้เธอหนีออกไปจากที่นี่ไม่ได้
ถ้าเมื่อก่อนเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น มู่เวยเวยที่อยู่ในกำมือของเย่ฉ่าวฉ่าวเฉินไม่เพียงหมดสติไปหลายรอบ ตอนนี้ ภายในใจของเย่ฉ่าวเฉินรู้สึกยินดีปรีดาและยังมีความเสียใจอยู่ ที่เสียใจคือเธอคิดที่จะหนีไปจากเขา ที่ยินดีปรีดาคือ เขายังมีการทำงานที่แปลกเฉพาะตัว เวลาที่เธอจะหนีไปเขาก็ยังที่จะรักษาเธอไว้ได้อยู่
แต่ว่า ครั้งนี้โชคดี ครั้งหน้าล่ะ เพียงแค่เธออยากจะหนีไปจากเขาบวกกับมีมู่เทียนเย่เข้ามา เขาต้องทำอย่างไรถึงจะหยุดไว้ได้?
อยากให้เธออยู่ที่นี่ ลงมือทำรุนแรงก็ไม่ได้ ต้องทำให้เธอสมยอมพร้อมใจเอง
พอพิจารณาดูแล้ว เย่ฉ่าวเฉินคิดว่า ต้องพูดกับเธอตรงไปตรงมาสักครั้ง แต่ก็กลัวที่จะเสียเกียรติความเป็นผู้ชายแต่ก็ไม่เป็นไร? ถึงอย่างไรเขาก็ยังเคยเหยียบเธอให้ต่ำลงอยู่ใต้เท้าของเขา ตอนนี้ก็คืนให้กับเธอไป
ตัวเองเป็นคนปลูกผลไม้นี้ ต่อให้ขมอย่างไรก็ต้องฝืนกลืนลงไป
ตอนนี้โลกจะตอบสนองเขา แต่ก็คงไม่เท่าไหร่หรอกมั้ง
ดิ้นรนลุกขึ้นจากเตียง เย่ฉ่าวเฉินจะมองเข้าไปในดวงตาของมู่เวยเวย พูดด้วยความจริงใจว่า"เวยเวย เธอให้โอกาสฉันอีกสักครั้งได้ไหม? "
มู่เวยเวยได้ยินเขาพูดคำนี้ออกมาอย่างกะทันหันอยู่ในสภาวะพูดไม่ออกนิ่งมึนงงไป คำพูดที่ดูหน้าสงสารและจนตรอกของคนตรงหน้าเธอนี้ใช่เย่ฉ่าวเฉินคนนั้นจริงๆเหรอ?
สวรรค์รู้ คาดไม่ถึงว่าเย่ฉ่าวเฉินจะใช้คำพูดที่น่าสงสารนี้ออกมา
มู่เวยเวยไม่ได้พูดอะไร เย่ฉ่าวเฉินเดินกลับไป คุกเข่าลงที่พรม สองมือจับที่มือของเธอไว้ พูดอีกว่า"ฉันขอโทษเธอนะ เรื่องที่ผ่านมาเป็นความผิดของฉัน ฉันปฏิบัติต่อเธออย่างโหดร้ายทารุณ ทั้งหมดเป็นความผิดฉัน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฉันจะไม่มานั่งคิดว่าเธอให้ครั้งแรกกับฉันไหม ฉันแค่อยากให้เราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ฉันสาบาน ฉันจะทำดีกับเธอให้มากๆ"
ถ้าหากจะบอกว่ามู่เวยเวยไม่ได้รู้สึกกับคำพูดของเขาในครั้งนี้ ก็คงจะเป็นการโกหก นับว่ารู้สึกดีอยู่ไม่น้อยแต่ก็ไม่มีทางทำให้เธอเปลี่ยนใจ
หัวใจของเธอด้านชาไปตั้งนานแล้ว คำพูดที่หวานหอมเหมือนน้ำผึ้งกับคำสาบานจะมาใช้เปลี่ยนหัวใจที่ตายด้านของเธอ?
มู่เวยเวยถอนหายใจลึก มองที่ดวงตาคู่สีม่วงของเขาอย่างเย็นชา "เย่ฉ่าวเฉิน ในโลกนี้มีผู้หญิงที่ดีอยู่มากมาย พวกเขาน่ารักจิตใจดี สะอาดบริสุทธิ์ ทำไมคุณถึงยังดึงรั้งฉันไว้ไม่ปล่อยสักที?"
"เพราะว่าฉันรักเธอเข้าแล้ว " เย่ฉ่าวเฉินพูดออกมา แววตาคู่สีม่วงสั่นไหว
มู่เวยเวยเหมือนถูกผึ้งต่อยไปครึ่งร่างกายมึนงงเดินถอยหลังกลับไป มองเขาด้วยสายตาที่แปลกประหลาดใจ "เย่ฉ่าวเฉิน คุณบ้าไปแล้ว?"
"เธอพูดถูก ฉันบ้าไปแล้ว ถ้าหากไม่บ้าจะรักเธอได้อย่างไร?" อารมณ์ของเย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างตื่นตระหนก
"เย่ฉ่าวเฉิน.....คุณรู้ว่าคุณกำลังพูดอะไร? คุณใจเย็นลงก่อนแล้วค่อยมาพูดกับฉัน" มู่เวยเวยพูดพร้อมกับลุกขึ้นจากโซฟา แต่ทว่ากับถูกเย่ฉ่าวเฉินกดลงไป
"เวยเวย ตอนนี้ฉันใจเย็นมากแล้ว ฉันรู้ว่ากำลังพูดอะไรอยู่" เย่ฉ่าวเฉินชะงักไป และพูดอีกว่า "ฉันไม่อยากให้เธอไปจากฉัน ไม่ใช่เพียงเพราะว่าเธอป็นภรรยา แต่เป็นเพราะฉันรักเธอ"
เป็นครั้งแรกที่เย่ฉ่าวเฉินพูดแสดงออกความรู้สึกกับผู้หญิงอย่างตรงไปตรงมา หัวใจของเขาเหมือนขึ้นมาอยู่ที่ลำคอ เขาพูดอย่างยากลำบาก แต่ว่าเขาจำเป็นต้องพูด
มู่เวยเวยรู้สึกว่าสมองกำลังรู้สึกสับสน "เย่ฉ่าวเฉิน.....คุณ คุณไม่รู้สึกว่าคำพวกนี้หลุดออกมาจากปากคุณมันเป็นเรื่องน่าตลก?คนที่คุณรักควรที่จะเป็นเฉียวซินโยว? คุณจะรักฉันได้อย่างไร?"
"เรื่องของฉันกับเฉียวซินโยวครั้งนั้นเป็นเพียงแค่อุบัติเหตุ ฉันแค่รู้สึกดีกับเธอนิดหนึ่ง ไม่ใช่ว่ารักเธอ " เย่ฉ่าวเฉินพูดเพื่อล้างมลทินให้กับตัวเอง
ถ้าหากไม่เกิดเรื่องขึ้นที่โรงแรมครั้งนั้น ผู้หญิงอย่างเฉียวซินโยวไม่เคยอยู่ในสายตาเขาเลยและก็จะไม่มีความรู้สึกผิดทีหลังกับการทำร้ายกันเกิดขึ้น ตอนนี้มาเสียใจทีหลังก็ไม่ได้ช่วยอะไร
"ห้ะ เย่ฉ่าวเฉินคุณพูดคำพวกนี้ออกมาไม่รู้สึกอับอายเหรอ?"
"เวยเวย ฉันต้องทำอย่างไรเธอถึงจะให้อภัย?" เย่ฉ่าวเฉินคาดไม่ถึง เขาเป็นถึงผู้บริหารเย่ฮวางอินเตอร์เนชั่นแนลกรุ๊ป วันหนึ่งก็ยังต้องมาคุกเข่าต่อหน้าผู้หญิงเพื่อขอร้องให้เธออภัยให้
อย่างไรก็ตามความรักเป็นเรื่องที่ทำให้คนคาดไม่ถึง ในระหว่างที่เธอกำลังเกลียดเขา แต่ทว่าเขาดันหลงรักเธอ
มู่เวยเวยผงกศีรษะ "เย่ฉ่าวเฉิน ฉันเคยพูดแล้ว ฉันไม่ให้อภัยคุณและไม่ว่าจะตอนไหนก็ตาม "
เย่ฉ่าวเฉินเหมือนถูกมีดแทงลงมาที่หัวใจ ทุกครั้งที่หายใจเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เขาผ่อนลมหายใจพูด "ตกลง เธอไม่ให้อภัยฉันก็ไม่เป็นไร แต่อยู่ที่นี้ได้ไหม? เหมือนกับตอนนี้ เธอทำงานออกแบบที่เธอรัก ฉันจะไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่งเรื่องของเธอ เพียงแค่เธออยู่ที่นี่ เธออยากทำอะไรก็ได้หมด ตกลงไหม?"
มู่เวยเวยอยากพูดออกมาว่าไม่ได้ แต่มองสายตาคู่สีม่วงของเขาที่มีแต่ความน่าหลงไหลทำให้เธอไม่สามารถที่จะอ้าปากได้
บรรยากาศแทบจะแข็งตัว
เวลาผ่านไปหนึ่งนาทีหนึ่งวินาที เย่ฉ่าวเฉินรอนานมาก มู่เวยเวยไม่ได้ผงกศีรษะตอบตกลง แต่ว่าเธอก็ไม่ได้ส่ายศีรษะปฏิเสธ นี่ใช่หรือไม่ใช่ว่าเขายังมีโอกาสอยู่?
..............
ผ่านช่วงเวลาที่มู่เทียนเย่มาก่อกวน บอดี้การ์ดของคฤหาสน์ตระกูลมู่ต้องเข้มงวดขึ้น รถแต่ละคันที่เข้าออกก็จะต้องตรวจสอบอย่างละเอียด ขนาดทุกครั้งเวลาที่เย่ฉ่าวเฉินออกจากคฤหาสน์ก็ยังต้องลดกระจกลง
เกี่ยวเนื่องจากมู่เทียนเย่ปรากฎตัวกะทันหัน ทำให้พ่อบ้านหวางสั่งที่สนามว่าทุกคนห้ามประมาทแม้แต่ครึ่งก้าว
บริษัทกำลังอยู่ในระหว่างการแข่งขันครั้งสุดท้ายของการประมูลวันนี้อยู่ช่วงเช้าเวลาเก้าโมงตรง เย่ฉ่าวเฉินจำเป็นต้องไปเอง และทางฝั่งของบริษัทมู่ซื่อ มู่เทียนเย่ก็จะต้องไป
กำลังจะไป เย่ฉ่าวเฉินได้ให้จางเห่ออยู่ "ฉันไม่อยู่ ห้องทำงานห้ามให้คนเข้าไป มู่เวยเวยต้องการอะไรก็ต้องรอให้ฉันกลับมาก่อน"
"ครับ คุณชาย"
ถึงงานประมูล เย่ฉ่าวเฉินเจอมู่เทียนเย่อยู่ที่หน้าประตู มู่เทียนเย่ใส่สูทกับรองเท้าหนัง ด้านหลังของเขาคือผู้จัดการบริษัทที่เข้ามาใหม่ แต่ละคนมองแล้วดูไม่ธรรมดา เดินมาปะทะหน้ากัน ทำให้คนรู้สึกกดดัน
เย่ฉ่าวเฉินยืนอยู่ที่บันไดก้มลงมองเขา "ประธานมู่ ไม่คิดเลยว่าพวกเราจะได้เจอกันเร็วอย่างนี้"
"ใช่ ฉันก็คาดไม่ถึงเหมือนกัน" มู่เทียนเย่จ้องมองดวงตาคู่สีฟ้าของเขา มีความรู้สึกที่คาดไม่ถึง
วันนั้นหลังจากออกจากคฤหาสน์ตระกูลเย่ เขาสั่งให้คนนำรูปทั้งหมดในช่วงหนึ่งปีที่เกี่ยวข้องกับเย่ฉ่าวเฉินมาให้ ในรูปเป็นตาสีฟ้า ทำไมวันนั้นเป็นสีม่วง? และอีกอย่างดูเหมือนว่ามู่เวยเวยไม่ได้แปลกใจอะไร สรุปว่าเขาซ่อนความลับอะไรในตัวของเขาอยู่?
"ประธานมู่ วันนี้พวกเราเย่ฮวางชนะแน่นอน ผมคิดว่าพวกคุณตระกูลมู่ควรที่จะกลับไปทำการแปรรูปอาหาร ทำไมจะต้องเอาเท้ามาปะปนกับอสังหาริมทรัพย์?" เย่ฉ่าวเฉินเดินเข้าไปพร้อมกับพูดถากถางอย่างเยือกเย็น
มู่เทียนเย่และคนที่ยืนอยู่ด้านข้างเดินเข้าไป พูดด้วยความอวดดีว่า"เพราะว่าพวกคุณเย่ฮวางเข้าร่วมงานประมูลนี้ ผมก็คิดแค่ว่ามาเล่นๆเท่านั้น แพ้ก็ไม่ได้อะไร ในกรณีที่พวกเราชนะแค่ทำให้คุณโมโหก็ยังดี"
เย่ฉ่าวเฉินนับว่าอยู่ในสนามการแข่งขันมาหลายปี เหตุผลที่เอาแต่ใจในการประมูลเขาเพิ่งจะได้ยินครั้งแรก เรื่องจริง......โกรธมากจริงๆ
งานประมูลใช้เวลาหนึ่งวันเต็มๆ ทุกคนที่อยู่ในห้องประชุมปรบมือพร้อมเพรียงกัน เย่ฉ่าวเฉินเดินออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด รองผู้บริหารกับคนตำแหน่งสูงจำนวนหนึ่งของบริษัทเดินตามหลังเขาออกมา สีหน้าดูไม่ได้
ต่างจากมู่เทียนเย่ ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
"มู่ ชนะการประมูลแค่เล็กๆ จำเป็นต้องมีความสุขขนาดนั้นไหม?" ด้านหลังของเขามีต่างชาติคนหนึ่งผมเหลืองจมูกโด่งถามเขา ผู้ชายท่านนี้คือผู้จัดการคนใหม่ของบริษัทซื่อมู่ที่เขารับมาใหม่
มู่เทียนเย่ลูบบริเวณไหล่ของชายคนนั้น มองไกลๆเห็นผู้ชายคนหนึ่งที่อารมณ์หงุดหงิดอยู่ ยิ้มอย่างสะใจ "คุณไม่เข้าใจหรอก ผมอยากทำให้เขารู้ พวกเราตระกูลมู่ไม่ใช่ว่าเขาอยากกลั่นแกล้งก็กลั่นแกล้งได้"
ด้านนี้ มีคนจำนวนหนึ่งกลับไปที่บริษัทเพื่อจะประชุม รองผู้บริหารของเย่ฮวางโยนเอกสารลงบนโต๊ะ เขาโมโหจนแทบระเบิด ยุ่งอยู่กับงานนี้เกือบสองสามเดือน นึกไม่ถึงว่าจะถูกมู่เทียนเย่แย่งไป แต่ทว่ามู่เทียนเย่ใช้เวลาแค่หนึ่งอาทิตย์
"ในนี้ต้องมีอะไรที่ผิดพลาด ราคาการประมูลที่ต่ำสุดของบริษัทมู่ซื่อจะใกล้เคียงกับงบประมาณได้อย่างไร เพียงแค่ต่างสองตำแหน่ง เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ "
เย่ฉ่าวเฉินนั่งสูบบุหรี่บนเก้าอี้ เขาก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ทว่าผลออกมาอย่างนี้แล้ว
"และอีกอย่าง มู่ซื่อทำไมรู้หนังสือการประมูลราคาของเราอย่างละเอียด คาดว่าทุกคำที่พูดออกมามุ่งตรงมาที่จุดด้อยของพวกเรา หรือว่าพวกเขาจะรู้เนื้อหาในหนังสือการประมูลของเราตั้งแต่แรก " คำพูดของรองประธานในครั้งนี้เป็นเหมือนลูกระเบิด ทิ้งลงในใจของทุกคนที่อยู่ในห้องประชุม ทุกคนชะงักแล้วนึกถึงคนคนหนึ่ง สายตาประสานกันมองมาทางเย่ฉ่าวเฉินที่นั่งอยู่อันดับแรก
เย่ฉ่าวเหยียนพ่นควันบุหรี่ออกมา มองดูทุกคนหนึ่งรอบ พูดอย่างเย็นชา "ไม่ต้องมองผม ผมจะบอกทุกคนอย่างชัดเจนว่า คนที่พวกคุณคิดคนนั้น ไม่มีทางทำเรื่องอย่างนี้ แพ้แล้วก็คือแพ้ ไม่ต้องผลักความรับผิดชอบให้คนอื่น หนังสือการประมูลของเราทำได้ไม่ดีเหมือนบริษัทมู่ซื่อ นี่คือสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ ก็แค่ที่ดิน สูญหายแล้วก็คือสูญหาย ตอนนี้สิ่งที่ต้องทำคือสรุปสิ่งที่ประสบมา และไม่ใช่ปฏิเสธความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ทุกท่านเป็นผู้ที่มีประสบการณ์มากมาย ผมคิดว่าสามารถทำได้ตรงจุดนี้"
ทุกคนฟังที่เย่ฉ่าวเฉินพูดต่างก็ก้มศีรษะลง
"โอเค ช่วงที่ผ่านมาทุกคนเหน็ดเหนื่อยกันมามาก กลับบ้านพักผ่อนเถอะ"
เย่ฉ่าวเฉินลุกขึ้นเดินไปที่ห้องทำงาน เขาไม่สงสัยมู่เวยเวย เพราะว่าช่วงนี้เขาอยู่กับมู่เวยเวยตลอดเวลา ต่อให้เธออยากจะขโมยหนังสือข้อมูลการประมูลก็ไม่มีโอกาส และยิ่งไปกว่านั้น จากที่เขารู้จักมู่เทียนเย่ มู่เทียนเย่ไม่มีทางให้มู่เวยเวยเสี่ยงทำเรื่องอย่างนี้
จากที่เห็น ครั้งนี้มู่เทียนเย่เชิญผู้จัดการคณะกลุ่มทำงานที่เก่งมากมา
ภายในห้องทำงานผู้บริหาร มู่เวยเวยตั้งใจออกแบบงาน บนรูปนั้นเป็นเสื้อกันลมของผู้ชาย เธอเข้าบริษัทมารับหน้าที่ในการออกแบบเสื้อผ้าผู้หญิงมาตลอด เสื้อผ้าผู้ชายตอนอยู่มหาวิทยาลัยไม่เคยออกแบบมาก่อน ตอนนี้ใกล้จะลืมกระจัดกระจายหมดแล้ว
ได้ยินเสียงประตูดังขึ้น มู่เวยเวยได้ยินเสียงฝีเท้าก็รู้เลยว่าเป็นเย่ฉ่าวเฉินกลับมาแล้ว เงยศีรษะมองสีหน้าของเขา มีความเย็นชา
แพ้แล้ว?
"เลิกงานแล้ว กลับบ้าน" เย่ฉ่าวเฉินเดินเข้ามา มู่เวยเวยไม่ส่งเสียงอะไรออกมาจัดการกับงานออกแบบของเธอ เรื่องในใจ เธอไม่อยากให้เขารับรู้เรื่องนี้ หลีกเลี่ยงการสร้างความลำบากใจ
มู่เวยเวยจัดการเก็บกระเป๋าของตัวเองเรียบร้อย ถามเขาเหมือนไม่ได้เจตนาหรือตั้งใจ "เกิดอะไรขึ้น?ดูเหมือนคุณจะไม่มีความสุข"
เย่ฉ่าวเฉินเหลือบมองเธอนิดหนึ่ง "เธอเป็นห่วงฉันเหรอ? หรือว่าเป็นห่วงเรื่องประมูลในวันนี้?"
มู่เวยเวยอีกนิดหนึ่งก็หัวเราะออกมา กัดที่ริมฝีปาก "คุณไม่ต้องพูดแล้ว ฉันรู้แล้ว"
สีหน้าเขาไม่ดีอย่างนี้ คงจะประมูลแพ้แน่นอน อย่างนั้นพี่ชายก็ชนะแล้ว?
"มู่เวยเวย ฉันแพ้แล้วเธอมีความสุขขนาดนั้นเลย?" เย่ฉ่าวเฉินดึงเอวเธอไว้ ถามเสียงต่ำ แต่ทว่าไม่ได้มีความโกรธอะไร
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ
ขอบคุณแอดค่ะ...สนุกค่ะ......
สนุก...