วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ นิยาย บท 161

บันไดขึ้นไปสู่ห้องใต้หลังคาอยู่ที่ชั้นสามของคฤหาสน์ ในเวลานี้คฤหาสน์เงียบมาก มู่เวยเวยมาถึงชั้นสาม และปีนบันใดแคบๆขึ้นไปข้างบนอาคาร

สายลมยามค่ำคืนหนาวมาก พัดเสื้อขนสัตว์กันลมของเธอ

สามนาทีก่อนจะถึงเวลาที่นัด มู่เวยเวยก็นึกขึ้นได้ว่า เมื่อก่อนมีอยู่คืนหนึ่งเธออารมณ์ไม่ดี เสี่ยวจื่อจึงพาเธอบินขึ้นไปดูดาวบนท้องฟ้า เพื่อให้เธอสบายใจขึ้น

เหตุการณ์แบบนี้ เหมือนเคยเกิดขึ้นเมื่อชาติปางก่อน

เสียงใบพัดดังมาจากระยะไกล มู่เวยเวยเงยหน้าขึ้นด้วยความตื่นเต้น เฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามายังคฤหาสน์ด้วยความเร็ว โดยข้างล่างเครื่องมีคนห้อยอยู่หนึ่งคน และตอนนี้ก็เป็นเวลาสี่ทุ่มพอดี

เสียงดังทำลายความเงียบสงบของค่ำคืน หน่วยลาดตระเวนพากันตกตะลึงไปสองสามวินาทีหลังจากเห็นเฮลิคอปเตอร์ เมื่อแน่ใจว่าเครื่องบินกำลังมาทางคฤหาสน์ จึงรีบแจ้งกับจางเห่อในทันที

พ่อบ้านหวังที่ยังไม่นอน เขาก็ได้ยินเสียง จึงรีบวิ่งออกไปดูและตกใจ คนที่อยู่ด้านบนคือมู่เวยเวยไม่ใช่เหรอ ?

แต่เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน คุณชายเดินมาหยิบขวดไวน์จากห้องเก็บไวน์อย่างมีความสุข บอกว่าคุณหนูอยากดื่ม เวลาเธอควรจะดื่มอยู่กับคุณชาย แต่ทำไม.......

แย่แล้ว เมื่อพ่อบ้านหวังคิดอะไรได้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปและรีบวิ่งขึ้นไปข้างบน

เมื่อเปิดประตูเข้าไปที่ห้องนอนของมู่เวยเวย ก็เห็นแย่ฉ่าวเฉินล้มอยู่ที่พื้น โดยมีผ้าขนหนูมัดปากเขาไว้ และเขาเองก็นอนหลับไม่รู้สึกตัว

พ่อบ้านหวังมองแปปเดียวก็รู้ว่าเย่ฉ่าวเฉินโดนวางยา จึงรีบวิ่งไปแก้ผ้าขนหนูออก และเขย่าศีรษะเขาเพื่อเรียกสติ “คุณชาย! คุณชาย! ตื่นสิ——โอ้พระเจ้า คุณต้องอวยพรไม่ให้คุณชายเป็นอะไร ”

ด้านนอก จางเห่อรวบรวมบอดี้การ์ดจำนวนมากมาที่ใต้คฤหาสน์ ทุกคนถือปืน เตรียมจะยิงเฮลิคอปเตอร์ให้ตกลงมา

“ไม่มีคำสั่งห้ามยิงเด็ดขาด” จางเห่อตะโกนเสียงดัง ข้างบนเป็นใคร ? เป็นมู่เวยเวย ตอนนี้เธอคือคนที่สำคัญสุดของเย่ฉ่าวเฉิน ถ้าใครกล้าแตะต้องเธอแม้แต่เส้นผม เย่ฉ่าวเฉินจะต้องตัดมือคนนั้นทิ้งแน่

แต่ถ้าไม่หยุดยั้งไว้ มู่เวยเวยต้องถูกเฮลิคอปเตอร์พาตัวไป

เสียงดังขนาดนี้ เจ้านายมัวทำอะไรอยู่ ? เขาไม่ได้ยินเสียงเลยเหรอ ?

ไม่ได้ รอแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว

ขึ้นตามบันไดไป จางเห่อวิ่งไปจนสุดทางเข้าห้องใต้หลังคา แต่ปรากฎว่า ประตูถูกมู่เวยเวยล็อคไว้ เขากระแทกมันหลายครั้งแต่ก็เปิดไม่ออก

พ่อบ้านหวังแทบจะเป็นบ้าแล้ว เขาทำยังไงเย่ฉ่าวเฉินก็ไม่มีท่าทีว่าจะตื่น เสียงดังกระหึ่มก็ดังเข้ามาในหูของเขาเรื่อยๆ เขาไม่มีทางเลือกจึงวิ่งที่ไปห้องน้ำและเอาน้ำเย็นใส่กะละมังขนาดเล็กออกมา สาด ไปที่หน้าของเย่ฉ่าวเฉิน เมื่อเห็นเขาเริ่มมีสติขึ้นมา พ่อบ้านหวังจึงไปตักน้ำอีกกะละมังมาสาดใส่เขา

“แค่กแค่กแค่ก......”เมื่อถูกน้ำเย็นสาดเย่ฉ่าวเฉินจึงลืมตาขึ้นมา มองเห็นพ่อบ้านหวังมองหน้าเขาอย่างใจจดใจจ่อ

“คุณชาย คุณตื่นสิ ตื่นตื่น ยังคุณยังไม่ตื่นคุณหนูจะถูกจับตัวไปแล้ว ”พ่อบ้านหวังพูดเสียงดังใส่หูของเขา ถ้าไม่พูดเสียงดังเขากลัวว่าเย่ฉ่าวเฉินจะไม่ได้ยิน เพราะเสียงของเฮลิคอปเตอร์ด้านนอกดังเกินไป

เมื่อได้ยินคำว่าคุณหนู เย่ฉ่าวเฉินก็เริ่มมีสติขึ้นมาเล็กน้อย

“คุณอาหวัง พยุงฉันลุกขึ้นหน่อย ”เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างอ่อนแรง มือและเท้าทั้งสองของเขาไม่สามารถออกแรงได้เลย

พ่อบ้านหวังรีบพยุงเขาลุกขึ้นมาจากพื้น “คุณชาย คุณช้าหน่อย”

“สถานการณ์ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง ?”เย่ฉ่าวเฉินส่ายหัวเพื่อพยายามต่อต้านฤทธิ์ยาในตัวของเขา

“จางเห่อนำคนมารอคำสั่งคุณอยู่ข้างล่าง คุณหนูอยู่บนอาคาร ทุกคนเลยไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม”

ช่วยพยุงฉันไปที่ระเบียง “เย่ฉ่าวเฉินพูด และบอกพวกคนด้านล่างว่าอย่ายิง”

เขาทนไม่ได้ถ้าเธอตาย

“ครับ คุณชาย”พ่อบ้านหวังนำเย่ฉ่าวเฉินไปที่โซฟาตรงระเบียง และรีบหันหลังลงไป

เฮลิคอปเตอร์เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ใกล้จนมู่เวยเวยเห็นใบหน้าของมู่เทียนเย่อย่างชัดเจน ลมพัดแรงจนผมเธอพันกันยุ่งเหยิง เธอแทบจะทรงตัวไม่ได้ “พี่ชาย——”

ในขณะเดียวกันจางเห่อก็เปิดประตูเข้าไปได้ มู่เทียนเย่ยื่นมือมารับเอามู่เวยเวยไปอยู่ในอ้อมแขน จากนั้นก็พาไปจากคฤหาสน์ตระกูลเย่

บนระเบียง เย่ฉ่าวเฉินมองไปที่ร่างทั้งสองที่ลอยอยู่กลางอากาศอย่างเฉยเมย ความโกรธในใจของเขาก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้

ไม่เป็นไร มู่เวยเวยไม่ว่าคุณจะหนีไปไกลแค่ไหน ขอแค่คุณยังมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ สักวันหนึ่งผมจะต้องพาคุณกลับมา

ในสายลมที่ขมขื่น มู่เวยเวยกอดเอวพี่ชาย และหันกลับไปมองคฤหาสน์ตระกูลเย่ที่สว่างไสวอยู่ไกลๆ ในใจก็เกิดความเศร้าขึ้นมา

นับตั้งแต่วันแรกที่มาถึงที่นี่ มู่เวยเวยก็คิดมาโดยตลอดว่า วันหนึ่งพี่ชายจะมาพาเธอออกไป และวันนี้มันก็เป็นจริงแล้ว

ที่นี่ ทิ้งความทรงจำอันโหดร้ายให้กับเธอ ในชีวิตนี้เธอไม่คิดจะกลับมาอีกแล้ว และก็ไม่อยากเจอคนๆนั้นอีก

เฮลิคอปเตอร์ไม่ได้จอดที่เมือง A แต่บินไปที่เมือง S ที่อยู่ใกล้เคียงภายในชั่วข้ามคืน และลงจอดในสถานที่ที่สวยงาม

……

“พี่ แม่บ้านที่คฤหาสน์ตระกูลเย่นั้นเป็นคนของคุณเหรอ ?” แม้ว่าจะเกือบเที่ยงคืนแล้ว แต่มู่เวยเวยยังคงตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ จึงดึงแขนมู่เทียนเย่มาถาม

“ไม่ใช่ แต่ว่าทุกคนล้วนมีจุดอ่อน ขอแค่คุณหาจุดอ่อนของเธอเจอ ก็สามารถให้เธอทำในสิ่งที่คุณต้องการได้” มู่เทียนเย่พูดอย่างคลุมเคลือ เขาไม่อยากให้มู่เวยเวยรู้อะไรมาก เพราะว่าที่นี่มีด้านมืดอยู่เยอะมาก

“ถ้าหากว่าฉันไม่ได้ใส่ยาให้เย่ฉ่าวเฉินดื่มล่ะ ? ถ้าอย่างนั้นเมื่อคุณปรากฎตัวขึ้นที่คฤหาสน์มันก็จะอันตรายกับคุณมากนะ”

มู่เทียนเย่ยิ้ม “คุณคิดว่าผมโง่เหรอ ? ผมจะทำเช่นนี้ได้ก็ต่อเมื่อเตรียมพร้อมทุกอย่างแล้ว ก็แค่ถอยกลับมา ถ้าหากว่าแผนทุกอย่างล้มเหลว ถ้างั้นคุณก็ไม่สามารถปรากฎตัวที่บนยอดอาคารได้หรอก และผมก็คงจะไม่ปรากฎตัว”

“โอ้.....”มู่เวยเวยมองไปที่พี่ชายเธออย่างชื่นชม “แต่ว่า ยาที่คุณให้กับฉันมันแรงจริงๆ ในตอนนั้นฉันยังสงสัยว่า แค่เพียงนิดเดียว ถ้าเย่ฉ่าวเฉินดื่มไปแล้วไม่เกิดอะไรขึ้นจะทำยังไง ?”

“เรื่องนี้คุณวางใจได้เลย ถึงแม้ว่าจะเป็นช้างตัวใหญ่เพียงแค่หยดเล็กๆก็สามารถล้มลงได้ แววตาของมู่เทียนเย่แสดงความสงสัย แต่ผมก็ยังแทบไม่อยากเชื่อ ความหวงแหนของเย่ฉ่าวเฉินจะหนักแน่นมาก แค่เพียงครู่เดียวก็ตื่นแล้ว และยังออกมาที่ระเบียงได้อีก”

นี่ควรจะเป็นความผิดพลาดของมู่เทียนเย่ ถ้าหากว่าในตอนนั้นเย่ฉ่าวเฉินไม่ฆ่านักฆ่า ถึงแม้ว่าเขากับมู่เวยเวยอาจจะได้รับบาดเจ็บ แต่ถ้ามีโอกาศแค่เพียงเล็กน้อย เขาก็ไม่เต็มใจที่จะทำ

เมื่อคิดแบบนี้ เย่ฉ่าวเฉินก็เหมือนจะมีใจให้กับมู่เวยเวยอยู่เล็กน้อย

มู่เวยเวยนึกไปถึงเงาสีดำที่ปลายเตียงห้องนอน ปอดของเขาก็เหมือนจะระเบิด

ทันใดนั้นก็นึกเรื่องอะไรขึ้นได้ ท่าทางของมู่เทียนเย่ก็ดูจริงจังขึ้น “เวยเวย.......เน่ฉ่าวเฉินเป็นอะไรรึเปล่า ?”

มู่เวยเวยรู้สึกสับสน ไม่รู้ว่าพี่ชายเธอถามเรื่องอะไร “เกิดเรื่องอะไรขึ้น ?”

“มีอยู่วันหนึ่ง จู่ๆเขาก็ปรากฎตัวขึ้นที่คฤหาสน์ และดวงตาของเขายังเป็นสีม่วงด้วย” เรื่องนี้รบกวนมู่เทียนเย่มาหลายวันแล้ว เขาคิดยังไงก็คิดไม่ออก

มู่เวยเวยตกตะลึงไปชั่วขณะ ไม่คิดเลยว่าพี่ชายเขาจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมา เธอลังเลเล็กน้อยไม่รู้ว่าควรพูดดีไหม นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของเย่ฉ่าวเฉิน แต่คนตรงหน้าก็เป็นพี่ชายของเธอ ถ้าหากว่าพวกเขาเผชิญหน้ากันในอนาคต จะต้องเกิดการต่อสู่ขึ้นแน่

“เป็นอะไรไป ? มีเรื่องอะไรที่ยังบอกผมไม่ได้เหรอ ?” มู่เทียนเย่สงสัยเข้าไปอีก

มู่เวยเวยเงียบไปครู่หนึ่ง และพูดอย่างจริงจังว่า “พี่ชาย เรื่องนี้เป็นความลับของเย่ฉ่าวเฉิน คุณต้องรับปากฉัน ห้ามบอกเรื่องนี้กับใคร ถึงแม้ว่าฉันจะเกลียดเขา แต่ฉันก็ไม่อยากให้คนอื่นใช้เรื่องนี้มาคุกคามเขา”

“สรุปแล้วมันเป็นเรื่องอะไรกันแน่ ร้ายแรงขนาดนั้นเลย ?” มู่เทียนเย่ถามอย่างดูแคลน

“คุณจำเป็นต้องสัญญาเงื่อนไขนี้กับฉันก่อน ไม่อย่างนั้นฉันก็จะไม่บอกคุณ”

มู่เทียนเย่ไม่มีทางเลือก นอกจากจะตอบตกลง “โอเค ผมรับปากคุณ จะไม่บอกเรื่องนี้กับคนอื่น”

“เรื่องมันเป็นอย่างนี้.......”

มู่เวยเวยพูดสั้นๆเกี่ยวกับพลังเหนือธรรมชาติของเย่ฉ่าวเฉิน พูดไปไม่กี่นาทีมู่เทียนเย่ก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา เขาอ้าปากค้างเล็กน้อยอยู่นาน

ให้ของลอยบนอากาศ เคลื่อนย้าย ยังบินไปมาบนอากาศ นี่.....นี่เป็นการถ่ายละครเทพนิยายทางทีวีใช่ไหม ?

บนโลกนี้มีความสามารถขนาดนั้นอยู่ด้วย ?

แต่ถ้าหากว่าไม่ใช่ เรื่องในวันนั้นจะอธิบายยังไง ?

แม่เจ้า อยู่มาตั้งนานเพิ่งเคยเจอจริงๆ

“ทั้งหมดก็ประมาณนี้แหล่ะ ส่วนเรื่องเขายังมีพลังอะไรอีกนั้น ฉันก็ไม่ค่อยรู้แล้ว” เมื่อมู่เวยเวยพูดจบ เธอก็เห็นท่าทางที่เฉื่อยชาของพี่ชายเธอ ในใจก็คิดว่า ทำให้คนตกใจอีกคนแล้ว

มู่เทียนเย่ใช้เวลาสักพักก่อนที่สติจะกลับมา และพูดอะไรบางอย่างที่ทำให้มู่เวยเวยหัวเราะออกมาทั้งน้ำตา “แม่เจ้า.....โชคดีที่ยาที่ให้คุณมีความเข้มข้นสูง ไม่อยากนั้นถ้าเกิดว่าเขาย้ายตัวเองขึ้นมาบนเฮลิคอปเตอร์ล่ะก็ แผนการของเขาในวันนี้คงล้มเหลวไม่เป็นท่า”

มู่เวยเวยพยักหน้า “เป็นไปได้มากที่จะเป็นแบบนั้น”

“ผมคิดไม่ถึง....จะมีเรื่องแบบนี้ด้วย.....”

มู่เวยเวยเข้าใจความรู้สึกของเขาดี และรู้ว่าเขาคงยอมรับมันไม่ได้สักพัก จึงลุกขึ้นและพูดว่า “คุณค่อยๆคิด ฉันง่วงไปนอนก่อนนะ ห้องนอนของฉันอยู่ไหน ?”

“ชั้นสองทางซ้ายห้องแรก” มู่เทียนเย่ตอบกลับ

“โอ้ โอเค พี่ชาย คุณก็รีบนอนนะ”

สรุปแล้วคืนนี้ มู่เทียนเย่นอนตาค้างจนถึงเช้า ช่วงครึ่งแรกของเมื่อคืนเขากำลังช็อก ครึ่งหลังเขาก็คิดถึงมาตราการรับมือ ถ้าหากว่าเขาเจอกับเย่ฉ่าวเฉินในอนาคตจะทำอย่างไร เมื่อใกล้รุ่งเช้า เขาก็รู้สึกอิจฉา ถ้าหากว่าเขามีพลังเหนือธรรมชาติ ก็คงจะดีไม่น้อย

ในที่สุดความปราถนาที่แสนยาวนานก็เป็นจริง มู่เวยเวยนอนหลับจนถึงสิบโมงถึงตื่นขึ้นมา

เมื่อคืนมันมืดเกิดไปมองอะไรไม่เห็น ตอนนี้เปิดหน้าต่างออกมา ก็อดไม่ได้ที่จะอุทานว่า สวยมาก

เห็นภูเขาสีเขียวปกคลุมด้วยหมอกอยู่ไกลๆ และยังมีแม่น้ำที่ใสสะอาดอยู่ใกล้ๆ ในแม่น้ำมีเป็ดมากมายกำลังหาอาหาร มีต้นหลิวมากมายอยู่ข้างลำธาร และกิ่งยาวๆของต้นหลิวก็ลากยาวลงน้ำ ก่อให้เกิดลวดลายน้ำเป็นชั้นๆ

เข้ามาใกล้อีกหน่อยเป็นสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ มีดอกที่ไม่รู้จักอยู่มากมาย........

และอาคารหลังเล็กบนชั้นสองที่เธออยู่ ก็สร้างขึ้นกลางสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ เมื่อเปิดประตูไป ก็จะเป็นทางเดินเล็กๆที่ปูด้วยอิฐสีน้ำเงิน เมื่อเดินตามทางเล็กๆมา ก็จะเป็นสวนผักที่ทำเป็นสันเขาเป็นชั้นๆ ซึ่งด้านในก็ปลูกผักต่างๆเช่น มะเขือม่วง แตงกวา ถั่วฝักยาว มะเขือเทศ และผักอื่นๆอีกมากมาย

พี่ คุณทำอะไรอยู่ที่นี่ ? มู่เวยเวยมองไปเห็นพี่ชายที่ม้วนแขนเสื้อทำงานอยู่ในสวนผัก

มู่เทียนเย่เหลือบหันมามองเธอ และยังคงทำงานในมือต่อไป “ผมกำลังแขวนมะเขือเทศ แบบนี้พวกมันก็จะไม่หล่นลงมา เมื่อมะเขือเทศโดนแสงเพียงพอ รสชาติของมันก็จะอร่อยขึ้น”

มู่เวยเวยเหมือนฟังหนังสือของสวรรค์ และมองไปที่มู่เทียนเย่ด้วยความสงสัย “พี่ชาย คุณไปเรียนรู้ทักษะพวกนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ ?”

“ไม่ใช่ว่าชื่มชมฉันมากอยู่ใช่ไหม ? ”มู่เทียนเย่กระพริบตาที่แดงก่ำที่ภายในเต็มไปด้วยการตีเนียน

“แทบจะบูชาอยู่แล้ว พี่ชาย คุณคือผู้นำตระกูลมู่ซื่อนะ เพียงแค่ไม่กี่นาทีก็สามารถทำเงินได้หลายหมื่น แต่ใครจะคิดว่า เขายังปลูกผักเป็นด้วย ?”

มู่เทียนเย่ยิ้มและพูดว่า “ยังจะมีอะไรอีก ? ที่จริงแล้วที่แห่งนี้มีไว้เพื่อผมตอนแก่ เมื่อก่อนผมคิดว่า เมื่อแก่แล้ว ก็ยกบริษัทให้กับลูกหลาน จากนั้นก็มาอยู่ที่นี่ตอนแก่ชรา ปลูกผักตกปลา เลี้ยงหมูสองสามตัว วันเวลาแบบนี้ คิดแล้วก็รู้สึกดีนะ”

เมื่อมู่เวยเวยฟังเขาอธิบาย ในใจก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา เธอคิดมาตลอดว่าพี่ชายของเธอเป็นคนเด็ดขาดและเด็ดเดี่ยว ไม่คิดเลยว่าเขาก็มีด้านที่อบอุ่นแบบนี้

“ถ้าอย่างนั้นใครเป็นคนดูแลที่นี่ล่ะ ? ทำไมฉันไม่เห็นใครเลย ?”

“ชาวนาแก่ๆกับภรรยาของเขาทำนามาหลายชั่วอายุคนแล้ว เมื่อวานผมเลยให้พวกเขากลับบ้าน” หลังจากมู่เทียนเย่มัดเถาวัลย์เสร็จแล้วก็หันไปมันอีกอัน “ดังนั้น สองสามวันนี้พวกเราต้องทำอาหารกินเอง หรือก็คือ คุณจะไม่ปล่อยให้พี่ชายคนนี้หิ้วท้องหรอกใช่ไหม”

มู่เวยเวยตบหน้าอกของเธอและสัญญาว่า “เรื่องทำอาหาร ทั้งหมดฉันรับผิดชอบเอง ฉันเรียนรู้มาจากฉินหม่ามานานแล้ว”

“ถ้างั้นก็ดี ถ้าหากว่าคุณรู้สึกเบื่อ ก็ไปเดินเล่นใกล้ๆนี้ก่อนก็ได้ ทิวทัศน์ไม่เลวเลย”

“ฉันไปเดินเล้นคนเดียวก็รู้สึกเบื่อ ตอนบ่ายคุณไปปกับฉันป่ะ ตอนนี้ให้ฉันช่วยคุณทำงานอะไรหน่อยดีไหม ?”

มู่เทียนเย่ชี้นิ้วไปที่ด้ายกลมๆและพูดว่า “คุณส่งอันนั้นมาให้ผมหน่อย ผมจะตัดคุณตัดให้ผมหน่อย”

“โอเค”

……

ทางด้านนี้สองพี่น้องทำงานที่ฟาร์มอย่างสบายใจ ณ เมือง A เมื่อเย่ฉ่าวเฉินหายจากฤทธิ์ยา ก็รีบระดมคนออกตามหา

เย่ฉ่าวเฉินบุกเข้าไปสำนักงานใหญ่ของบริษัทมู่ซื่อด้วยตัวเอง

“ประธานเย่ คุณได้นัดไว้ไหม ?” ผู้หญิงตัวเล็กที่แผนกต้อนรับถามเขาอย่างไม่กลัวตาย

“ฉันมาหามู่เทียนเย่ ยังต้องอีกเหรอ ?” สีหน้าเย่ฉ่าวเฉินเย็นชา สายตาราวกับจะฆ่าคน

เด็กผู้หญิงตัวสั่น ไม่กล้าหยุดเขาไว้ เขามาเจอมู่เทียนเย่ ถ้าเป็นเรื่องงานแน่นอนว่าต้องนัดล่วงหน้า แต่ถ้าน้องเขยมาเจอพี่ชาย ก็คงไม่จำเป็น

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเห็นท่าทางของเขา ถึงแม้ตัวเองจะอยากจะหยุดก็คงหยุดไว้ไม่ได้

ตลอดทางเมื่อลิฟต์ขึ้นมาถึงชั้นบนสุด เลขาทั้งสามคนก็ยินอยู่หน้าประตู หนึ่งในนั้นพูดอย่างไม่เกรงใจว่า “ประธานเย่ ประธานมู่ของพวกเราไม่อยู่ คุณมีธุระด่วนอะไรรึเปล่า ?”

แน่นอนเย่ฉ่าวเฉินรู้ว่ามู่เทียนเย่ไม่อยู่ที่บริษัท เขาไม่ได้มาหามู่เทียนเย่ แต่เป็นผู้จัดการที่เพิ่งว่าจ้างมาใหม่ของมู่เทียนเย่ เขาไม่เชื่อว่า ผู้จัดการที่ดูแลบริษัทมู่ซื่อแห่งนี้จะไม่ติดต่อกับมู่เทียนเย่

“ฉันไม่ได้มาหามู่เทียนเย่ ฉันมาหาเขา”

เลขาทั้งสามคนค่อยๆหันกลับไป หนุ่มหล่อชาวต่างชาติคนใหม่ที่ยืนอยู่ด้านหลังพวกเขา เย่ฉ่าวเฉินเดินเข้าไปหา แล้วชักปืนไปที่หน้าอกของหนุ่มหล่อคนนั้นและพูดว่า “มู่เทียนเย่ล่ะ ?”

หนุ่มหล่อยกมือขึ้นอย่างไม่มีทางเลือก “มู่ ? ผมจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาอยู่ที่ไหน ?”

“คุณแน่ใจนะว่าไม่รู้ คุณไม่กลัวว่ากระสุนของฉันจะยิงเข้าไปที่กลางหัวใจคุณ ?”

“ผมกลัว ทำไมถึงจะไม่กลัว ? แต่ถึงคุณยิงผมตาย ผมก็ไม่รู้ ”หนุ่มหล่อพูดอย่างไร้เดียงสา

เย่ฉ่าวเฉินกัดฟัน “ไม่คิดเลยว่าคุณจะจงรักภักดีกับมู่เทียนเย่ขนาดนี้”

“ประธานเย่ ผมแค่มาหาเงินแทนเขาก็เท่านั้น”ไม่มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดแบบที่คุณคิดหรอก

เย่ฉ่าวเฉินจ้องมองดวงตาของเขา ไม่แสดงท่าทีการโกหกออกมาเลย จึงชกไปที่หน้าอกของเขาเพื่อระบายความโกรธจากนั้นก็จากไป

เขาใช้เวลาทั้งวัน ตามหาไปทั่วทุกที่ที่คิดว่ามู่เทียนเย่จะอยู่ แต่ก็ไม่พออะไรเลย สถานการณ์แบบนี้มันเหมือนกับตอนหนานกงเฮ่าพาเธอไปในตอนนั้น ไม่พบเบาะแสอะไรแม้แต่นิดเดียว

แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ มู่เวยเวยสมัครใจไปกับมู่เทียนเย่ อีกทั้งมู่เทียนเย่ยังเก่งกาจกว่าหนานกงเฮ่า ด้วยความสามารถของเขา การพามู่เวยเวยออกนอกประเทศนั้นเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก

“คุณชาย เป็นไปได้ไหมที่มู่เทียนเย่อาจจะไม่ได้อยู่เมือง A แล้ว?” จากเห่อพูดอย่างระมัดระวัง “เขารู้อยู่แล้วว่าพวกเราต้องค้นหาอย่างกว้างขวาง ทำไมเขาถึงจะต้องอยู่ในที่ที่อันตรายแบบนี้ด้วย ?”

“คุณพูดถูก เฮลิคอปเตอร์ของมู่เทียนเย่บินไปได้ไม่ไกลนัก บางทีอาจจะลงจอดที่สองสามเมืองรอบๆเมือง A นี้ก็ได้” ดวงตาของเย่ฉ่าวเฉินเป็นประกาย “ให้คนของเราสังเกตเมืองพวกนี้หน่อย แต่ว่า ไม่ต้องไปเมือง S”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ