วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ นิยาย บท 169

รุ่นพี่เป็นคนฉลาด แปบเดียวก็รู้ได้ในทันทีว่าแฟนของตัวเองไม่ปกติ ปกติเธอไม่ได้ใจดีกับเขาอย่างนี้ หรือว่า.....

สีหน้าของเขาค่อยๆเย็นชาขึ้น

เกิดความเงียบขึ้นมากะทันหัน แข้งเย่ฉ่าวเฉินถูกเตะเบาๆ เขาขมวดคิ้วมองผู้หญิงที่นั่งตรงข้ามด้วยสีหน้านิ่งสงบ ตอนนี้เธอกำลังก้มหน้ากินข้าว ราวกับเมื่อกี้เป็นอุบัติเหตุ

เย่ฉ่าวเฉินถอยเท้าออกมาเล็กน้อย ตั้งใจดูแลมู่เวยเวยกินข้าวต่อ แต่จากนั้นแค่แปบเดียวก็มีนิ้วเท้ามาเขี่ยหน้าแข้งของเขา

หึหึ....

เย่ฉ่าวเฉินหยุดการกระทำในมือทันที เขาเงยหน้าขึ้นมองเธออีกครั้ง ครั้งนี้เขาสบตากับสายตาเย้ายวนของเธอ หลังจากสบตากันอยู่หลายวิ เย่ฉ่าวเฉินก็เป็นฝ่ายหลบสายตาไป

ผู้หญิงคนนี้กล้าทำลายตัวเองในที่แบบนี้ ช่างกล้ามากจริงๆ

“ประธานเย่ปกติคุณชอบออกกำลังกายอะไรคะ” ผู้หญิงคนนั้นเอานิ้วเขี่ยขาเขาและถามไปด้วย

เย่ฉ่าวเฉินรู้จุดประสงค์ของเธอดี แต่ก็ไม่อยากหักหน้าเธอต่อหน้ามู่เวยเวย จึงตอบกลับไปอย่างเย็นชา “ไม่ชอบอะไรเลย”

“ไม่ชอบอะไรเลยยังดูแลรูปร่างได้ดีขนาดนี้ มีเคล็ดลับอะไรมั้ยคะ”

“ไม่มี มันเป็นเอง”

ยัยโง่ รู้ๆอยู่ว่าเย่ฉ่าวเฉินไม่อยากคุยกับเธอต่อไป แต่หญิงงามคนนี้ก็ยังทำเป็นไม่เห็นความเย็นชาของเขา แล้วพูดอย่างใจดีต่อ “ฉันอิจฉาประธานเย่จริงๆกินยังไงก็ไม่อ้วน ประธานเย่คะ ฉันชอบชุดผู้หญิงของบริษัทคุณมากเลย คุณว่าฉันเหมาะกับตัวไหนคะ ช่วยแนะนำให้ฉันหน่อยได้มั้ย”

“เสี่ยวโยว ประธานเย่ยุ่งมากอย่าไปกวนเขา” รุ่นพี่ห้ามเธออย่างทนไม่ไหว เพราะเห็นสีหน้าเย็นชาของเย่ฉ่าวเฉินเริ่มแย่ขึ้นเรื่อยๆ

แฟนของเขาเบะปากตอบ “ตอนนี้กินข้าวไม่ใช่หรอ ไม่ได้กวนเวลาทำงานของประธานเย่สักหน่อย”

เขาแสดงความรังเกียจต่อการกระทำใต้โต๊ะของเธออย่างชัดเจน เขาไม่ได้ตอบเธอ เมื่อเห็นมู่เวยเวยกินข้าวมาสักพักแล้ว ก็ถามเสียงอ่อน “อิ่มรึยัง ผมเห็นข้างหน้ามีร้านโจ๊ก ไปกินอีกชามละกัน”

“ไม่อยากกินแล้ว อิ่มแล้ว” มู่เวยเวยใช้ทิชชู่ซับปาก

สายตาของแฟนรุ่นพี่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง เธอพูดแฝงไปด้วยอาการหึงหวง “น้องสะใภ้เวยเวยทะเลาะกับประธานเย่หรอ นี่น้องสะใภ้ ผู้ชายทำงานข้างนอกลำบากมากนะ เธอต้องเหรงใจหน่อย”

“หลินเสี่ยวโยว วันนี้คุณพูดมากไปแล้วนะ” รุ่นพี่ตำหนิเธอเสียงต่ำ

หลินเสี่ยวโยวเห็นมู่เวยเวยยังคงนิ่งเฉยราวกับไม่ได้ฟังที่เธอพูด ความโกรธก็เริ่มปะทุขึ้นมามากขึ้น “น้องสะใภ้ทำไมไม่พูด หรือจะบอกว่าที่พี่พูดไม่ถูกหรอ”

มู่เวยเวยถอนหายใจในใจ ทำไมแค่เธอไม่อยากพูดก็ไม่ได้ ขณะที่กำลังจะเปิดปากอธิบาย เย่ฉ่าวเฉินก็ตอบเสียงเย็น “ขอแค่เวยเวยอยู่กับผม ไม่ว่าเธอจะทำกับผมยังไงผมก็ไม่ว่า แล้วก็คุณเลิกเอาขามาเขี่ยผมสักที ผมไม่สนใจคุณเลยสักนิด” จากนั้นก็พูดกับรุ่นพี่ด้วยสีหน้าสับสน “ผู้หญิงแบบนี้คุณไม่คิดจะเลิกแถมยังคิดจะแต่งงานด้วยอีกหรอ ถ้าเธอหาคนที่ดีกว่าคุณได้ เธอก็จะทิ้งคุณไปทันที”

“ประธานเย่....” รุ่นพี่หน้าแดง

หลินเสี่ยวโยวหน้าซีด กัดริมฝีปากล่างไม่กล้าพูด

เย่ฉ่าวเฉินหยิบนามบัตรจากกระเป๋าสตางค์ให้เขา พร้อมบอก “ครั้งที่แล้วคุณช่วยพวกเรา ถ้าต้องการอะไรให้รีบติดต่อผมมาได้เลย”

รุ่นพี่ยื่นมือสองข้างไปรับนามบัตร และพูด “ครับๆ รบกวนแล้ว”

เย่ฉ่าวเฉินลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ โน้มตัวลงไปพูดกับเวยเวย “พวกเราไปกันเถอะ ออกมานานแล้ว อยากกลับไปพักผ่อนแล้วล่ะสิ”

มู่เวยเวยหันไปยิ้มให้รุ่นพี่บางๆ และลุกออกจากร้านอาหาร

เมื่อทั้งคู่เดินไปไกลแล้ว รุ่นพี่ก็พูดด้วยสีหน้าเย็นชา “ตั้งแต่นี้ต่อไปพวกเราเลิกกันเถอะ”

หลินเสี่ยวโยวกำลังจะรั้ง แต่รุ่นพี่ก็ลุกเดินออกไปทันที ไม่ให้โอกาสนั้นกับเธอ

ความน่าเคารพของเขา ถูกผู้หญิงคนนี้ทำลายต่อหน้ามู่เวยเวย เขาหน้ามืดตามัวไปชอบเธอได้ยังไง

……

วันถัดไป เย่ฮวางอินเตอร์เนชั่นแนลกรุ๊ป

เย่ฉ่าวเฉินอ่านเอกสารไปพลางเป็นห่วงที่บ้านไปด้วย สุดท้ายเขาก็เลือกโทรไปกลับไป

“อาหวัง หมอเหยียนมารึยัง”

“คุณชาย หมอเหยียนมาตั้งแต่สิบโมงแล้วครับ ตอนนี้อยู่ในห้องคุณหนู”

เย่ฉ่าวเฉินโล่งอก “อืม งั้นก็ดี มีอะไรให้โทรมาหาผมได้เลย”

“ครับคุณชาย”

เย่ฉ่าวเฉินวางสาย พอดีกับที่เลขาหลิวเดินเข้ามาบอก “ประธานเย่ มู่จางรุ่ยมาพบคุณค่ะ”

มู่จ่างรุ่ยหรอ เขามาทำไม อ๋อ ใช่สิ เย่ฉ่าวเฉินนึกออกแล้ว คราวก่อนเพื่อที่จะตามหามู่เทียนเย่ เขาเลยยอมตกลงที่จะทวงบริษัทมู่ซื่อคืนให้ เขาน่าจะมาเพราะเรื่องนี้

แต่นี่มันชุบมือเปิบชัดๆ ถึงมู่เทียนเย่ตายแล้วก็ยังมีมู่เวยเวย เมื่อก่อนสมบัติของตระกูลมู่เขาขี้เกียจเข้าไปยุ่ง แต่ตอนนี้ของที่ควรจะเป็นของมู่เวยเวย เขาไม่ยอมยกให้ใครแน่

“ประธานเย่ ให้เขาเข้ามามั้ยคะ” เลขาหลิวเห็นเขาพูดจึงถามออกมา

เย่ฉ่าวเฉินกระตุกยิ้ม “ให้เขาเข้ามา” เขาอยากจะรู้นักว่าจิ้งจอกเฒ่านี่จะทำอะไรได้อีก

ประตูถูกเคาะอย่างรวดเร็ว เย่ฉ่าวเฉินอ่านเอกสารในมือต่อโดยไม่เงยหน้าตอบ “เข้ามา”

มู่จางรุ่ยเข้ามาด้วยใบหน้าสดใส หลายวันมานี้เขาได้ยินมาว่ามู่เทียนเย่หายตัวไป เขาคิดว่าต้องเกี่ยวข้องกับเย่ฉ่าวเฉินแน่ๆ จึงรีบมาทวงสัญญา เขาอยู่บ้านเล็กๆนั่นหนึ่งวันนานเหมือนหนึ่งปี บ้านที่มู่เทียนเย่มอบให้ ถูกมู่อี้เหยาผลาญทิ้งในเวลาไม่กี่วัน ตอนนี้แค่เขาได้กินข้าวสามมื้อก็ขอบคุณฟ้าดินแล้ว

“ประธานเย่ คุณยุ่งอยู่หรอ” มู่จางรุ่ยก้มหน้าโค้งคำนับ พลางทักทายอย่างกระตือรือร้น

เย่ฉ่าวเฉินถามเขาต่อ โดยไม่เงยหน้ามอง “มาหาผมมีอะไร”

มู่จางรุ่ยเดินตรงมาที่โต๊ะทำงานขนาดใหญ่ของเขา และเหยียดมือวาง พร้อมพูดยิ้มๆ “ประธานเย่ยังจำสัญญารอบที่แล้วที่เราคุยกันได้มั้ย ถ้าคุณหามู่เทียนเย่เจอแล้วจะช่วยผมเอาบริษัทมู่ซื่อคืน”

เย่ฉ่าวเฉินวางเอหสารในมือลง เงยหน้าขึ้นมองเขาพร้อมรอยยิ้ม “ใช่ ผมจำได้”

มู่จางรุ่ยตื่นเต้นตาเป็นประกาย “งั้น...งั้นตอนนี้ถึงเวลาแล้ว”

เย่ฉ่าวเฉินเอนหลังกอดอกพิงพยักเก้าอี้ “ถึงเวลาอะไร”

มู่จางรุ่ยเห็นท่าทางของเขาแล้วใจกระตุกทันที จีงรีบพูด “โอกาสที่จะทวงบริษัทมู่ซื่อคืนน่ะสิ ประธานเย่ผู้ชายพูดแล้วไม่คืนคำ คุณคงไม่คิดจะกลับคำหรอกใช่มั้ย”

“อ๋อ เรื่องนี้นี่เอง มู่จางรุ่ยคุณอย่าลืมว่าตอนนั้นก่อนเราจะสัญญากัน เราคุยกันว่ายังไง” เย่ฉ่าวเฉินช่วยเขาทวนความจำ “ตอนนั้นพวกเราคุยกันว่า ถ้าหามู่เทียนเย่เจอผมจะช่วยคุณ คุณเลยให้เบาะแสเป็นบ้านเก่าของตระกูลมู่หลายแห่ง ถ้าผมหามู่เทียนเย่เจอผมคงช่วยคุณไปแล้ว แต่สุดท้ายผมไปมาทุกที่ก็ไม่เจอมู่เทียนเย่ ตอนนี้คุณจะมาทวงสัญญาหรอ มู่จางรุ่ยคุณคิดถึงเงินจนเป็นบ้าไปแล้วรึไง”

หน้าของมู่จางรุ่ยแดงจัด เรื่องเป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่ตอนนี้มีแต่เย่ฉ่าวเฉินที่ช่วยเขาได้ เพราะพวกเขามีศัตรูคนเดียวกัน

“ฮ่าๆ เหมือนจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ” มู่จางรุ่ยหัวเราะออกมาเล็กน้อย “แต่ประธานเย่ ไหนๆตอนนี้มู่เทียนเย่ก็หายตัวไปแล้ว ตระกูลมู่เหลือแค่ผมที่สามารถกุมบังเหียนได้ ถ้าคุณช่วยผมเอาบริษัทมู่ซื่อกลับมา ผมจะแบ่งหุ้นให้คุณ”

“คุณให้ผมได้เท่าไหร่” เย่ฉ่าวเฉินแอบยิ้มในใจ ตาเฒ่านี่ดูแล้วสิ้นไร้ไม้ตอกจริงๆ ถึงกับต้องพูดแบบนี้ออกมา

มู่จางรุ่ยเห็นว่าได้ผล จึงตัดใจตอบไป “สามสิบเปอร์เซ็น” เพื่อที่จะได้ผลตอบแทน เขาก็ต้องยอมแลก ยิ่งตอนนี้เขาเป็นเสือไร้เขี้ยวเล็บยิ่งต้องยอม

"ฮ่าๆๆๆ....." เย่ฉ่าวเฉินหัวเราะเสียงดัง "มู่เทียนเย่คุณนี่ใจถึงจริงๆ"

ถ้าคิดแบบนักธุรกิจ ถือหุ้นในบริษัทมู่ซื่อสามสิบเปอร์เซ็น ก็เท่ากับเขาว่าเป็นผู้ถือหุ้นอันดับที่สองในบริษัท

"ประธานเย่พอใจในเงื่อนไขมั้ย" มู่จางรุ่ยต้องยอมกรีดเนื้ออย่างเจ็บปวด แต่เขาไม่มีทางเลือก

เย่ฉ่าวเฉินหยุดหัวเราะ และถามอย่างไม่เข้าใจ "ในเมื่อคุณบอกว่าคุณเป็นผู้กุมอำนาจหนึ่งเดียวในตระกูลมู่ ทำไมคุณไม่ไปรับช่วงต่อที่บริษัทเองโดยตรงเลย จะมาขอความช่วยเหลือผมทำไม"

พูดถึงตรงนี้ มู่จางรุ่ยก็กัดฟันด้วยความโกรธ

เขานั่งเก้าอี้ข้างๆ พลางพูดด้วยความโกรธ "ผมไปบริษัทมาแล้ว แต่คนพวกนั้นยอมรับแค่มู่เทียนเย่ บอกว่าถ้าไม่มีลายเซ็นของมู่เทียนเย่ก็จะไม่มอบบริษัทให้ผม ผมดูสีหน้าจริงจังของคนพวกนั้นแล้ว ถ้ามู่เทียนเย่ไปตายที่ไหน คนพวกนั้นคงจะแยกตระกูลมู่ของเรา....."

“หุบปาก” เย่ฉ่าวเฉินพูดขัดจังหวะ ถึงมู่เทียนเย่จะเป็นศัตรูของเขา แต่ก็เป็นคู่ต่อสู้ที่น่านีบถือ แถมมู่เทียนเย่ยังเป็นพี่ชายของมู่เวยเวย ดังนั้นเขาจึงไม่อนุญาตให้คนอื่นมาว่าเขาลับหลัง

มู่จางรุ่ยไม่รู้ว่าตัวเองพูดผิดตรงไหนจึงรีบลุกจากเก้าอี้ และพูดอย่างระมัดระวัง “ประธานเย่ คุณไม่ใช่.....”

เย่ฉ่าวเฉินแสยะยิ้ม และมองเขาอย่างไม่พอใจ “มู่จางรุ่ย คุณคิดว่าผมกับมู่เทียนเย่มีความแค้นส่วนตัวกันแล้วจะช่วยคุณแย่งเอาบริษัทมางั้นหรอ คุณดูถูกผมเกินไปแล้ว คนที่ผมเกลียดที่สุดก็คือคนที่ทะเยอทะยานเห็นแต่ผลประโยชน์โดยไร้ศีลธรรมอย่างคุณ ถ้าคุณอยากได้ธุรกิจของตระกูลมู่ก็ไปแย่งเอาเอง ผมจะไม่ช่วยคุณ ไสหัวไปซะ ผมไม่ต้อนรับคุณ”

หลังจากมู่จางรุ่ยอึ้งไปหลายวิ เขาก็ยิ้มอย่างเหยียดหยามออกมา “แล้วคุณอย่ามาเสียใจทีหลังแล้วกันเย่ฉ่าวเฉิน วันนี้คุณปฏิเสธผม แต่ยังมีคนอีกเยอะที่อยากทำงานกับผม ผมไม่เชื่อหรอกว่าผลประโยชน์มากมายขนาดนี้อยู่ตรงหน้า แล้วจะไม่มีคนสนใจ”

“งั้นก็ต้องดูว่าคนที่คุณไปหามีความสามารถมากพอมั้ย”

“ดี งั้นก็มาดูกันแล้วกัน” มู่จางรุ่ยทิ้งคำพูดไว้แค่นั้น แล้วหันเดินออกไปด้วยความโกรธเคือง

เย่ฉ่าวเฉินจ้องประตูที่ปิดสนิท และคิดในใจว่าถ้าอารมณ์ของมู่เวยเวยดีขึ้น เขาสามารถแย่งทรัพย์สินของตระกูลมูลมาให้เธอได้ทั้งหมดแน่นอน แต่ตอนนี้แม้แต่ลูกเธอก็ไม่สนใจ เธอจะสนใจเรื่องเงินทองได้ยังไง

ปล่อยให้มู่จางรุ่ยวิ่งเต้นไปเถอะ ยังไงถ้าเวยเวยดีขึ้นแล้ว ถ้าอยากได้เขาค่อยไปแย่งมาก็ได้

คฤหาสน์ตระกูลเย่

หมอเหยียนตรวจอาการอย่างไม่ราบรื่น ไม่ว่าเธอจะถามคำถามอะไรกับมู่เวยเวย ก็เจอแต่ท่าทีเฉยชาหรือไม่ก็ถามยุ่งเหยิง มู่เวยเวยเป็นคนไข้ทางจิตที่อาการหนักที่สุด และไม่ให้ความร่วมมือที่สุดของหมอเหยียน เพราะเธอปฏิเสธการรักษา ในใจของเธอคิดถึงแต่ความตาย ไม่ได้คิดถึงการมีชีวิตอยู่ต่อ

ผู้ป่วยที่เธอรักษาทุกคนต่างต้องการชีวิตใหม่ แต่มู่เวยเวยกลับรอคอยความตาย

ถึงหมอเหยียนจะเก่งขนาดไหน ก็ไม่มีทางรักษาคนที่ใจตายได้

“หมอเหยียน คุณหนูของเราเป็นยังไงบ้างครับ” น้ำเสียงของพ่อบ้านหวังเต็มไปด้วยความกังวล

หมอเหยียนเงยหน้ามองระเบียงตรงชั้นสอง และพูดอย่างเสียใจ “พ่อบ้านหวัง บอกคุณเย่ด้วยว่าฉันไม่สามารถรักษาได้ ให้เขาหาคนอื่นมาเถอะ”

“คือ หมอเหยียน....” พ่อบ้านหวังกังวลมาก เขาไม่คิดว่าอาการของมู่เวยเวยจะหนักขนาดนี้ “หมอเหยียน คุณไม่มีวิธีเลยหรอ”

หมอเหยียนส่ายหน้า “ขอโทษค่ะ ความสามารถของฉันอาจจะยังไม่มากพอ ฉันพยายามรักษาคุณนายเย่เต็มที่แล้ว ฉันยังมีธุระต่อ ไปก่อนนะคะ”

พ่อบ้านหวังมองเธอไปจนสุดสายตา และถอนหายใจเฮือก ทำอย่างนี้ได้ยังไง

ตอนเย็น หลังจากเย่ฉ่าวเฉินกลับมาบ้านและได้ฟังคำบอกเล่าของพ่อบ้านหวัง เขาก็เงียบไปนานมาก

หรือเขาต้องปล่อยมือแล้วจริงๆ ในสมองของเขามีเสียงสะท้อนมาว่า ให้ปล่อยเธอไป อย่างน้อยก็จะทำให้เธอได้มีชีวิตอยู่ และลูกก็จะยังมีชีวิตอยู่

ตกดึกสาวใช้คนใหม่นอนหลับอยู่บ้านโซฟา แต่มู่เวยเวยยังคงลืมตาอยู่ นอนยังไงก็นอนไม่หลับ

เธอจำไม่ได้แล้วว่านอนไม่หลับมากี่คืน เธอก็อยากเป็นอย่างสาวใช้ที่หลับทันทีที่หัวถึงหมอน ไม่ต้องคิดอะไร แต่เธอทำไม่ได้ แค่เธอหลับตาก็เห็นภาพของพ่อกับแม่ที่จากไป ภาพที่พี่ชายตกหน้าผา เรื่องพวกนี้เหมือนหนังที่ฉายซ้ำๆอยู่ในหัวของเธอ....

เธอพยายามที่จะลบมันออกไป แต่ก็ทำไม่ได้ ดังนั้นจึงได้แต่ลืมตา เขาว่ากันว่าคนท้องมักจะนอนหลับบ่อยไม่ใช่หรอ ทำไมเธอถึงหลับได้ยากขนาดนี้

ถ้าเป็นไปได้ เธอก็อยากกินยานอนหลับ

นอกหน้าต่าง เสียงลมพัดกระทบอย่างรุนแรง

มู่เวยเวยพลิกตัว และกำลังจะผลอยหลับไป แต่ทันใดนั้นที่ระเบียงก็ปรากฏเงาเงาหนึ่ง

มู่เวยเวยจ้องเงานั้นเงียบๆโดยไม่ตกใจแต่อย่างใด อาจเป็นเพราะเธอใจแข็งเพราะโดนเสี่ยวจื่อฝึกมาแล้ว และเธอก็รู้สึกด้วยว่าคนคนนั้นอาจเป็นเย่ฉ่าวเฉิน เพราะตอนที่เขาแกล้งเป็นเสี่ยวจื่อ ก็ชอบปรากฏตัวออกมากะทันหันแบบนี้

ระหว่างที่เธอคิดอยู่ คนชุดดำคนนั้นก็มองรอบๆ ก่อนจะค่อยๆย่องเข้าห้องมา

ไม่ นี่ไม่ใช่เย่ฉ่าวเฉิน ถ้าเป็นเขาเข้ามา เขาจะไม่ระวังขนาดนี้

เพราะไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไร มู่เวยเวยจึงแกล้งหลับตาลง

ชายชุดดำเดินไปตรงหน้าสาวใช้ เอาผ้าเช็ดหน้าปิดจมูกเธอ จากนั้นเสียงกรนของเธอก็ดังขึ้น ต่อจากนั้นมู่เวยเวยก็เห็นชายชุดดำคนนั้นเดินตรงมาที่เธอ

“คุณเป็นใคร คิดจะไปอะไร” มู่เวยเวยลืมตาจ้องเขาอย่างเย็นชา

ชายชุดดำตกใจกับความเย็นชาของเธออย่างเห็นได้ชัด หลังจากนั้นหลายวิ เขาก็ถามเธอด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “เธอไม่กลัวหรอ” ถ้าเป็นคนปกติคงกรี๊ดร้องไปแล้ว เขากำลังจะเตรียมปิดปากเธอ เพื่อขอเจรจาอยู่เลย

มู่เวยเวยลุกขึ้นมานั่ง ดึงผ้าห่มมาปิดจนถึงคอ และพูดเ้วยความสงบมาก “กลัวอะไร อย่างมากก็แค่ตาย ช่วยนี้ฉันกำลังคิดอยู่พอดีว่าจะตายยังไง ถ้าคุณสามารถช่วยฉันได้ ฉันก็จะยินดีมาก”

ชายชุดดำมองเธออย่างลำลึก และพูดเสียงต่ำ “ผมไม่ได้มาฆ่าคุณ ผมพาพาตัวคุณไป”

มู่เวยเวยขมวดคิ้ว และอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “พาตัวฉันไปหรอ ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณเป็นใคร ทำไมฉันต้องไปกับคุณด้วย”

“ผมเป็นใครไม่สำคัญ ผมแค่ทำตามคำสั่งเจ้านาย”

“เจ้านายของคุณคือใคร”

ชายชุดดำหยุดไปหลายวิและพูด “เจ้านายของผมคือมู่เทียนเย่”

มู่เวยเวยตกใจ ก่อนที่สายตาจะเปล่งประกายขึ้นมา “พี่ชายหรอ”

“ครับ พี่ชายของคุณ ถึงเขาจะเกิดอุบัติเหตุ แต่เขาก็สั่งผมไว้ ผมต้องทำให้สำเร็จ” ชายชุดดำพูดอย่างเคร่งขรึม

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ