วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ นิยาย บท 171

"ฉันไม่รู้ว่าเธออยู่ที่ไหน"หนานกงเฮ่าพูดออกมาด้วยเสียงที่ขาดออกซิเจน

เย่ฉ่าวเฉินคิดว่าเขาเถียงข้างๆคูๆ อีกข้างก็เหยียบอยู่ที่คอของหนานกงเฮ่า เหมือนเสือตัวหนึ่งที่โมโหร้องคำรามออกมา "หนานกงเฮ่า ไม่ต้องมาเล่นเกมส์ประเภทนี้กับฉัน นายต้องรู้ ฉันฆ่าพวกนายก็เหมือนกับบดละเอียดมดตัวหนึ่ง"

ทันใดนั้นหนานกงเฮ่านึกขึ้นได้ถึงเรื่องการลักพาตัวเย่ฉ่าวเหยียน ร่างกายไม่เพียงแค่สั่นเทาเย็นยะเยือก จ้องเขม็งที่แววตาคู่สีม่วงเป็นสีดำของเย่ฉ่าวเฉิน "ฉันไม่รู้จริงๆว่าเธออยู่ที่ไหน"

"หนานกงเฮ่า ตอนนี้ฉันไม่มีความอดทน ไม่ต้องมาท้าทายกับเส้นตายของฉัน " เย่ฉ่าวเฉินโกรธจนถึงขั้นอยากจะฉีกเขา แค่คิดถึงมู่เวยเวยและยังมีลูกในท้องของเธอที่จะได้รับอันตรายอีก เย่ฉ่าวเฉินใจจะแตกสลายแล้ว

หนานกงเฮ่ายกมือทั้งสองข้างขึ้น พูดอย่างตั้งใจจริงจังว่า"เย่ฉ่าวเฉิน นายใจเย็นๆ ที่ฉันพูดเป็นเรื่องจริง ฉันไม่รู้จริงๆว่าเธออยู่ที่ไหน?"

เย่ฉ่าวเฉินมือสั่นเกร็ง หนานกงเฮ่ารู้สึกหายใจลำบาก ใบหน้าก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดง

"หนานกงเฮ่า ฉันดูว่านายไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว ดี ฉันก็จะสนับสนุนนายเอง!"

ลูกน้องของหนานกงเฮ่าหวาดกลัว ร้องตะโกนออกมาเสียงดัง"เย่ฉ่าวเฉิน วางปืนลง" แต่ทว่าไม่มีสักคนกล้ายิงปืนออกมาหยุดเขา

"อย่าๆ......ฉันพูด......ฉันพูด....." หนานกงเฮ่าพูดติดอ่างขอร้องเขา

เย่ฉ่าวเฉินวางมือลงแค่บางส่วน "พูด!"

หนานกงเฮ่าหอบ โบกมือลงแล้วพูดว่า "พวกนายวางปืนลงให้หมด....เย่ฉ่าวเฉิน ฉันก็เพิ่งจะมาถึงที่นี่ เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นก็ยังไม่แน่ชัด นายก็มาแล้ว....อย่าตีๆ ฉันพูดคือความจริงทั้งหมด นายดู คนของฉันสี่คนก็ตายหมด....."

เย่ฉ่าวเฉินมองตามมือของเขา แสงสว่างของพระจันทร์ลดลง ศพของทั้งสีคนอยู่บนพื้นที่หยาบกระด้าง ไม่ไกลจากนี้ยังมีรถอีกคัน นั่นคือรถของเขาเอง

"เย่ฉ่าวเฉิน ฉันพูดคือเรื่องจริง นายปล่อยฉันก่อน"

เย่ฉ่าวเฉินจ้องมองเขานิ่ง คิดว่าเขาคงไม่มีกลอุบายอีก เขาเอาขาออกจากหน้าอกของหนานกงเฮ่า

หนานกงเฮ่าลุกขึ้นจากพื้นไอแห้งอยู่หลายครั้ง ฝุ่นที่อยู่ติดร่างกายปัดแล้วปัดอีก พูดว่า"ฉันยอมรับ ฉันเป็นคนเอามู่เวยเวยออกมาจากคฤหาสน์ตระกูลเย่เอง เดิมทีฉันอยากพาเธอไปจากเมืองAด้วยกัน นึกไม่ถึงว่าพอมาถึงที่นี่ เตรียมเครื่องบินไว้และจะบินก่อนเวลาแล้ว คนของฉันก็ตาย นี่ก็หมายความว่า มู่เวยเวยถูกใครอีกคนพาตัวไป"

"หนานกงเฮ่า เครื่องบินนายเป็นคนเตรียมจะบินก่อนเวลาได้อย่างไร!" เย่ฉ่าวเฉินกำหมัดแน่น พยายามที่จะอดทนไม่ตื่นตระหนกวู่วามเพื่อไม่ให้ฆ่าเขา

"ฉัน....ฉันก็ไม่รู้ บางทีคนของฉันก็ถูกพวกเขาเปลี่ยนนานแล้ว...."หนานกงเฮ่าเดาไปเดามารู้สึกว่ามีความเป็นไปได้

"ตอนนี้เกลียดจนอยากจะฆ่านาย!"

"นายอย่าเพิ่งตื่นตระหนก " หนานกงเฮ่าพยายามปลอบเขา"ฉันรู้ว่าตอนนี้นายเกลียดจนฆ่าฉันได้ แต่ตอนนี้ที่สำคัญที่สุดคือตามหามู่เวยเวย เพียงแค่ตามหาเธอพบ อยากฆ่าอยากแทงก็แล้วแต่นายเลย"

หนานกงเฮ่าก็คาดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น เขารักมู่เวยเวยจริงๆ เพียงแค่อยากจะครอบครองเธอคนเดียว วันนี้ถูกคนลักพาตัวไป ในใจก็ร้อนรนแล้ว

เขาจัดเตรียมสำหรับเรื่องในคืนนี้ สูญเสียกำลังกายกำลังสมองไปจำนวนมาก แม้กระทั่งไม่เสียดายที่จะขโมยเครื่องบินส่วนตัวของพ่อมา และในตอนนี้มู่เวยเวยหายสาบสูญ เครื่องบินก็ไม่เจอแล้ว นี่คือการฉวยโอกาสที่ไม่เหมาะทำได้ไม่ดีโดยภาพรวมก็คือแพ้

"หนานกงเฮ่า ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับภรรยาฉัน ฉันจะฝังศพนายแน่นอน" เย่ฉ่าวเฉินโกรธตัวสั่น ดวงตาคู่สีม่วงเต็มไปด้วยความต้องการฆ่า

...........

ไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้

มู่เวยเวยนั่งรถออกมาจากคฤหาสน์ตระกูลมู่ รถขับไปที่สนามบินที่ใช้สำหรับจอดเครื่องบินลำเล็ก ที่นั่นเป็นสถานที่ที่ใช้เก็บเครื่องบินส่วนตัวโดยเฉพาะ

หันศีรษะกลับไปคฤหาสน์ยิ่งห่างไกลสายตาออกมาจากความมืดนั้น มู่เวยเวยลูบท้องที่นูนขึ้นมาเบาๆ รอยยิ้มที่ถูกกักเก็บนานวันได้ยิ้มออกมา

ลูก ในที่สุดพวกเราก็ได้หนีออกจากขุมนรกแล้ว ลูกวางใจ แม่จะเลี้ยงดูให้ลูกอยู่รอดปลอยภัยไปจนโต

สถานที่จอดเครื่องบินมีคนยืนรออยุ่สามคน หลังจากที่มองเห็นมู่เวยเวยก็ได้เชิญเธอขึ้นเครื่องบิน

"พวกคุณจะไปส่งฉันที่ไหน?" มู่เวยเวยก้าวขึ้นบันไดไม่กี่ขั้น อย่างแปลกใจ

"คุณมู่ ถึงแล้วคุณก็รู้เอง" คนขับรถที่ส่งเธอมาพูดอย่างเย็นชา "คุณมู่ เชิญขึ้นเครื่องบินเถอะ"

มู่เวยเวยเดินขึ้นเครื่องบินอย่างระแวงและสงสัย ห้องในเครื่องบินเล็กกว่าห้องเครื่องบินทั่วไปมาก แต่ออกแบบได้เนียนและประณีต โทนสีเหลืองทำให้คนรู้สึกถึงความอบอุ่นชนิดหนึ่ง

หันศีรษะกลับไปมองสี่คนที่ยืนอยู่ด้านล่าง เหมือนว่าพวกเขากำลังรอใครกัน มองไปตรงปากทางเข้าไม่หยุด

"ยังมีคนมาอีกเหรอ?" มู่เวยเวยอดไม่ได้ที่จะถาม

"ใช่ อีกสักครู่"

มู่เวยเวยขมวดคิ้ว อีกด้านก็เดินเข้าไปในห้องโดยสารเครื่องบิน อีกด้านก็คิด ยังมีคนมาอีก? หรือว่าพยาบาลเสี่ยวจะมา?คนที่อยู่ข้างกายพี่ชาย เธอรู้จักแค่พยาบาลเสี่ยว

ในเวลานี้ แอร์โฮสเตสคนหนึ่งเดินมา โค้งเอวลงมาถามว่า"คุณมู่ คุณต้องการเครื่องดื่มอะไรไหมคะ?"

"อ้อ ไม่ต้องค่ะ ขอบคุณนะคะ" มู่เวยเวยรู้สึกว่ามีความผิดปกติ แต่ก็รอให้เครื่องบินรีบบินให้เร็วที่สุด เธอกลัวว่าเย่ฉ่าวเฉินรู้แล้วตามมาทัน

แอร์โฮสเตสยิ้มให้เธออย่างอ่อนหวาน ชั่วพริบตาเดียวก็ลุกขึ้น ใช้ฝ่ามือฟาดมาที่ท้ายทอยของมู่เวยเวย หลังจากนั้นภาพตรงหน้าก็มืดดับลง อ่อนยวบลงในเก้าอี้

ด้านนอกเครื่องบิน ทั้งสี่คนกำลังรอหนานกงเฮ่ามา

"พี่ทั้งสี่คน เหนื่อยมามากแล้ว"

ทั้งสี่คนเงยศีรษะขึ้นพร้อมกันมองออกไปหน้าประตูทางเข้าห้องโดยสารเครื่องบิน ยังไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับมาเกิดอะไรขึ้น หนึ่งวินาทีถัดมา ก็ถูกแอร์โฮสเตสใช้ของมีคมแทงทั้งหมดล้มตะแกรงลงไป

"เจี๋ยเคอ บินได้เลย" เธอร้องตะโกนเสียงเย็นบอกกับนักบิน

ประตูของเครื่องบินปิดเข้าอย่างช้าๆ ไม่ถึงหนึ่งนาทีก็บินขึ้นท้องฟ้าที่มืดอึมครึม

ในเวลาเดียวกันกับที่รถของหนานกงเฮ่าอยู่ไม่ห่างกับที่จอดเครื่องบินไม่ถึงหนึ่งพันเมตร

........

เย่ฉ่าวเฉินเหมือนคนบ้าตามหามู่เวยเวยทุกแห่งทุกหน แต่ว่าหาอยู่ครึ่งค่อนวันก็หาไม่พบ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ไหนก็ตามไม่มีแม้แต่เสียง

"คุณชาย หาไม่เจอ......."

"นายครับ หาไม่เจอ......"

"ฉ่าวเฉิน ฉันพลิกที่นี่ตามหาแล้ว ไม่มี..... "

"ไม่มี ไม่มี ไม่มี......."

การรายงานผลของทุกคนเป็นมีแค่เพียงสองคำคือ "ไม่มี" เย่ฉ่าวเฉินนอนไม่หลับตลอดทั้งคืน บุหรี่ก็ยิ่งสูบหนักขึ้น ถ้าอยากจะนอนหลับก็ทำได้แค่พึ่งยานอนหลับ

ครึ่งเดือนหลังจากนั้น ร่างกายของเย่ฉ่าวเฉินเริ่มประท้วง มีครั้งหนึ่งที่ดื่มเหล้าไม่บันยะบันยัง เลือดออกในกระเพาะอาหารต้องพักฟื้นที่โรงพยาบาล

"คุณชาย คุณอย่าทรมานตัวเองเลย คุณหนูเป็นคนดีสวรรค์ต้องคุ้มครอง เธอต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน ถ้าหากร่างกายคุณพังแล้วถ้าเกิดว่ามีข่าวคราวคุณหนู คุณจะไปหาเธอได้อย่างไร?" พ่อบ้านหวางอยู่ข้างเตียงพูดเกลี้ยกล่อมทั้งน้ำตาน้ำมูกไหล

เย่ฉ่าวเฉินชะงักงันมองออกท้องฟ้าที่มืดมนด้านนอก หลับตาลง

เขาได้ยินหัวใจของเขากำลังร้องไห้

นี่คือกรรมตามสนอง เย่ฉ่าวเฉิน นี่คือพระเจ้ากำลังตอบสนองกรรมนี้ให้ฉัน ถ้าเมื่อก่อนเขาไม่ทำกับเธออย่างนั้น ก็จะไม่เกิดเหตุการณ์เจ็บปวดเหมือนถูกถลกหนังกับเส้นเอ็นออกเช่นนี้

หลักจากออกจากโรงพยาบาลครั้งนี้ เย่ฉ่าวเฉินออกจากอาการซึมเศร้านั้น ควรที่จะทำงานก็ไปทำงาน ควรรับประทานอาหารก็รับประทานอาหาร แต่ทว่าเขาเคร่งขรึมขึ้นกว่าแต่ก่อน ไม่มีรอยยิ้มออกมา

ห้องนอนของมู่เวยเวยถูกเก็บรักษาไว้คงสภาพเดิม นอกจากทำความสะอาด สิ่งของอย่างอื่นก็ไม่ได้เคลื่อนย้าย เช่นดินสอที่เธอใช้แล้วครึ่งแท่ง โทนเนอร์ที่เหลือครึ่งขวด ยังมีที่เสื้อผ้าตัวใหม่หลายชุดที่ยังไม่ได้ตัดป้ายราคาออก

เย่ฉ่าวเฉินบังคับตัวเองไม่ให้คิดถึงเธอ เพราะว่าหัวใจตับม้ามกระเพาะเจ็บจี๊ดปวดร้าวขึ้นมา คิดว่าเธอถูกหรือไม่ถูกคนทำร้าย คิดว่าลูกยังปลอดภัยดีไหม ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกมาก ทั้งวันก็ไม่สามารถทำเรื่องอื่นได้เลย

มีบางเวลาที่โศกเศร้ามาก ก็ไปนั่งเล่นที่ห้องนอนของเธอ มองดูของใช้ที่เธอเคยใช้ก่อน คล้ายกับว่าเธอเพียงแค่ไปช๊อปปิ้ง ไม่กี่วันก็กลับมาแล้ว

พ่อบ้านหวางทำให้เขาเดินออกมาจากความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน สั่งห้ามไม่ให้คนรับใช้ในคฤหาสน์พูดชื่อ "มู่เวยเวย"หรือ "คุณหนู"สามคำนี้ และที่บริษัทก็มีน้อยคนที่จะได้ใกล้ชิดกับเย่ฉ่าวเฉิน ก็ไม่มีใครถามเขาว่าทำไมไม่เจอมู่เวยเวย เวลาผ่านไปเนิ่นนาน เหมือนกับมู่เวยเวยไม่เคยปรากฎขึ้นมาก่อน

หลังจากที่คุณหนานกงรู้เรื่องนี้ ถ้าไม่ใช่เฉินซูฮั้วดึงรั้งไว้ ชีวิตของหนานกงเฮ่าอีกนิดหนึ่งก็คงได้ตายคามือของพ่อแท้ๆ เพื่อที่จะดับไฟความโกรธของเย่ฉ่าวเฉิน คุณหนานกงเอาตัวของเขาเองมาที่คฤหาสน์ตระกูลเย่เพื่อขอโทษเย่ฉ่าวเฉิน อีกทั้งยังให้คำมั่นสัญญาว่าจะหาวิธีตามหามู่เวยเวยให้พบ

หลังจากนั้น หนานกงเฮ่าก็ถูกกักบริเวณแล้ว หนึ่งวันที่หามู่เวยเวยไม่พบก็ถูกกักบริเวณหนึ่งวัน หนึ่งปีหามู่เวยเวยไม่พบก็ถูกกักบริเวณหนึ่งปี แต่เรื่องนี้บ้านหนานกงแค่ทำให้เย่ฉ่าวเฉินดู หนานกงเฮ่าเป็นลูกชายคนเดียวของคุณหนานกง จะตัดใจกักบริเวณเขาหนึ่งปีได้อย่างไร?

.......

อีกประการหนึ่งมู่เวยเวยที่อยู่ด้านนี้

เครื่องบินบินข้ามภูเขาใหญ่แม่น้ำกว้างใหญ่ เหมือนนกน้อยตัวหนึ่งที่ลอยอย่างนิ่มนวล

มู่เวยเวยถูกแอร์โฮสเตสผลักให้เธอลงจากเครื่องบิน เธอได้กลิ่นอายคลื่นความร้อนปะปนมากับเสียงน้ำทะเลซัดมาที่หน้า แสงของดวงอาทิตย์วิบวับส่องมาที่ตาของเธอสักพักหนึ่ง

เปิดตามองดู ข้างหน้าของเธอเป็นทะเลกว้างใหญ่ที่ไร้ขอบเขต และเท้าก้าวลงมาเหยียบที่เกาะเล็กๆนี้เห็นความเจริญงอกงามมีชีวิตชีวิตชีวา แต่ทว่าเหมือนเธอไม่เห็นใครแม้แต่คนเดียว

"ไป "แอร์โฮสเตสบีบที่ไหล่เธออย่างป่าเถื่อน ผลักเธอให้เดินไปข้างหน้า

มู่เวยเวยกลัวทำให้ตัวเองล้ม ลูกในท้องจะได้รับอันตราย พยายามหลุดให้เป็นอิสระจากการควบคุม "ฉันเดินไปเองได้"

ในเวลานั้นที่ตื่นมาขณะที่อยู่ในเครื่องบิน มู่เวยเวยก็รู้ ตัวเองโง่เขลาถูกหลอกอีกแล้ว คนพวกนี้ไม่ใช่คนของพี่ชายส่งมา

ตอนนี้น่าหัวเราะก็คือ เธอไม่รู้แม้กระทั่งว่าใครลักพาตัวเธอมา

ยังคิดว่าตัวเองหลุดพ้นจากเงื้อมมือเย่ฉ่าวเฉินแล้ว คาดไม่ถึงว่า.....

ต้องโทษตัวเองที่โง่เขลา เชื่อใจคนคนหนึ่งง่ายๆได้อย่างไร

เดินมาแล้วประมาณห้านาที บ้านหลังหนึ่งอยู่ต่อหน้าเธอ แอร์โฮสเตสคนนั้นเดินไปตบแล้วตบอีกที่ประตู เร็วมาก เดินในมีเสียงฝีเท้าเล็กๆ ประตูเหล็กดัง "เอี๊ยด" เปิดออกมา ทำให้เห็นหน้าดำมืดมนนั้น

เป็นผู้หญิงวัยกลางคนที่อยู่ในพื้นที่นี้ แอร์โฮสเตสหัวเราะเฮ้เฮ้ หลังจากนั้นก็เข้าไปในนั้นพูดน้ำไหลไฟดับกันอยู่ไม่กี่คำ แอร์โฮสเตสใช้ภาษาถิ่นพูดอยู่ไม่กี่คำ และยังชี้แล้วชี้อีกมาที่มู่เวยเวย ผู้หญิงวัยกลางคนนั้นได้แต่ผงกศีรษะ ตอบกลับแค่นิดหน่อย

หลังจากนั้น แอร์โฮสเตสก็หมุนตัวจะกลับไป

มู่เวยเวยงง นี่หมายความว่าอย่างไร?

"เดี๋ยวก่อน คุณจะทิ้งฉันไว้ที่นี่ไม่สนใจนะเหรอ?"มู่เวยเวยถามแอร์โฮสเตสด้วยความประหลาดใจ ลักพาตัวมาแล้วก็ควรจะเจรจาเงื่อนไขอะไรสักนิดหนึ่งไหม

แอร์โฮสเตสหันศีรษะกลับมาด้วยความหงุดหงิดพูดกับเธอว่า"เธอก็พักอยู่ที่นี่ ผู้หญิงคนนี้จะดูและเรื่องอาหารเธอ แน่นอนว่าเธอกินไม่ได้ก็ต้องทำเอง ทิ้งช่วงห่างของเวลาจะมีหมอแวะมาตรวจร่างกายให้เธอ เธอยังต้องการอะไรอีกไหม?"

มู่เวยเวยยิ่งฟังยิ่งสับสน "ไม่ใช่ พวกคุณจับฉันมาสรุปว่าเอามาทำอะไร?ก็ต้องบอกให้ฉันเข้าใจไหม"

แอร์โฮสเตสยิ้มที่มุมปาก "เธอก็แค่คนท้องต้องพูดอะไรกับเธอ?วางใจ รอเธอคลอดเด็กเสร็จพวกเราจะมาหาเธอ"

"สรุปพวกคุณคิดจะทำอะไร?"

แอร์โฮสเตสหมดความอดทน "เธอทำไมพูดอะไรไร้สาระเยอะขนาดนี้?ไม่ใช่บอกแล้วเหรอ? เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมก็จะบอกเธอเอง?" พูดจบแอร์โฮสเตสก็ก้าวเท้ายาวๆเดินไปข้างหน้าสองสามเมตรหลังจากนั้น ก็หันกลับมาพูดอีกว่า"ฉันใจดีจะเตือนเธอหนึ่งเรื่อง ไม่ต้องวางแผนหลบหนี เดิมทีเธอไม่ได้มีความสามารถนั้นอยู่แล้ว เกาะเล็กๆนี้อยู่ในตำแหน่งเงียบสงบ บนเกาะเล็กนี้มีแค่เธอกับผู้หญิงคนนี้แค่สองคน ถ้าเธอคิดจะหลบนี้เธอน่าจะต้องพายเรือเอง แต่ว่าเพื่อลูกในท้อง ก็ล้มเลิกความคิดโง่เขลานั้น

มู่เวยเวยหยุดชะงัก รอแอร์โฮสเตสออกไปจากบริเวณนี้ เธอเพิ่งจะรู้ ในสภาวะที่ตกอับยากลำบาก อย่ายื่นอุทรณ์กับศัตรู มีเหตุผลก็ไม่สามารถพูดได้ มีภัยก็ไร้คนช่วยเหลือ

ผู้หญิงวัยกลางคนพูดน้ำไหลไฟดับอยู่ด้านหลังเธออยู่ไม่กี่คำ แต่เธอฟังไม่ออกไม่รู้ว่าหมายความว่าอย่างไร เธอกวักมือเรียกมู่เวยเวย คาดว่าน่าจะเรียกให้ไปดูห้อง

มู่เวยเวยร้องไห้ไม่มีน้ำตา แหงนหน้ามองท้องฟ้าถอนหายใจออกมา

ในเมื่อมาแล้วก็ต้องอยู่ที่นี่สงบจิตสงบใจเถอะ

เธอก้าวเดินตามผู้หญิงวัยกลางคนเข้าไปในห้อง ห้องไม่ใหญ่ มีโต๊ะไม้หนึ่งตัว เก้าอี้ไม้ และยังมีเตียงหนึ่งหลัง ด้านบนมีฟูกกับชุดกี่เพ้าหนึ่งกอง

ผู้หญิงวัยกลางคนคนนั้นชี้ที่อุปกรณ์เครื่องใช้ในบ้านพูดอย่างตื่นเต้น คาดว่าน่าจะกำลังแนะนำห้อง พูดจบก็ลากเธอไปดูห้องครัวกับห้องน้ำ และเธอก็พักอยู่ห้องด้านนั้น

มู่เวยเวยนั่งเครื่องบินมาทั้งคืน หิวจนท้องร้องมานานแล้ว มองเห็นในห้องครัวมีกล้วยอยู่หนึ่งจาน รีบหยิบมาปอกกินหนึ่งลูก

รู้สึกว่าในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ต้องพูดคุยกับป้า ทันใดนั้นก็รู้สึกเหนื่อยใจ แต่ว่ามองความมีน้ำใจของป้าคนนี้แล้วน่าจะไม่มีความคิดที่ไม่ดีกับเธอหรอก

มู่เวยเวยกินกล้วยเสร็จ ง่วงจนทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ทำท่าทางของการง่วงนอน ป้าดูออกแล้วยิ้มอย่างเบิกบานโบกสบัดมือให้เธอ บอกใบ้ให้เธอรีบไปนอน

กลับมาถึงห้องนอนตัวเอง มู่เวยเวยทั้งร้อนทั้งง่วง เพิ่งจะล้มตัวลงเตียงก็หลับแล้ว

ไม่รู้ว่านอนนานเท่าไหร่ มู่เวยเวยรู้สึกได้ว่ามีคนผลักเธอ ลืมตาสะลึมสะลือมอง ป้าผิวดำยิ้มเห็นฟันขาวให้เธอ มู่เวยเวยมึนงงมองป้าเข้ามาใกล้จะได้ครึ่งนาทีแล้ว เธอถึงมีสติกลับมา

ใช่แล้ว เธอไม่รู้ว่าพวกนั้นเป็นใคร ลักพาตัวมาที่เกาะที่กันดารไร้ผู้คน

ป้าทำท่าทางเหมือนคนรับประทานอาหารให้เธอดู แสดงออกถึงรับประทานอาหารเที่ยงได้แล้ว มู่เวยเวยผงกศีรษะ เธอก็เดินออกไป

มู่เวยเวยยังใส่เสื้อผ้าของสาวใช้อยู่ นอนไปหนึ่งตื่นหลังเปียกโชกเต็มไปด้วยเหงื่อ เหนียวตัวจนอึดอัด หยิบชุดที่อยู่ฝั่งเท้าขึ้นมาหนึ่งชุดไปเปลี่ยน

เธอผิวขาวมาก ใส่ชุดกี่เพ้าถึงแม้จะไร้รสนิยม แต่ปรากฏว่าทันสมัยมาก

มาถึงห้องครัว ป้าเงยศีรษะขึ้นมองเธอ รีบยกนิ้วโป้งขึ้นพูดว่า "เยี่ยมมาก"

มู่เวยเวยแปลกใจ นึกไม่ถึงว่าป้าพูดภาษาอังกฤษได้?

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ