ฉู่เซวียนแอบหัวเราะอยู่ในใจ หรือว่ามาโรงพยาบาลก็ยังจะเอาคอมพิวเตอร์มาด้วย ดูแล้วเป็นไอเดียที่น่าจะเข้าท่า
แต่ว่าเรื่องส่วนตัวก็ส่วนเรื่องส่วนตัว กับเรื่องงานแล้ว ฉู่เซวียนขึ้นชื่อได้ว่าเป็นคนที่จริงจังมากคนหนึ่ง แม้ว่าฉู่เซวียนอยากที่จะหาเรื่องทำให้เย่ฉ่าวเฉินลำบากใจแต่เขาต้องหยุดแผนการนี้ลงชั่วคราว
ตอนนี้ยังมีเวลาอยู่ ทั้งสองคนเปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นมา คนหนึ่งนั่งบนโซฟา ส่วนอีกคนหนึ่งนั่งบนเตียง ทำเหมือนกับว่าห้องคนผู่ป่วยเป็นห้องทำงาน
มู่เวยเวยมองดูเขาทั้งสอง เฮย อย่างนี้ก็ดี
เธอยังรู้สึกกังวลใจอยู่ว่าคนทั้งสองที่มีความน่าเชื่อถือมาปะทะกันแล้วจะทำให้เกิดความวุ่นวายไปหมด แต่ไม่คิดเลยว่าต่างคนต่างสงบแบบนี้ เป็นอย่างนี้ก็ไม่มีธุระของเธอแล้ว มู่เวยเวยที่ครึ่งนั่งครึ่งนอนอยู่บนเตียงเล็กๆทางด้านข้างของฉู่เซวียน และให้แน่ใจว่าเย่ฉ่าวเฉินจะมองมาไม่เห็นหน้าจอโทรศัพท์ จากนั้นก็เริ่มทำการเลื่อนดูโทรศัพท์
เดิมทีก็เลื่อนดูข่าวดังข่าวแฟชั่น แต่ทว่าตอนนั้นเธอไม่ได้ตั้งใจกดเข้าไปที่รูปของเด็กคนหนึ่ง จากนั้นเธอก็ค่อยๆดูมันด้วยความใสซื่อ
เย่ฉ่าวเฉินกับฉู่เซวียนทั้งสองคนเป็นพวกบ้างาน หากว่าเป็นงานตรวจสอบเดียวกัน คนหนึ่งจะเป็นคนพูดส่วนอีกคนจะเป็นคนฟัง หรือมีตรงไหนที่เห็นไม่ตรงกันก็จะถกเถียงเสนอแนวคิด บรรยากาศดูแล้วยังพอมีความอบอุ่นอยู่บ้าง
“อาเหยียน ช่วยรินน้ำให้ฉันสักแก้วหน่อย”ฉู่เซวียนมีอาการกระหายน้ำ ตามองที่คอมพิวเตอร์และพูดขึ้น
แต่ว่ามู่เวยเวยมีสติอยู่กับรูปภาพ เธอไม่ได้ยินเลยว่าเขาพูดอะไร
ผ่านไปสักครู่ เห็นมู่เวยเวยนั่งอยู่และยังไม่มีการขยับ เขาก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง“อาเหยียน ช่วยรินน้ำให้ฉันหน่อย”
ครั้งนี้ แม้แต่เย่ฉ่าวเฉินก็ยังเงยหน้าขึ้นมาดู แต่มู่เวยเวยยังคงเหม่อลอยไม่ได้สติ เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกสงสัยว่าเธอกำลังดูอะไรอยู่?
“อาเหยียน”ฉู่เซวียนหันหน้าไปมองทางเธอ และเรียกเธอด้วยเสียงที่ดังขึ้น“อาเหยียน”
มู่เวยเวยตกใจ เห็นผู้ชายสองคนมองจ้องมาทางของตัวเอง เธอจึงถามขึ้นด้วยสีหน้าที่มึนงง“ทำอะไรกันหรอ?”
“เธอกำลังดูอะไรอยู่ ทำไมถึงได้ใจจดใจจ่ออย่างนั้น หยิบมาให้ฉันดูหน่อย”ฉู่เซวียนยิ้มพร้อมกับยื่นมือออกไปเอาโทรศัพท์
มู่เวยเวยจะกล้าให้ได้ยังไง รีบกดปิดหน้าจอจากนั้นก็เอาโทรศัพท์ยัดเก็บลงในกระเป๋า เธอพูดปั้นเรื่องขึ้นว่า “เป็นตำนานเรื่องเล่าของคนออกแบบชุดคนหนึ่ง พี่ไม่สนใจหรอก ว่าแต่พี่เรียกฉันทำไม?”
“ช่วยรินน้ำให้ฉันสักแก้วสิ ขอบคุณ”
มู่เวยเวย อ้อ ออกมาหนึ่งครั้ง เธอลุกยืนขึ้นจากนั้นก็เดินไปรินน้ำให้เขาพร้อมกับรินมาให้เย่ฉ่าวเฉินด้วยหนึ่งแก้ว
“ขอบคุณ”ตอนที่เธอวางแก้วน้ำตรงด้านหน้าพร้อมกับที่เย่ฉ่าวเฉินก็เงยหน้าขึ้นมาพูดกับเธอเบาๆ
และทันใดนั้นเอง มู่เวยเวยนึกภาพใบหน้าของคนที่อยู่ในรูปภาพนั้นขึ้นมาได้ มันเหมือนกันมาก เค้าโครงรูปร่างประมาณแบบนี้ หรืออาจดูหล่อกว่าในนั้นซะอีก
เย่ฉ่าวเฉินมองเธอ ความคิดที่เฉียบแหลมของเขาก็ปรากฏออกมา ราวกับว่าเธอกำลังมองทะลุตัวของเขาและเห็นใครอีกคน เพราะว่าสายตาของเธอมันเก็บซ่อนความชื้นชมและความภูมิใจเอาไว้อยู่นิดๆ
เย่ฉ่าวเฉินใจสั่นเล็กน้อย เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นฉู่เหยียนเป็นแบบนี้ แต่ว่าเธอกำลังมองเห็นใครที่อยู่ในตัวเขาล่ะ?ใช่รูปใครคนหนึ่งที่เธอพึ่งจะดูในโทรศัพท์คนนั้นไหม?
“แคกๆ——”ฉู่เซวียนตั้งใจไอแห้งๆเพื่อเป็นการขัดจังหวะไม่ให้ใครคนหนึ่งคิดฟุ้งซ่านไปไกล มู่เวยเวยรู้สึกว่าตัวเองไม่มีสติอยู่กับเนื้อกับตัว เธอยิ้มให้เย่ฉ่าวเฉินเพื่อเป็นเป็นการแก้เขิน จากนั้นก็รีบกลับไปนั่งที่เดิม และแล้วเธอก็หานักออกแบบคนที่เธอชอบเจอแล้วจริงๆ เธอเริ่มอ่านประวัติของเขา เพื่อเป็นการป้องกันว่าสักพักพวกเขาจะถามว่าดูประวัติของใคร
สี่ทุ่ม คุณหมอเข้ามาทำการตรวจเป็นครั้งสุดท้าย
เมื่อเข้ามาในห้องและได้เห็นภาพฉากที่อยู่ตรงหน้าเขาเกิดตะลึงไปพักหนึ่ง ฉู่เซวียนไม่รู้จักเขา แต่เย่ฉ่าวเฉินก็ยังพอจะเคยได้ยินชื่อเสียงของเขามาบ้าง ไม่คิดเลยว่าเขาจะปรากฎตัวที่นี้ในเวลาดึกขนาดนี้ แต่เห็นได้ว่าฉู่เซวียนคนนี้มีเบื้องลึกเบื้องหลังที่ไม่ธรรมดา
พรุ่งนี้จะไม่ให้นางพยาบาลพวกนั้นเข้ามาวุ่ยวายได้ตามใจชอบอีก นี่คือความคิดของคุณหมอท่านนี้ทันทีที่ปรากฎตัวขึ้นครั้งแรก จากนั้นเขาก็มีท่าทางที่ให้ความเคารพต่อฉู่เซวียนเป็นอย่างมาก
ผ่านการรักษาไปสองวัน ผื่นแดงที่อยู่บนร่างกายของฉู่เซวียนก็หายจนหมดแล้ว อาการไข้สูงก็ลดลง จะมีก็แต่อาการร่างกายไม่มีเรียวแรงหลังจากร่างกายทำการฟื้นฟู
เมื่อทำงานสองถึงสามชั่วโมงผ่านไป ฉู่เซวียนรู้สึกปวดเอวปวดหลัง ต้นคอก็รู้สึกไม่ค่อยจะสะบาย ตอนที่กำลังทำยืดเส้นยืดสายอยู่บนเตียง เขาก็เหลือบไปเห็นเย่ฉ่าวเฉินที่เกิดความเหนื่อยล้า จึงมีความคิดดีๆเกิดขึ้นในหัว
“อาเหยียน ช่วยนวดไหล่ให้ฉันหน่อย ทำงานเป็นเวลานาน เจ็บไหล่ซะมัด ”ฉู่เซวียนพูดด้วยน้ำเสียงปกติ แต่มู่เวยเวยได้ฟังแล้วรู้สึกว่ามันไม่ปกติ พี่ชาย นายไม่ใช่พี่ชายแท้ๆของฉันซะหน่อย ทำไมถึงได้กล้าใช้ฉันล่ะ?
“พี่ แล้วเรื่องนวดไหล่อะไรพวกนี้ ฉันทำไม่เป็นหรอก”มู่เวยเวยพูดปฎิเสธออกมาตรงๆ
ฉู่เซวียนจ้องใครคนหนึ่งที่พึ่งกำลังจะนวดคิ้วเสร็จ และไม่ว่าจะยังไงเขาก็ต้องการที่จะให้เธอเป็นคนลงมือ“เรื่องแค่นี้มันจะยากตรงไหน แค่ซี้ซั้วนวดๆไปก็เท่านั้น มือของฉันไม่มีแรง”
มู่เวยเวยถลึงตาโตมองฉู่เซวียน นายต้องการจะทำอะไร?
ฉู่เซวียนหันไปทางเธอพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย ไม่ทำอะไร เธอรีบหน่อย
มู่เวยเวยไม่ส่งเสียงแต่ทำปากมุบมิบๆ หญิงชายมีความแตกต่างพี่รู้ไหม
ฉู่เซวียนยักไหล่ ตอนนี้เธอคือน้องสาวของฉัน เมื่อพูดเสร็จยังหันกลับไปมองที่เย่ฉ่าวเฉิน
ชะงักไปครึ่งนาที สุดท้ายมู่เวยเวยก็ลงมือ
“พี่ ตรงไหนที่ไม่สบาย ไหล่ใช่ไหม ?”มู่เวยเวยนั่งลงบนเตียง และค่อยๆวางมือบางๆของเธอลงที่ไหล่ของฉู่เซวียน เธอยิ้มอย่างไม่ค่อยพอใจพร้อมกับถามขึ้นว่า“ตรงนี้ใช่ไหม?”
“อือ ตรงนั้นแหละ รู้สึกเมื่อยมากๆ”
มู่เวยเวยไม่เคยนวดไหล่ให้กับใครเลย แต่ทว่าไม่ลองดูก็ไม่รู้ว่าจะทำได้หรือไม่จริงไหม?ลองคิดดูว่าในโทรทัศน์เขานวดให้กับคนอื่นอย่างไร ฉู่เซวียนไม่คิดมาก่อนเลยว่ามู่เวยเวยที่ดูร่างกายบอบบาง แต่แรงมือที่ใช้นวดของเธอนั้นไม่เบาเลย
แต่ แม้ว่าเธอจะมีกำลังมากเหมือนพึ่งนมเสร็จ แต่เธอที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างคุณหนูมาตั้งแต่เล็กๆ แรงแบบนี้สำหรับฉู่เซวียนแล้วถือว่ากำลังดี
“ทำไมหรอ?สบายไหม?”
“ยอมรับ”ฉู่เซวียนพูดพร้อมกับยิ้มตาหยีๆ
มู่เวยเวยที่อยู่ทางด้านหลังถึงกับมองบน
เย่ฉ่าวเฉินที่นั่งอยู่บนโซฟารู้สึกไม่ค่อยสบอารมณ์ ต้องการที่จะขึ้นไม่ทำการหยุดพวกเขา แต่ก็หาเหตุผลไม่ได้ ในเมื่อพวกเขาเป็นพี่ชายน้องสาวกัน แค่นวดไหล่เท่านั้น เขาจะพูดอะไรได้ล่ะ?
ตามองไม่เห็นก็ไม่ต้องทุกข์ใจ
“ฉันจะออกไปสูบบุหรี่สักมวน”เย่ฉ่าวเฉินพูดทิ้งท้ายไว้หนึ่งประโยคจากนั้นก็ออกไปจากห้อง แม้แต่ตาก็ไม่ได้มองทั้งสองคน
เมื่อเขาออกไป มู่เวยเวยก็กระโดดลงจากเตียงอย่างร็วด และหยุดการให้บริการนวดทันที
“ฉู่เซวียน นายจงใจใช่ไหม ”มู่เวยเวยกดน้ำเสียงพูดต่ำลง
ฉู่เซวียนหมุนคอกับมา“ก็ไม่นะ ฉันปวดไหล่กับต้นคอจริงๆ”
มู่เวยเวยถอนหายใจอย่างแรงหนึ่งครั้ง เธอควบคุมตัวเองให้อารมณ์เย็นลงจากนั้นจึงพูดขึ้นว่า“ฉู่เซวียน นายช่วยพูดอะไรที่ทำให้ฉันอารมณ์ดีหน่อยได้ไหม และฉันจะขอบใจนายมาก แต่ถ้าหากว่านายไม่ช่วยล่ะก็ อย่ามาขัดจังหวะของฉัน ถึงอย่างไรซะเป้าหมายของพวกเราก็เหมือนกัน”
ฉู่เซวียนมองเห็นเธอมีท่าทางเคร่งขรึม เขาพูดอย่างจริงจังว่า “อาเหยียน ของสมองทึมๆของเธอนี่นะ เห็นชัดๆเลยว่าฉันกำลังช่วยเธอ ตาไหนของเธอที่มันเห็นว่าฉันเข้าไปขัดจังหวะล่ะ ?”
“นาย……”มู่เวยเวยอีกนิดเดียวก็จะส่งเสียงดังออกมา ยังดีที่กดเสียงในลำคอได้ทัน “นายดูสีหน้าของเขาสิ เขาต้องโกรธมากๆเป็นแน่”
“จะว่าเธอโง่ก็โง่จริงๆ”ฉู่เซวียนพูดเยาะเย้ยเธอและพูดต่อว่า“เขาโกรธที่ไหนล่ะ เห็นๆอยู่ว่าเขาหึง เธอดมไม่ได้กลิ่นอะไรหรอ ?กลิ่นเปรี้ยวๆของน้ำส้มสายชู”
มู่เวยเวยตกตะลึกไปสักพัก มองไปที่ประตูหน้าของห้องผู้ป่าย และมองไปที่ฉู่เซวียน อ้อ ผู้ชายก็หึงเป็นด้วยหรอ?
“แต่……ตอนนี้นายเป็นพี่ของฉันนะ เขาจะหึงทำไม?”มู่เวยเวยดูเหมือนว่ายังไม่ค่อยพอใจในคำอธิบายของเขา
ฉู่เซวียนถอนหายใจ พลางลุกจากเตียงเตรียมจะเดินไปห้องน้ำพลางพูดขึ้นว่า“มานี่ หยิบรองเท้ามาให้ฉันใส่และฉันจะบอกกันเธอ”
อาจจะเป็นเพราะเมื่อวานเขาสวมมันจนชินแล้ว มู่เวยเวยไม่ได้คิดว่ามีอะไรผิดปกติ จากนั้นเธอก็รีบล้มลงช่วยสวมรองเท้าแตะให้เขาที่นั่งอยู่บนเตียง ฉู่เซวียนมองดูเธอ แอบถอนหายใจอยู่ในใจ ผู้หญิงคนนี้ทึ่มจริง แล้วตอนไหนจะได้แผนที่สมบัติมาครอบกัน?
ดูท่าแล้วเขาต้องรีบกลับไปที่ฮ่องกงให้เร็วที่สุด และก็ต้องช่วยเธอด้วย
สวมรองเท้าเสร็จ ฉู่เซวียนพูดต่อจากเรื่องเมื่อกี้“นั่นก็เป็นเพราะเขาคิดว่าเราเป็นพี่น้องกัน เขาถึงได้ไม่เอ่ยปากขัดจังหวะ จึงทำได้เพียงแค่ออกไปสูบบุหรี่ข้างนอก หากว่าเธอกับฉันไม่ใช่พี่น้องกันล่ะก็ ฉันให้เธอมานวดไหล่ให้ เหอะๆ ฉันกลัวว่าเขาจะเป็นคนลงมือมานวดให้ฉันเองแน่ๆ”เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ฉู่เซวียนก็โน้มเข้าไปที่ข้างหูของเธอและพูดว่า“นั่นก็แปลว่า ในใจของเขาก็มีที่ว่างสำหรับเธอ”
ลมร้อนที่ออกมากับคำพูดกระทบที่หูของมู่เวยเวย เธอหลบโดยเอาหูแนบไปกับไหล่ของตัวเอง
ฉู่เซวียนหัวเราะเยาะอย่างสะใจ เด็กคนนี้ เขาไม่กล้าลงมือทำอะไรกับหน้าของน้องสาว
มู่เวยเวยมองเห็นว่าเขากำลังจะเดินไปทางห้องน้ำ เธอก็ไม่สะดวกที่จะอยู่ในห้องผู้ป่วย เธอจึงเดินออกไปที่ด้านนอกเพื่อไปหาเย่ฉ่าวเฉิน ที่สุดทางเดินของทางเดินด้านนอก แสงไฟสลัวๆมีชายคนหนึ่งกำลังยืนสูบบุหรี่อยู่ ควันบุหรี่อยู่ล้อมรอบตัวของเขาและยังรู้สึกได้ถึงกลิ่นไอของความเหงา
ตอนนี้เวลาเลยสี่ทุ่มไปแล้ว บนตึกมีคนไม่มาก ประกอบกับที่นี่เป็นห้องผู้ป่วยระดับVIP คนใข้ที่มาพักจึงมีจำนวนไม่มากและแถมยังเงียบสงบ
เย่ฉ่าวเฉินมองเห็นเธอเดินเข้ามาจากที่ไกลๆ เขาเอาก้นบุหรี่ที่เขาสูบเสร็จดับกับที่เขี่ยบุหรี่ จากนั้นก็เปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเท่ และรอให้เธอเดินเข้ามา กลิ่นของควันบุหรี่เหลืออยู่ไม่มากแล้ว
“เย็นวันนี้คุณอาจจะต้องทำตัวให้ชินหน่อยนะ คุณอาจจะต้องนอนบนโซฟา”มู่เวยเวยไม่ได้ถามว่าทำไมเขาถึงโกรธ นี่ไม่ใช่ว่าเป็นการไม่เปิดโอกาสให้เขาได้พูดอย่างนั้นหรอ?
เย่ฉ่าวเฉินไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้เลยแม้แต่น้อย “ผู้หญิงนอนบนเตียง ผู้ชายนอนโซฟา นี่ไม่ใช่เรื่องปกติอย่างนั้นหรอ ?มีอะไรที่ต้องน้อยใจ”
มู่เวยเวยยิ้มออกมา จากนั้นก็เข้าไปดึงที่แขนของเขาและลากเขาเดินกลับไปที่ห้อง“อีกสักพักเรื่องอาบน้ำก็ไม่ต้องคิดแล้ว เพราะไม่มีเสื้อผ้าเปลี่ยน คุณแค่ล้างตัวนิดๆหน่อยๆก็เข้านอนได้ วันนี้ยุ่งมาทั้งวันแล้ว อย่าอดนอนเลย”
“เธอเป็นห่วงฉันหรอ”เย่ฉ่าวเฉินไม่รู้ตัวว่าเขาพูดออกมาปนกับน้ำเสียงของความหึงหวง
มู่เวยเวยหยุดชะงัก“แน่นอนว่าฉันต้องเป็นห่วงคุณอยู่แล้วล่ะ”
“เธอเป็นห่วงฉันแต่ก็ไม่ได้นวดไหล่ให้ฉัน”
มู่เวยเวยเกือบกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ ที่ฉู่เซวียนพูดไม่ผิดจริงๆ ผู้ชายคนนี้อันที่จริงก็หึงขึ้นจริงๆแล้ว
“เย่ฉ่าวเฉิน คุณทำไมถึงได้มีนิสัยเหมือนกับเด็กที่อยากจะแย่งลูกกวาดกับคนอื่น เอาล่ะๆ ครั้งต่อไปถ้าได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง ฉันจะช่วยนวดให้คุณ”มู่เวยเวยพูดไปพลางกับกลั้นหัวเราะ
“ต่อไปไม่อนุญาตให้นวดให้กับฉู่เซวียน แม้ว่าพวกเธอจะเป็นพี่น้องกันก็ตาม”
มู่เวยเวยถึงกับเอือมระอา คำพูดผูกขาดของเขาทำไมถึงได้ดูจริงจังนัก?เมื่อก่อนก็ไม่เคยเห็นเป็นแบบนี้ แต่ต่อไปฉู่เซวียนคงจะไม่เอ่ยปากขอให้เธอช่วยทำเรื่องแบบนี้แล้วล่ะ ไม่คิดว่ามู่เวยเวยจะตอบตกลงกับเขา“ฉันสัญญา อย่างนี้ก็โอเคแล้วใช่ไหม ฉันล่ะนับถือพวกคุณจริงๆเลย ”
ทั้งสองคนเดินมาถึงที่หน้าประตูห้องผู้ป่วย เย่ฉ่าวเฉินดึงเธอให้หยุดกะทันหัน จากนั้นก็จูบแรงๆลงไปริมฝีปากของเธอสักครู่ เขาค่อยๆปล่อยเธอ และเดินเข้าห้องไปพร้อมกับมีรอยยิ้มที่มุมปาก
มู่เวยเวยใช้หลังมือเช็ดปากให้สะอาดด้วยความไม่สบายใจ หลังจากนั้นก็ขึ้นไปบนเตียง ผู้ชายคนนี้ไม่ยอมปล่อยให้โอกาสผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์แม้แต่ครั้งเดียว
ทั้งสามคนอาบน้ำเสร็จ ต่างคนก็ต่างเข้านอน แน่นอนว่าที่นอนของเย่ฉ่าวเฉินก็คือบนโซฟา ด้วยความที่เขามีรูปร่างสูง ถ้าหัวอยู่ในโซฟา ขาก็ยื่นออกจากโซฟา หรือถ้าขาอยู่บนโซฟา ก็ต้องนอนขดหัว ไม่ว่าจะท่าไหนก็ทำให้เขานอนไม่หลับ
ฉู่เหยียนชะโงกมองเขาครั้งหนึ่ง และแอบหัวเราะเยาะเขาอย่างไม่แยแส ถ้าเย่ฉ่าวเฉินชอบที่มาเองก็ต้องรับกรรมเอง เธอก็ขี้เกียจจะมามองเรื่องที่ว่าเขาจะยอมแพ้หรือไม่ยอมแพ้
ฉู่เซวียนหลับตาลง คิดอยู่ภายในใจว่าเมื่อไหร่จะทำให้สำเร็จตามเป้าหมาย เขาไม่ชอบเมืองA เอามากๆ ตั้งแต่มาที่นี่ เขาก็รู้สึกร้อนใจอยู่ตลอด
และยังมีอีกคน เย่ฉ่าวเฉินน่าจะยังนอนไม่หลับ เขารู้สึกทรมานพลิกไปมา อยากที่จะไปนอนที่เตียงเล็กๆนั่นกับฉู่เหยียน แม้ว่าจะนอนได้เพียงคนเดียว เขาจะกอดฉู่เหยียนเอาไว้ในอ้อมแขน
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เย่ฉ่าวเฉินก็หยิบโทรศัพท์ออกมาส่งข้อความให้กับใครคนหนึ่งที่อยู่ห่างจากเขาเพียงปลายนิ้ว รอให้ฉู่เซวียนหลับก่อน ฉันจะไปนอนที่เตียงนั้นกับเธอ
โทรศัพท์ของมู่เวยเวยที่วางอยู่ใต้หมอน ไฟของโทรศัพท์มีแสงสว่างขึ้นมาสองครั้ง มู่เวยเวยหยิบโทรศัพท์ออกมา ไม่ทันระวังโทรศัพท์เกือบจะหล่นใส่หน้าของเธอ
อยู่ใกล้กันขนาดนี้ยังส่งข้อความมา?และแถมยังเป็นข้อความแบบนี้อีก
มู่เวยเวยพิจารณาดูสักพัก จากนั้นก็เริ่มพิมพ์ตอบกลับ รีบนอนซะ พรุ่งนี้ยังต้องทำงาน
โทรศัพท์ของเย่ฉ่าวเฉินเกิดสั่นขึ้น อืดๆสองครั้ง ไม่กี่วินาทีจากนั้นโทรศัพท์ของมู่เวยเวยก็มีแสงสว่างขึ้นมาอีก
โซฟาเล็กเกินไป ฉันนอนไม่สบาย
มู่เวยเวยจ้องไปที่ข้อความสักพัก จากนั้นก็กัดฟันพูด อย่างนั้นพวกเรามาเปลี่ยนกันเถอะ ฉันนอนโซฟา คุณก็มานอนบนเตียง
ข้อความที่ตอบกลับมาทำให้มู่เวยเวยถึงกับตกตะลึง ในข้อความเขียนว่า ไม่ได้ ผู้หญิงจะมานอนที่โซฟาไม่ได้ พวกเราสองคนนอนบนเตียงด้วยกัน
เตียงเล็กนิดเดียว?ความยาวหนะได้ แต่ความกว้างสุดของเตียงแค่เมตรยี่สิบเป็นมาตรฐานของเตียงเดี่ยว พวกเขาสองคนที่เป็นผู้ใหญ่จะนอนด้วยกันได้อย่างไร
ถ้าจะพูดอีก ก็ยังมีฉู่เซวียนที่นอนอยู่ข้างๆ
ไม่ได้ เตียงเล็กเกินไป สองคนนอนไม่ได้ มู่เวยเวยกัดฟันพิมพ์ประโยคพวกนี้ออกมา จากนั้นก็กดส่ง
เย่ฉ่าวเฉินมองข้อความแล้วคิดว่าวิธีนี้คงจะไม่ได้ผล อย่างนั้นก็ต้องรอให้เธอหลับไปเสียก่อน
ก็ได้ อย่างนั้นฉันจะนอนที่โซฟา ฝันดี
มู่เวยเวยมองเขามีท่าทางตัดใจแล้ว เธอถอนหายใจด้วยความโล่ง วางโทรศัพท์ลงจากนั้นก็หลับตา
ฉู่เซวียนก็ไม่ใช่คนโง่ เห็นอยู่เต็มตาว่าโทรศัพท์ของมู่เวยเวยมีแสงสว่างขึ้นมาแล้วขึ้นมาอีก และมองไปดูทางด้านเย่ฉ่าวเฉินก็เห็นเหมือนกัน จึงรู้ว่าสองคนนี้ต้องคุยกันอยู่แน่ๆ แต่ว่าเขาก็ไม่สนใจ
เวลาผ่านไปนาทีแล้วนาทีเล่า ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน เมื่อเย่ฉ่าวเฉินได้ยินเสียงหายใจคงที่ของทั้งสองเข้ามาถึงหู และแล้วเขาก็ขยับตัว
เย่ฉ่าวเฉินค่อยๆลงจากโซฟา เขาเคลื่อนตัวเงียบๆไปทางที่มู่เวยเวยนอน พอดิบพอดีกับมู่เวยเวยพลิกตัวหันหลังให้เขาทำให้ด้านหลังของเธอมีที่ว่างเล็กน้อย เขาค่อยๆนอนลงไปและค่อยๆเอาเธอเข้ามากอดไว้ในอ้อมอก
แอร์ในห้องเย็นฉ่ำไปทั่วถึงทุกมุมห้อง แต่ทันในนั้นก็รู้สึกถึงไอร้อนที่ประกบเข้ามาโดนตัว มู่เวยเวยใช้ความรู้สึกแล้วดิ้นออกไปอีกทาง ไม่คิดว่าเธอจะถูกสองแขนใหญ่ๆกอดเธอเอาไว้แน่น
จากที่เธอกำลังหลับลึกอยู่ก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความประหลาดใจทันที และพบว่าตัวเองถูกโอบไว้อยู่ในอ้อมแขนของใครคนหนึ่ง เธอกำลังจะร้องตะโกนขึ้น ทันใดนั้นเย่ฉ่าวเฉินก็พูดขึ้นมาเบาๆที่ข้างหูของเธอเพื่อเป็นการหยุดเธอไว้“ไม่ต้องกลัว ฉันเอง”
จากที่ตกใจมู่เวยเวยก็ค่อยๆผ่อนคลายลง แต่อารมณ์โมโหของเธอกลับประทุขึ้นมา เธอพลิกตัวกลับมามองเย่ฉ่าวเฉินด้วยความโมโห ทำไมเขาถึงได้พูดออกมาแล้วทำไม่ได้นะ?
เย่ฉ่าวเฉินถอนหายใจพร้อมกับพูดขึ้นด้วยความน้อยใจเบาๆว่า “โซฟามันเล็กเกินไป ขาของฉันนอนได้สักพักก็รู้สึกชาแล้ว เธอก็มีน้ำฉันให้ฉันนอนตรงนี้ด้วยเถอะนะ วางใจได้ ฉันจะไม่ยุ่งวุ่นวายกับเธอแน่”
มู่เวยเวยยังคงจ้องมองที่เขาอยู่ เธอไม่เชื่อคำที่เขาพูดหรอก
“ฉันสาบาน จะไม่ยุ่งวุนวายกับเธอจริงๆ ฉู่เซวียนยังนอนหลับอยู่ตรงด้านข้าง ฉันจะทำอะไรโดยไม่คิดได้ยังไง”เย่ฉ่าวเฉินยกมือขึ้นมาปิดที่ตาของเธอ“เด็กดี นอนเถอะ ฉันจะกอดให้เธอนอนหลับเอง”
มู่เวยเวยมีความโกรธที่ไม่ระบายออกมาไปไม่ได้ เธอกัดแรงๆเข้าไปที่มือของเขาและค้างอยู่อย่างนั้นสักพัก ด้วยความที่เธอไม่อยากจะเห็นหน้าของเขาเธอจึงหันหลังกลับไปนอนต่อ
เย่ฉ่าวเฉินค่อยๆขยับมุดเข้าไปที่ผมของเธอ ผมของเธอให้ความรู้สึกราวกับว่าเป็นขนที่นิ่มฟู่ รอให้ร่างกายที่แข็งทื่อของเธอเปลี่ยนเป็นอ่อนนิ่ม เย่ฉ่าวเฉินจึงได้เอาแขนของเขาเลื่อนไปวางที่เอวของเธอ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ
ขอบคุณแอดค่ะ...สนุกค่ะ......
สนุก...