เย่ฉ่าวเฉินลืมตาขึ้น นี่มันป้าสะใภ้ของมู่เวยเวย? นามสกุลฟาง?
เขาหยุดคิดสักพักใหญ่ๆ เย่ฉ่าวเฉินก็จำได้ลางๆว่าผู้หญิงคนนี้คล้ายกับภรรยาของมู่จางรุ่ย เขาจำไม่ได้ว่าเธอชื่ออะไร เธอมาหาเขาทำไม?
หรือว่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเวยเวย?
" พาพวกเธอไปที่ห้องรับรอง " เย่ฉ่าวเฉินพูด
" ได้ค่ะ ท่านประธานเย่ "
เลาหลิวกลับมายังโต๊ะทำงานหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากำลังจะโทรแจ้งแผนกต้อนรับ แต่พอลองคิดดูอีกที เธอเดินลงตึกไปและเป็นคนต้อนรับด้วยตัวเอง
พอเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเห็นว่าเลาขาหลิวลงมาด้วยตัวเอง จึงหลีกทางให้
เลาขาหลิวยังไปไม่ถึงหน้าประตูบริษัทก็เห็นผู้หญิงสองคนไกลๆ สายตาของเขามองไปที่หญิงสาวคนนั้น ผมยาว รูปร่างสูง และใบหน้าที่เลือนรางนั้น เหมือนกับ......
เขารีบเดินเข้าไปใกล้ๆ ก็เห็นว่าไม่ใช่มู่เวยเวย แต่ว่าหน้าตามีความคล้ายเธอเล็กน้อย
เขานึกถึงข้อมูลที่เคยรู้มา มู่เวยเวยมีลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่ง เป็นเธอหรอ?
" ใช่คุณฟางไหม? เชิญเดินตามฉันมา " สีหน้าของเลาขาหลิวนิ่งมากไม่มีปฏิกิริยาใดๆทั้งสิ้น
มู่อี้เหยามาที่เย่ฮวางกรุ๊ปเป็นครั้งแรก เขามองไปรอบๆด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่เธอยังมองได้ไม่นานก็ต้องขึ้นลิฟต์แล้ว
ฟางซินยี่เหลือบไปมองป้ายที่ติดตรงหน้าอกของเลาขาหลิวแวบหนึ่ง เลขานุการผู้จัดการทั่วไป เธอก็รีบพูดกระชับความสัมพันธ์อย่างรวดเร็ว " เลาหลิว คิดไม่ถึงเลยนะว่าคุณยังอายุน้อยๆก็ได้เป็นเลขาของประธานเย่แล้ว ช่างมีความสามารถจริงๆ "
เลขาหลิวยิ้มเบาๆตามมารยาท และไม่ได้ตอบอะไร
ฟางซินยี่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรและพูดต่อว่า " แต่ก่อนเวยเวยมักจะพูดว่าประธายเย่ทำงานยุ่งมากๆ ก็ไม่รู้เหมือนกันที่พวกเรามากะทันหันแบบนี้จะรบกวนการทำงานของเขารึเปล่า? "
ครั้งนี้เลขาหลิวพูดว่า " ประธานเย่งานยุ่งมากจริงๆ ฉันจะพาทั้งสองไปรอที่ห้องรับรองก่อน รอให้ประธานเย่เสร็จงานก่อนค่อยว่ากัน "
คำพูดของเลาขาหลิวมันกำกวม เขาไม่ได้หมายความว่าเย่ฉ่าวเฉินจะมาเจอพวกเธอหรือไม่ ถ้าหากว่าเย่ฉ่าวเฉินไม่อยากสนใจพวกเธอล่ะ?
ฟางซินยี่ฉลาดมาก แน่นอนว่าเธอเข้าใจในว่าเลาขาหลิวหมายความว่าอย่างไร เธอยังอยากถามอะไรบางอย่างต่ออีก แต่ว่าเธอเชื่อว่าคนอย่างเลขาหลิวไม่อาจตอบคำถามที่เธอต้องการได้หรอก เธอเลยหยุดพูด
พอมาถึงห้องรับรอง เลขาหลิวเทน้ำให้กับทั้งสอง แล้วพูดขึ้นอย่างเกรงใจว่า " ทั้งสองรอที่นี่ไปก่อนนะ ฉันยังมีงานที่ต้องไปทำต่อ "
" คุณไปเถอะ พวกเราจะรอประธานเย่ที่นี่ " อยู่ในที่ของเขา ฟางซินยี่ต้องยอมอยู่แล้ว
เลขาหลิวเดินออกไป มู่อี้เหยาสุดจะทนแล้ว เธอจับแขนแม่ของเธอด้วยความไม่พอใจ " แม่ ทำไมเราไม่เดินเข้าไปเจอเย่ฉ่าวเฉินโดยตรง? ให้พวกเรามารออยู่ตรงนี้เพื่ออะไร?
ฟางซินยี่แตะไปที่มือลูกสาว แล้วพูดอย่างใจเย็น " ลูกคิดว่าคนอย่างเย่ฉ่าวเฉินอยากเจอก็ต้องไก้เจอหรอ? เขาเป็นถึงประธานบริษัทเย่ฮวาง อีกทั้งเราในตอนนี้ไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว เจอเขาได้สักครั้งก็เพราะเห็นแก่มิตรภาพเก่าๆ "
ฟางซินยี่มองไปที่ลูกสาวที่ยังคงไม่พอใจ น้ำเสียงของเธอก็จริงจังขึ้นมาก " เหยาๆ สิ่งที่ฉันสอนตอนอยู่บ้านเธอลืมไปหมดแล้วหรอ? "
มู่อี้เหยาพูดอย่างเหลืออด " จำได้ แม่พูดย้ำหลายรอบมาก ให้พูดจาอ่อนหวาน ทำตัวสง่างาม แต่ว่ามู่อี้เหยาเป็นคนประเภทนี้สะที่ไหน? เธอเป็นสาวป่าเถื่อน ไม่พอใจอะไรก็เอาแต่ใช้กำลัง "
" เหยาๆ " ฟางซินยี่อยากจะระเบิดอารมณ์ออกมา แต่ตอนนี้เธอทำแบบนั้นไม่ได้เธอยังต้องพึ่งลูกสาวของเธออยู่ ทำได้เพียงพูดเกลี้ยกล่อมเธอ " เธออยากอยู่บ้านคุณตาต่อไปอย่างนั้นหรอ? เธอจะใช้ชีวิตภายใต้ความกดดันของพวกเขาอย่างนั้นหรอ?
" ไม่อยาก " มู่เวยเวยพูดสองคำนี้ออกมา
" ไม่อยากก็ต้องเชื่อฟังแม่ แม่ไม่ทำร้ายเธอหรอก " ฟางซินยี่จับหน้าของเธอ ยิ้มแล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า " ยิ้มหน่อย จำไว้ว่าตัวเองเป็นสาวสวย "
มู่อี้เหยายิ้มหวาน " ค่ะ หนูจะจำไว้ค่ะแม่ "
อีกด้านหนึ่ง เย่ฉ่าวเฉินทำงานจนเกือบลืมเรื่องของสองคนนั้นไปแล้ว ผ่านไปแล้วหนึ่งชั่วโมง จนกระทั่งเลาขาหลิวส่งเอกสารเข้ามาให้เขาอีกครั้ง เขาก็นึกขึ้นได้ถึงเรื่องของสองคนนั้น
" ฟางซินยี่พวกเธอยังรออยู่ที่ห้องรับรองไหม? "
เลขาหลิวนึกว่าท่าประธานเย่ไม่อยากเจอสองคนนั้น เลยไม่ได้เดินไปดู คิดไม่ถึงว่าเขายังจำได้อยู่
" อยู่ "
เย่ฉ่าวเฉินยกยิ้มมุมปาก คนใจร้อนอย่างมู่อี้เหยาสามารถรอได้นานขนาดนี้เชียวหรอ ดูแล้วครอบครัวของมู่จางรุ่ยคงไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ
อย่างนั้นเขาจะไปดูสักหน่อย พวกเธอต้องการอะไรกันแน่?
เขาลุกขึ้นแล้วลงลิฟต์ไปชั้นล่าง ไปที่ห้องรับรองที่โปร่งใสไปทั้งห้อง ฟางซินยี่นั่งด้วยท่าทางที่สง่างาม แต่มู่อี้เหยาใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความหงุดหงิด
ฟางซินยี่เห็นเย่ฉ่าวเฉินที่กำลังเดินมา ก็รีบสะกิดแขนลูกสาว พอมู่อี้เหยาเห็นเย่ฉ่าวเฉินก็รีบลุกยืนขึ้น เธอฉีกยิ้มที่เธอคิดว่าอ่อนโยนที่สุดของเธอออกมา
เย่ฉ่าวเฉินเปิดประตูเข้าไป เขาเหลือบไปมองมู่อี้เหยาก่อน ในใจของเขาก็มีประโยคหนึ่งผุดขึ้นมา สมกับเป็นลูกพี่ลูกน้องกับมู่เวยเวยจริงๆเลย มองแวบแรกหน้าคล้ายกันมาก แต่ดวงตาเธอที่เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งปิดอย่างไรก็ไม่มิด
" ประธานเย่ ท่านเสร็จงานแล้วหรอ? " ฟางซินยี่ลุกขึ้นยืน สถานการณ์ในตอนนี้เธอไม่กล้าถือตัวและยิ่งไม่กล้าที่จะเรียกเพียงชื่อของเขาเฉยๆ
ใบหน้าของเย่ฉ่าวเฉินไม่มีรอยยิ้มเลย เขาถามออกมาตามตรง " มาหาฉันมีเรื่องอะไร? "
" ประธานเย่ ที่ฉันมาในวันนี้ฉันอยากมาขอร้องคุณเรื่องหนึ่ง "
" มีอะไรก็รีบพูด ฉันยังมีงานที่รออยู่อีกเยอะ "
ฟางซินยี่ผลักลูกสาวเธอไปข้างหน้า และพูดว่า " ต้องขอโทษด้วยจริงๆ คุณเองก็รู้ถึงสถานการณ์ตอนนี้ของครอบครัวเราเป็นอย่างไร ก็ไม่รู้ว่ามู่จางรุ่ยถูกอะไรกระตุ้น ไอ้แก่นั้นหลงนางสุนัขจิ้งจอกนั้นหัวปักหัวปำ พวกเราเองก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว อยากจะขอร้องคุณช่วยหางานสักตำแหน่งให้กับมู่อี้เหยาทำในบริษัทของคุณหน่อย "
เย่ฉ่าวเฉินหัวเราะในใจ ก็คิดว่าพวกเธอจะมีเบาะแสของมู่เวยเวย เขาคงคิดมากไปจริงๆ
" ตระกูลมู่ของพวกเธอมีกิจการของตัวเองไม่ใช่หรอ? ทำไมต้องมาถึงเย่ฮวาง? "
ฟางซินยี่ถอนหายใจ "กิจการในนามตระกูลมู่มันไม่ใช่ของตระกูลมู่ตั้งนานแล้ว โดนยึดครองโดยคนต่างชาติหมดแล้ว พวกเขาจะยอมให้เหยาๆเข้าไปทำงานในนั้นได้ยังไงกันล่ะ? "
" ตอนนี้บริษัทของเรายังไม่ได้รับสมัครพนักงาน " เย่ฉ่าวเฉินปฏิเสธเสียงแข็ง เขาจำได้ว่าเวยเวยกับมู้อี้เหยาไม่ถูกกัน
ฟางซินยี่รีบส่งสายตาให้มู่อี้เหยา หลังจากนั้นมู่อี้เหยาก็พูดขึ้นอย่างอ่อนโยน " พี่เขย แต่ก่อนฉันยังเด็ก สร้างแต่ความเดือนร้อนให้คุณและพี่สาว ตอนนี้ฉันสำนึกผิดแล้ว คุณให้โอกาสฉันสักครั้งได้ไหม? ในบ้านตอนนี้เหลือแค่ฉันกับแม่แล้ว เธออายุมากแล้ว ฉันคงยอมไม่ได้ถ้าเธอต้องออกไปทำงานหาเงิน พี่เขย คุณคิดสะว่าเห็นแก่พี่สาวฉันให้ฉันทำงานในตำแหน่งไหนของบริษัทก็ได้ อย่างน้อยฉันกับแม่ก็ไม่อดตาย "
เย่ฉ่าวเฉินคิดไม่ถึงว่ามู่อี้เหยาจะพูดแบบนี้เป็นด้วย เขามองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า เธอและฟางซินยี่ถึงแม้ว่าจะแต่งตัวหรูหราสง่างาม แต่ว่าเสื้อผ้าของพวกเธอเป็นแบบเก่าเมื่อปีที่แล้ว คุณหนูเอาแต่ใจแบบเธอยอมใส่เสื้อผ้าแบบเก่าได้น่าจะไม่มีเงินแล้วจริงๆ
มู่อี้เหยาให้สายตาเขามองมาที่เธอ ก็รู้สึกดีใจ และพูดว่า " พี่เขย ไม่ว่าที่ผ่านมาฉันกับพี่สาวจะมีเรื่องบาดหมางกันมากแค่ไหน แต่ว่าในตัวของพวกเราก็มีเลือดของตระกูลมู่ไหลอยู่ครึ่งหนึ่ง ถึงอย่างไรก็ถือเป็นญาติสนิท คุณจะทนเห็นคนญาติสนิทของพี่สาวอดตายได้อย่างไร?
เย่ฉ่าวเฉินหัวเราะ เธอเป็นญาติฝ่ายไหนไม่ทราบ แต่ว่า ในเมื่อเธออยากทำงานที่เย่ฮวาง อย่างนั้นก็ทำให้เธอสมปรารถนาละกัน
" เธออยากทำงานในเย่ฮวางมากขนาดนั้นเลย? "
" อืออือ อยากมากๆ " มู่อี้เหยาตอบอย่างดีใจ. เมื่อกี้ที่เห็นหน้าเย่ฉ่าวเฉินแวบแรก หัวใจเธอก็เต้นแรง ผู้ชายที่หล่อเหลาขนาดนี้ ให้เธอเสริฟ์น้ำเสริฟ์ชาทุกวันเธอก็เต็มใจ
คิ้วของเย่ฉ่าวเฉินกระตุก " เอาแบบนี้ การรับพนักงานของเราอยู่ในความดูแลของฝ่ายบุคคลฉันไม่เคยเข้าไปยุ่งเรื่องนี้ ในเมื่อเธออยากมาทำงานที่บริษัทก็ต้องทำตามขั้นตอนของบริษัท เลขาหลิวโทรแจ้งฝ่ายบุคคลให้ส่ง HR หนึ่งคนมาสัมภาษณ์เธอ
" ครับ "
เลขาหลิวออกไปโทรศัพท์
พอผู้จัดการฝ่ายบุคคลได้ยินว่าเป็นเย่ฉ่าวเฉิน ก็รีบวิ่งมาด้วยตัวเองอย่างรวดเร็ว ถามเลขาหลิวในระหว่างที่คุยโทรศัพท์ว่า " เรื่องเป็นอย่างไร? "
เลาขาหลิวเป็นคนรอบคอบ รู้ว่าอะไรควรไม่ควรพูด " คุณเป็นคนฉลาดขนาดนี้ แค่ดูการแสดงออกของประธานเย่ก็น่าจะรู้นะ "
ผู้จัดการเปิดประตูห้องด้วยความไม่สบายใจ แล้วพูดว่า " ประธานเย่ ท่านเรียกหาฉัน? "
" ทีนี่มีผู้สนใจจะสมัครงานหนึ่งคน คุณสัมภาษณ์ตามกฎและข้อบังคับของบริษัทได้เลย "น้ำเสียงของเย่ฉ่าวเฉินเย็นชามาก พอพูดจบก็ได้พูดเพิ่มเติมอีกหนึ่งประโยค " อย่าเพราะว่าเห็นแก่หน้าฉัน ให้สัมภาษณ์ไปตามสมควร "
ผู้จัดการเงยหน้าขึ้นมองสีหน้าจริงจังของเย่ฉ่าวเฉิน ก็รู้สึกสบายใจขึ้น แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ทำงานจากนั้นถามขึ้นว่า " คนไหนมาสัมภาษณ์งาน? "
มู่อี้เหยารีบพูด " ฉันเองๆ "
" เชิญนั่ง " ผู้จัดการมองเธอไปแวบหนึ่ง พอเห็นเธอนั่งลงแล้วจึงถามขึ้น " ประวัติส่วนตัวของคุณล่ะ "
มู่อี้เหยาอึ้ง ที่เธอมาก็เพราะอยากใช้เส้นสายของพี่เขย จะเตรียมประวัติส่วนตัวมาได้ไง?
" ไม่มีประวัติส่วนตัว "เธอรู้สึกมีความสุขดีเพราะเธอคิดว่านี่ก็แค่ทำให้เป็นพิธีเฉยๆ
ผู้จัดการขมวดคิ้ว " ถ้าอย่างนั้นฉันจะถามเธอละกัน จบจากที่ไหน วุฒิการศึกษาระดับไหน จบด้านอะไรมา? "
มู่อี้เหยาพูดขึ้นด้วยความลำบากใจ " จบจากวิทยาลัยซือหยวน ด้านการจัดการการเงิน "
ผู้จัดการงงเล็กน้อย นี่เป็นสถานศึกษาไหน ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย และลองถามไปประโยคหนึ่งว่า " วิทยาลัยเอกชนหรอ "
มู่อี้เหยาพยักหน้า
ผู้จัดการหันหลังกลับไปมองเย่ฉ่าวเฉินที่สีหน้านิ่งๆ แล้วพูดอย่างไม่เกรงใจ " การรับสมัครพนักงานของเย่ฮวางกรุ๊ปส่วนใหญ่แล้วล้วนแต่จบระดับปริญญาโท แน่นอนว่ามีระดับปริญญาตรีอยู่บ้าง แต่พวกเขามีความสามารถที่ยอดเยี่ยม วุฒิการศึกษานี้ของคุณทางเราไม่อาจรับพิจารณา "
มู่อี้เหยาพูดด้วยความไม่พอใจ " พวกคุณจะตัดสินความสามารถของคนเพียงแต่วุฒิการศึกษาไม่ได้นะ นี่มันเกินไป "
" ถ้าอย่างนั้นขอถามหน่อยคุณมีประสบการณ์ทำงานอะไรบ้าง? หรือมีอะไรโดดเด่นบ้าง?
" ฉันพึ่งเรียนจบปีนี้ ยังไม่ได้เริ่มทำงาน "
ผู้จัดการแทบกระอักเลือด สิ่งที่ต้องการไม่มีสักอย่าง มีความสัมพันธ์อะไรกับเจ้านายกันแน่? แต่ว่าดูจากคุณสมบัติของเธอแล้ว เธอแทบจะไม่มีพื้นฐานความรู้เกี่ยวกับวิชาชีพเลย
" ฉันขอถามคำหนึ่งที่สำคัญกับคุณหน่อย ถ้าเกิดว่าคุณเป็นนักบัญชี ในการทำงานคุณพบว่างานนี้ไม่เหมาะสมตามข้อบังคับของบริษัท จะทำให้บริษัทขาดทุนได้ แต่ว่าหัวหน้าแผนกบัญชียืมยันว่าเธอต้องรับหน้าทีทำงานนี้ต่อไป คุณจะทำอย่างไร? "
ตอนที่มู่อี้เหยาเรียนก็ไม่ใช่คนฉลาดอะไร เธอไม่เข้าใจอะไรพวกนี้เลย เธอตอบติดๆขัดๆ
" ฉัน......ฉัน......" เป็นแบบนี้อยู่นานมาก เธอคิดวิธีการแก้ปัญหาไม่ออก
ผู้จัดการฝ่ายบุคคลทำงานมาหลายปี ไม่เคยเจอผู้สัมภาษณ์งานที่ด้อยขนาดนี้มาก่อน ถเาไม่ใช่เพราะว่าเย่ฉ่าวเฉินนั่งอยู่ด้านหลัง แค่ตอนที่มู่อี้เหยาพูดว่าไม่ได้เตรียมประวัติส่วนตัวมาก็ถูกเชิญให้ออกไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว
ไม่มีทางที่จะสัมภาษณ์ต่อไปได้แล้ว ผู้จัดการมองไปที่เย่ฉ่าวเฉิน อยากรู้ว่าประธานเย่จะเอาอย่างไร จะเก็บเธอไว้หรือว่าให้เธอออกไป
เย่ฉ่าวเฉินพูดนิ่งๆว่า " เมื่อสักครู่ฉันก็บอกไม่แล้ว ไม่ต้องเห็นแก่ฉัน ให้พูดผลสรุปของคุณได้เลย "
" ประธานเย่ เธอไม่มีคุณสมบัติที่เราต้องการ ไม่สามารถรับเข้าทำงานได้ " ผู้จัดการฝ่ายบุคคลพูด เขาทำงานภายใต้การบริหารของเย่ฉ่าวเฉินนานขนาดนี้ รู้ดีว่าเขาแยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวได้
สุดท้าย เย่ฉ่าวเฉินก็พูดกับฟางซินยี่และมู่อี้เหยาว่า " พวกเธอก็เห็นแล้วนะ ไม่ใช่ว่าบริษัทไม่รับเธอเข้าทำงาน แต่เป็นเพราะความสามารถเธอไม่มากพอ ถ้าต้องการจะเข้าเย่ฮวางจริงๆ ก็ไปพัฒนาทักษะของตัวเองก่อนนะ "
ฟางซินยี่มองหน้าลูกสาวอย่างหงุดหงิด ในใจก็รู้สึกโกรธ เสียเงินตั้งมากมายเพื่อให้ไปเรียน แต่กลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย "
มู่อี้เหยาที่คิดว่าก็แค่ทำให้เป็นพิธีเฉยๆก็ถูกพังทลายลง ไม่คิดว่าเย่ฉ่าวเฉินจริงจัง เลนรีบพูดขึ้นว่า " พี่เขย ฉันไม่ทำงานด้านการเงินก็ได้ ฉันเป็นพนักงานธรรมดา เสริฟ์น้ำเสริฟ์ชาก็ได้ "
เย่ฉ่าวเฉินหัวเราะเบาๆ " ถึงจะเป็นงานเสริฟ์น้ำเสริฟ์ชาเธอก็ทำไม่ได้ "
" เพราะอะไร? ฉันสัญญาว่าจะไม่อู้งาน และจะไม่เถียงกับเจ้านายด้วย "
เย่ฉ่าวเฉินไม่อยากเสียเวลากับเธอ บอกกับเลขาหลิวว่า " ไปตามพนักงานฝ่ายต้อนรับเข้ามา "
มู่อี้เหยาและฟางซินยี่ไม่รู้ว่าเขาหมายความว่าไง แต่ผู้จัดการฝ่ายบุคลกลับเข้าใจชัดเจนเพราะว่าคนพวกนั้นเธอเป็นคนรับเข้ามาเอง
ห้านาทีผ่านไป สาวงามทั้งห้าก็เดินเรียงแถวกันเข้ามาอย่างเป็นระเบียบพร้องกับพูดว่า " ท่าประธานเย่ " ใบหน้าของพวกเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
เย่ฉ่าวเฉินเอาพยักหน้าแล้วพูดว่า " เห็นรึยัง? พวกเธอนี่แหละที่เป็นคนที่คอยเสริฟ์น้ำเสริฟ์ชาให้กับลูกค้า เธอคิดว่ารูปร่างหน้าตาของเธอผ่านไหม? "
มู่อี้เหยาเงียบ เธอคิดว่าตัวเองก็ถือเป็นคนสวย แต่เมื่อเทียบกับผู้หญิงพวกนี้แล้ว เธอก็เหมือนเป็นแค่ดอกไม้ริมทางที่ไม่มีใครสนใจ
เมื่อจุดประสงค์ของเย่ฉ่าวเฉินบรรลุแล้ว เขาก็ส่งสัญญาณมือ สาวสวยพวกนั้นก็เดินออกไป
" เอาล่ะไม่ต้องเสียเวลาแล้ว พวกเธอออกไปได้แล้ว" พอเย่ฉ่าวเฉินพูดจบก็เดินออกไปข้างนอกทันที มู่อี้เหยาร้อนใจ รีบวิ่งไปคว้าแขนเย่ฉ่าวเฉินไว้ แต่กลับโดนเขามองแรงใส่เธอเลยตกใจและปล่อยแขนเขา
" พี่เขย คุณช่วยฉันเถอะนะ ขอร้องล่ะ ให้ฉันทำอะไรก็ได้ จริงๆนะ ถ้าไม่อย่างนั้นฉันกับแม่ต้องอดตายแน่ ขอร้องล่ะพี่เขย " มู่อี้เหยาพูดสะอึกสะอื้น น้ำตาเกือบจะไหลออกมาแล้ว
เย่ฉ่าวเฉินได้ยินเธอเรียกว่า " พี่เขย " ก็อดสงสารไม่ได้ เขาเงียบไปอยู่นานแล้วถามผู้จัดการฝ่ายบุคคลว่า " งานในบริษัทที่ไม่ต้องการวุฒิการศึกษามีงานอะไรบ้าง? "
ผู้จัดการฝ่ายบุคคลรีบนึกอย่างรวดเร็ว มีตำแหน่งที่พึ่งจะว่าง คือ......
" มี? " เย่ฉ่าวเฉินมองท่าทีของเขาแวบเดียวก็รู้แล้ว
ผู้จัดการกลืนน้ำลาย เขาดูอาการแปลกๆ
แทบจะอ้วก " มีอยู่งานหนึ่ง แต่ว่า......" เขามองไปที่มู่อี้เหยา เธอไม่น่าจะอยากทำ
" ฉันเต็มใจทำ ขอแค่ให้เงินเดือนฉัน ไม่ว่างานอะไรฉันก็เต็มใจทำ " มู่อี้เหยารีบคว้าฟางเส้นสุดท้ายนี้ไว้
" ประธานเย่ เมื่อวันก่อนมีพนักงานทำความสะอาดคนหนึ่งลากลับบ้านไปดูหลานชาย ทางเรากำลังจะเตรียมรับสมัครพอดี "
พอเย่ฉ่าวเฉินได้ยิน ใบหน้าของเขาก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้น " มู่อี้เหยา งานนี้จะทำไหม? "
" คุณให้ฉันไปทำความสะอาดหรอ?" มู่อี้เหยาเบิกตากว้าง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ
ขอบคุณแอดค่ะ...สนุกค่ะ......
สนุก...