วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ นิยาย บท 203

“ คุณชาย คุณเป็นยังไงบ้าง?” ชายที่ถือปืนชำเลืองมองไปทางคนของจางเหิงที่อยู่ในรถ แต่ด้วยสายตานี้จางเหิงจึงฉวยโอกาสบิดข้อมือของเขาแล้วหยิบปืนที่ตกลงมา ในขณะที่เขากำลังจะชักปืนออกเสียงปืนก็ดัง"ปัง" จางเหิงล้มลงกับพื้นเพราะโดนยิงเข้าที่แขนขวา

เมื่อหันหน้าไปดูตำรวจจราจรที่เพิ่งมาขอความช่วยเหลือเมื่อกี้ เขาวิ่งมาพร้อมปืนในมือ เมื่อเขาวิ่งผ่านจางเหิงก็หยิบปืนในมือไปด้วย ส่วนอีกคนกำลังจะขัดขืนและถูกลูกน้องเย่ฉ่าวเฉินกระแทกเข้าที่ท้ายทอย ดวงตาของเขาค่อยๆมืดลงและล้มลงไป

ตำรวจจราจรตรวจสอบเบาะหลัง เมื่อเห็นเสื้อของเย่ฉ่าวเฉินที่เปื้อนไปด้วยเลือดของเมื่อวานและใบหน้าซีดเซียวของเขาจึงถามอย่างกังวลว่า “คุณชาย คุณบาดเจ็บหรือ?อดทนไว้ ผมจะพาคุณไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้"

เย่ฉ่าวเฉินจับแขนของเขาอย่างอ่อนแรง "จางเห่อ ฉันไม่เป็นไรพาพวกเขากลับไป ฉันอยากรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้"

"ครับ คุณชายคุณเป็นอะไรหรือเปล่า?ทำไมดูอ่อนแรงขนาดนี้?"

"พวกเขาฉีดยาใส่ฉัน แต่ฉันไม่รู้ว่ามันคือยาอะไร ... "

"แล้วคุณบอกว่าไม่เป็นไร?ไม่ได้การแล้ว ผมจะโทรหาพ่อบ้านหวังแล้วให้เขาส่งเฮลิคอปเตอร์มาเดี๋ยวนี้" จางเห่อหยิบโทรศัพท์มือถือของเขาออกมาและโทรหาพ่อบ้านวัง "คุณอาหวัง คุณชายบาดเจ็บ รีบส่งเฮลิคอปเตอร์มาที่นี่ ... อยู่ทิศทางเมือง A เดี๋ยวผมส่งที่อยู่ให้ "

จางเห่อตัดสายแล้วช่วยประคองเย่ฉ่าวเฉินออกมาจากรถแล้วปล่อยให้เขานั่งในรถฮัมเมอร์ “คุณชายที่นี้ผมจัดการเอง คุณไม่ต้องห่วง เสี่ยวฟาง นายกับอาหลงคุ้มกันคุณชายแล้วกลับไปที่เมืองA คอยติดต่อกับพ่อบ้านหวังตลอดเวลาด้วย”

"รับทราบครับ" เสี่ยวฟางขึ้นรถแล้วได้ยินเย่ฉ่าวเฉินพูดว่า "มีกล่องยาอยู่ในรถคันนั้น เอามันติดตัวไปด้วยอาจเป็นประโยชน์ต่อการวินิจฉัยของแพทย์ แล้วก็โทรศัพท์ของฉันกับฉู่เหยียนไม่รู้ว่าอยู่ในรถคันไหน ด้านในมีข้อมูลที่สำคัญมากห้ามหายเด็ดขาด”

จางเห่อได้ยิน เขาเลยหยิบกล่องยาออกมาจากรถและส่งให้อาหลง "คุณชาย วางใจเถอะ ผมจะหาโทรศัพท์ให้เจอ" จากนั้นก็แตะคนขับรถที่นั่งอยู่เบาะคนขับเบาๆ"ระวังด้วย มีปัญหาติดต่อกับฉันได้ตลอดเวลา”

"ครับ"

รถฮัมเมอร์เป็นเหมือนเสือดาววิ่งพุ่งไปข้างหน้าโดยเหยียบเส้นขอบถนนและลูกพีชที่เต็มพื้น

จางเหิงมองไปที่ด้านหลังรถที่ค่อยๆไกลออกไปในใจก็รู้สึกเสียดายขึ้นมา บอกแล้วว่าเมือง A เป็นถิ่นของเย่ฉ่าวเฉิน เขาก็ยังไม่เชื่อและอยากลอง แค่นี้ก็พอแล้วครั้งนี้ถือเป็นบทเรียนราคาแพง และเมื่อกี้เขาก็ไม่คิดว่าคนกลุ่มนี้จะเป็นคนของเย่ฉ่าวเฉิน แถมยังคิดว่าถ้าพวกเขาต้องการซ่อนแผนที่ขุมทรัพย์ ก็จะโยนไปให้เย่ฉ่าวเฉินแล้วบอกเขายังมีอีกส่วนอยู่ ตอนนี้ดูๆแล้วเหมือนเขาจะคิดมากเกินไป

แต่เขาไม่เข้าใจ ลูกน้องของเย่ฉ่าวเฉินรู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาจะกลับไปที่เมือง อีกทั้งพวกเขายังรู้ถึงเวลาที่แน่ชัด พวกเขาโจมตีแบบขนาบเข้าประกบทั้งสองด้าน ไม่เปิดโอกาสให้ได้ต่อต้านแม้แต่น้อย นอกจากเวลาหลับตอนกลางคืน ความเคลื่อนไหวของเย่ฉ่าวเฉินก็อยู่ในสายตาของเขาตลอด เป็นไปไม่ได้ที่จะมีข่าวการแจ้งเบาะแสให้เขา เขาไม่มีท่าทีจะรู้เรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ

แล้วพวกเขารู้ได้อย่างไร?

จางเห่อสั่งให้ลูกน้องยี่สิบถึงสามสิบคนมัดพวกเขาสิบกว่าคนไว้และโยนพวกเขาขึ้นรถบรรทุกที่มีลูกพีชครึ่งคัน ส่วนจางเหิงแน่นอนว่าจางเห่อจะต้องเผ้าดูเขาด้วยตัวเอง

หลังจากทำเก็บกวาดที่เกิดเหตุเสร็จ ก็มีรถบรรทุกนำหน้าและมีรถอีกหลายคันขับไปที่ฐานฝึกของตระกูลเย่

...

ทางฝั่งนี่พ่อบ้านหวังเพิ่งวางสายจากจางเห่อ ทันทีที่เขาเงยหน้าขึ้นก็มองเห็นใบหน้าที่กังวลของ ฉู่เหยียน "มีข่าวจากฉ่าวเฉินแล้วใช่ไหม?เขาบาดเจ็บหรอ?"

"คุณฉู่ไม่ต้องกังวล คุณชายได้รับบาดเจ็บ ผมจะไปจัดเตรียมเฮลิคอปเตอร์ไปรับคุณชาย"

"ฉันไปด้วย" มู่เวยเวยเดินตามพ่อบ้านหวัง

พ่อบ้านหวังอธิบายอย่างเคร่งขรึม "คุณฉู่ ไม่ใช่ว่าผมไม่ให้คุณไป แต่เฮลิคอปเตอร์จอดอยู่ที่สนามบิน ถ้าผมไปส่งคุณที่นั่นจะต้องใช้เวลานานมาก ผมกลัวว่าการรักษาของคุณชายจะล่าช้า”

มู่เวยเวยกะวนกะวาย "ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปรอเขาที่โรงพยาบาล"

เมื่อพ่อบ้านหวังเห็นเธอเป็นแบบนี้ ก็รู้ว่าเธอเป็นห่วงคุณชาย คำพูดของเธอก็ดูอ่อนแรงลงมาก“คุณฉู่ รอผมสักครู่ หลังจากจัดเตรียมเรื่องนี้เสร็จผมจะไปโรงพยาบาลพร้อมกับคุณ "

"อ้อ โอเค"

"แล้วก็ คุณฉู่ถ้าตอนนี้คุณไม่มีเรื่องอะไร คุณช่วยจัดเตรียมเสื้อผ้าของคุณชายที่ใช้สำหรับเปลี่ยนประมาณสองสามชุดได้ไหม?ผมคิดว่า ... " ก่อนที่พ่อบ้านหวังจะพูดจบมู่เวยเวยก็พูดขึ้นมา "โอเค ฉันไปเตรียมเดี๋ยวนี้”

มู่เวยเวยคุ้นเคยกับรูปแบบห้องนอนของเย่ฉ่าวเฉินเป็นอย่างดี เพราะหลังจากเธอแต่งงานก็ใช้เวลาอยู่ในห้องนี้เป็นส่วนใหญ่ ในห้องแต่งตัวเธอพบกระเป๋าที่สวยหรูสำหรับสูทอาร์มาและเริ่มหยิบเสื้อผ้าจากไม้แขวน เสื้อเชิ้ตสองตัวและเสื้อยืดอีกสองตัวแล้วกัน แล้วก็กางเกง ... เดี๋ยวก่อน ต้องเอากางเกงในไปด้วยสองสามตัวใช่ไหม?

มู่เวยเวยลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วเปิดลิ้นชัก ในลิ้นชักวางกางเกงบ็อกเซอร์ใหม่เอี่ยมอย่างเรียบร้อยไล่ระดับสีจากสีดำไปจนถึงสีเทา

แม้ว่าทั้งสองจะเคยเห็นอีกฝ่ายเปลือยกายมาหลายครั้ง แต่มู่เวยเวยก็ไม่เคยแตะต้องสิ่งของส่วนตัวของเขาเลย เธอก้มศีรษะและหยิบกางเกงบ็อกเซอร์สามตัวออกมาแล้วยัดลงในกระเป๋า

หลังจากมาถึงโรงพยาบาลประชาชนในเขตเทศบาล หลังจากสื่อสารกับผู้อำนวยการ พ่อบ้านหวัง มู่เวยเวย คุณหมอหาน และแพทย์ที่เข้าร่วมหลายคนจากโรงพยาบาลก็มารอที่ลานด้านบนของโรงพยาบาล

หลังจากนั้นไม่นาน โทรศัพท์ของพ่อบ้านหวังก็ดังขึ้น "อาหวัง ผมคือเสี่ยวฟาง คุณชายอาการโคม่า"

"นายว่าไงนะ?" พ่อบ้านหวังได้ยินไม่ชัดเพราะเสียงในโทรศัพท์ถูกเสียงของใบพัดรบกวน

“ ผมบอกว่าคุณชายอาการโคม่าแล้ว” เสี่ยวฟางตะโกนใส่โทรศัพท์

แต่เสียงนั้นก็ยังเบาเกินไป พ่อบ้านหวังตัดสายทิ้งด้วยความกะวนกะวายและเปลี่ยนเป็นส่งข้อความแทน แต่มือของเขาสั่นโดยไม่รู้ตัวและไม่สามารถพิมพ์ให้เป็นคำๆได้

เมื่อมู่เวยเวยเห็นเธอจึงหยิบโทรศัพท์มือถือในมือของเขาและพูดว่า "อาหวัง ฉันบอกว่าฉันส่งข้อความให้เอง"

พ่อบ้านหวังหายใจเข้าลึกๆและพูดว่า "ขอบคุณครับคุณฉู่ คุณถามเสี่ยวฟางว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณชาย?"

มู่เวยเวยพิมพ์เสร็จอย่างรวดเร็วและคลิกส่ง หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีเธอก็ได้รับข้อความจาก เสี่ยวฟาง คำบนหน้าจอปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน คุณชายอาการโคม่าและถูกยิงด้วยยา

ยังมีรูปถ่ายสองรูปติดมาด้วย รูปแรกเป็นรูปเย่ฉ่าวเฉินที่หลับตาสนิท ใบหน้าของเขาซีดเซียวและเสื้อผ้าบนร่างกายของเขาเปื้อนไปด้วยเลือดอย่างน่าตกใจ

อีกรูปเป็นรูปที่ไม่สามารถมองเห็นร่องรอยของเข็มฉีดยาใดๆได้เลย

ในตอนนี้มู่เวยเวยไม่สามารถสงบลงได้อีก จู่ๆเขาก็ได้รับบาดเจ็บและในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเธอรู้สึกมีลางสังหรณ์ที่รุนแรง เพราะถ้าเขาไม่ได้รับบาดเจ็บด้วยทักษะความสามารถของเย่ฉ่าวเฉินเขาคงจะกลับมาที่เมืองAนานแล้ว

อย่างไรก็ตามพ่อบ้านหวังมีเรื่องหลายเรื่องมากมาย แต่เมื่อได้เห็นรูปถ่ายของเย่ฉ่าวเฉินก็ไม่ได้รู้สึกประหม่าเหมือนเมื่อกี้อีก เขาหยิบโทรศัพท์มือถือจากมู่เวยเวยและพิมพ์ว่าพวกเราอยู่ที่ลานชั้นบนสุดของโรงพยาบาลประชาชนในเขตเทศบาลหมอก็อยู่ที่นี้ด้วยพวกนายรีบมา หลังจากส่งข้อความออกไป พ่อบ้านหวังก็ยื่นโทรศัพท์ให้หมอหลายคนเพื่อทำการวิจัย

มู่เวยเวยรู้สึกขาอ่อนแรงลงเล็กน้อยและเมื่อเริ่มสั่นไปสองครั้งจากนั้นเธอก็ยืนพิงเข้าที่กำแพง

พ่อบ้านหวังเห็นความผิดปกติของเธอและเดินเข้าไปปลอบเธอเบา ๆ "ไม่ต้องห่วง คุณชายเป็นคนโชคดีมาก เขาจะต้องไม่เป็นไรแน่"

ใบหน้าของมู่เวยเวยเย็นไปหมดและตอนนี้ความคิดเดียวในหัวของเธอคือถ้าเขาตายจะเป็นอย่างไร? ถ้าเขาตายก็ถือว่าเขาได้แก้แค้นให้พี่ชายของเขาแล้ว นี้น่าจะเป็นเรื่องที่ทำให้รู้สึกดีแต่ทำไมตัวเองถึงไม่สามารถรู้สึกดีได้เลย

“ คุณฉู่ คุณโอเคไหม?” พ่อบ้านหวังมองเธออย่างห่วงใย“รูปถ่ายทำให้คุณตกใจสินะ ก่อนหน้านี้คุณชายได้รับบาดเจ็บหนักกว่านี้อีก มีหลายครั้งที่เขาต้องแข่งกับความตายแต่ในที่สุดเขาก็ยังพึ่งพาพลังใจที่เหนียวแน่นแล้วผ่านมันมาได้ ทุกคนเอาแต่มองว่าตอนนี้ตระกูลเย่มีแต่สิ่งเรื่องดีๆที่เพียบพร้อม แต่ไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนถูกสร้างขึ้นมาจากคุณชาย "

ขณะที่พ่อบ้านหวังพูดคุยอยู่ข้างๆเขา ความกังวลใจของมู่เวยเวยก็คลายลงอย่างมาก“เย่ฉ่าวเฉินไม่ได้สืบทอดเย่ฮวางอินเตอร์เนชั่นแนลกรุ๊ปจากพ่อแม่ของเขาหรือ?”

พ่อบ้านหวังถอนหายใจ "สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องอดีตแล้ว เย่ฮวางก่อตั้งขึ้นโดยคุณท่านก็จริงแต่ต่อมาเนื่องจากการจัดการที่ไม่ดีและหนี้สินจำนวนมากและด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้คุณท่านไม่สนใจบริษัทแล้วโยนเรื่องทั้งหมดไปให้คุณชาย ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาคุณชายประคับประคองครอบครัวนี้เพื่อปลดหนี้ ไม่รู้ว่าเขาต้องสูญเสียกับเรื่องต่างๆและต้องทนทุกข์ทรมานมาแล้วกี่ครั้ง โชคดีที่เขาผ่านมันมาได้ "

ทันใดนั้นมู่เวยเวยก็จำญาติอีกคนของเย่ฉ่าวเฉินได้และถามอย่างระมัดระวัง“ ฉันได้ยินฉ่าวเฉินบอกว่าเขายังมีคุณปู่อีกคนที่กำลังรักษาอยู่ต่างประเทศ”

พ่อบ้านหวังมองเธอด้วยความประหลาดใจ "คุณชายบอกเรื่องนี้กับคุณแล้วหรือ?"

"เขาเคยพูดแค่ครั้งเดียว ไม่ได้พูดอะไรมากมาย"

"อ้อ เขากำลังรักษาอยู่ต่างประเทศจริง ๆ ไม่ค่อยมีใครรู้เรื่องนี้ แม้แต่หลายๆคนในเมือง A ก็คิดว่าคุณท่านจากไปแล้ว" พ่อบ้านหวังก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เรื่องที่เกี่ยวข้องกับคุณท่านเป็นความลับมาก เย่ฉ่าวเฉินแทบจะไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้กับคนนอกเลย ไม่คิดเลยว่าเขาจะบอกกับฉู่เหยียน

ดูเหมือนว่าความสำคัญในหัวใจของคุณชายที่มีต้องผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ธรรมดาเหมือนคนทั่วไป

"มาแล้ว" ไม่รู้ว่าใครตะโกนขึ้นมาและสายตาของทุกคนก็จ้องไปไกล เฮลิคอปเตอร์ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าของเมือง A และบินมาทางโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว

"ทุกคนถอยไปที่บันไดก่อน" พ่อบ้านหวังพูดกับทุกคนในนั้น ลมของใบพัดนั้นแรงเกินไปและที่นี่ก็เป็นชั้นบนสุดซึ่งมีแนวโน้มที่จะเกิดอันตรายขึ้นได้

ทุกคนไปยืนด้านบนสุดของบันไดตามที่พ่อบ้านหวังพูดแต่สายตาของพวกเขาจับจ้องไปที่เฮลิคอปเตอร์

เฮลิคอปเตอร์เข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดเมื่อเฮลิคอปเตอร์ลงจอดที่ลานด้านบน ใบพัดก็ทำให้เกิดพายุขนาดใหญ่

เฮลิคอปเตอร์จอดสนิท พ่อบ้านหวัง คุณหมอหานและมู่เวยเวยวิ่งฝ่ากระแสลมเข้าไป เมื่อประตูเปิดออกใบหน้าที่กังวลของเสี่ยวฟางและอาหลงก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขา

มู่เวยเวยรู้ดีว่าเธอไม่สามารถช่วยอะไรได้ เพื่อไม่เพิ่มความวุ่นวาย เธอก็เลยยืนอยู่ด้านหลัวฝูงชน ดูพวกเขายกเย่ฉ่าวเฉินออกจากเครื่องบินและวางไว้บนเปลที่เตรียมไว้แล้ว

ท่ามกลางฝูงชน เธอยังคงมองเห็นเสื้อเชิ้ตสีขาวที่เปื้อนเลือดและใบหน้าซีดเซียวราวกับหิมะ หัวใจเหมือนถูกกุมไว้ด้วยสองมือทำให้เธอแทบจะหายใจไม่ออก

หมอหานหยิบเข็มที่เสี่ยวฟางส่งให้แล้วตามหมอและพยาบาลหลายคนไปที่ชั้นล่าง พ่อบ้านหวังวิ่งไปที่บันไดแล้วหันหน้าไปเห็นมู่เวยเวยที่ยืนอยู่ในพายุราวกับว่าเธอสูญเสียวิญญาณไปแล้ว ดวงตาของเธอนั้นว่างเปล่า

แล้ววิ่งกลับไปหาเธอพร้อมกับตะโกนเสียงดัง“ คุณฉู่ ไปกันเถอะ”

ในที่สุดมู่เวยเวยก็ได้สติขึ้นมาแล้ววิ่งไปที่บันไดพร้อมกับพ่อบ้านหวัง เมื่อเธอลงบันไดเธอก็ก้าวลงไปด้วยความไม่ระมัดระวัง โชคดีที่เหลือเพียงสองขั้นและทันใดนั้นข้อเท้าของเธอก็พลิก

"เป็นอย่างไรบ้าง?" พ่อบ้านหวังถาม

มู่เวยเวยอดทนกับความเจ็บปวดและส่ายหัว“ ไม่เป็นไร อาหวังไปดูแลเย่ฉ่าวเฉินก่อน เดี๋ยวฉันจะค่อยๆลงไป”

“ อยู่คนเดียวได้ใช่ไหม?”

"ไม่มีปัญหา คุณรีบไปเถอะ "

ตอนนี้ในใจของพ่อบ้านหวังเอาแต่กังวลเกี่ยวกับเย่ฉ่าวเฉิน เมื่อเห็นว่าเธอไม่เป็นไรมากจึงพูดว่า "ถ้าอย่างนั้นคุณค่อยๆเดิน ถ้าเห็นพยาบาลก็ให้เธอช่วยประคองคุณ"

"ฉันรู้แล้ว"

หลังจากที่พ่อบ้านหวังจากไป มู่เวยเวยก็พิงเข้ากับกำแพงแล้วหอบ อาการไม่ได้ร้ายแรงนักแต่มันก็เจ็บพอสมควร

เธอเดินลงไปทีละขั้นต้องใช้ความพยายามอย่างมากกว่าจะไปให้ถึงหน้าลิฟต์ ในตอนนี้เสื้อผ้าด้านหลังของเธอก็ชุ่มชื้นไปด้วยเหงื่อ

เธอขึ้นลิฟต์ไปชั้นห้องผ่าตัด บนเก้าอี้นั้นมีเพียงพ่อบ้านหวังที่นั่งอยู่คนเดียว เขาหลังแอ่นเล็กน้อย เมื่อมองไปไกลๆ เขาดูอ้างว้างและโดดเดี่ยว

เขาใช้เวลาทั้งหมดในชีวิตกับครอบครัวตระกูลเย่ ถ้าเย่ฉ่าวเฉินตาย เขาก็ไม่รู้ว่าควรจะไปไหนหรือควรทำอะไรต่อ

เสียงฝีเท้าของมู่เวยเวยปลุกความทรงจำของเขาให้ตื่นขึ้น เขาเดินไปที่มู่เวยเวย ประคองแขนของเธอให้นั่งลง เสียงของเขาแหบแห้งเล็กน้อย“ คุณฉู่ ยังเช้าเกินไปสำหรับการผ่าตัด หรือไม่คุณไปแผนกศัลยกรรมกระดูกก่อน ให้หมอจัดยาให้สักหน่อย "

"บาดเจ็บเล็กน้อยไม่เป็นไรหรอก ฉันนวดเองเดี๋ยวก็ดีขึ้น อาหวังคุณนั่งลงก่อนเถอะ"

ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บปวดทางร่างกายที่เข้ามาแทนที่ความเจ็บปวดในหัวใจหรือว่าความไว้วางใจที่มีต่อเย่ฉ่าวเฉินอย่างอธิบายไม่ได้ อารมณ์ความรู้สึกของมู่เว่ยเว่ยนั้นดีขึ้นมาก

“ อาหวัง หมอพูดอะไรตอนเข้าไปหรือเปล่า?”

พ่อบ้านหวังส่ายหัว "ไม่"

เวลาดูเหมือนจะหยุดนิ่งและผ่านไปช้ามาก

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว ในที่สุดประตูห้องผ่าตัดก็เปิดออก พ่อบ้านหวังรีบเดินเข้าไปถาม

แพทย์พูดอย่างใจเย็นว่า“ คุณเย่ได้รับบาดเจ็บจากกระสุนปืนที่ไหล่ แม้ว่าเขาจะได้รับการรักษาแต่ยาก็ยังคงอยู่และไม่เปลี่ยนตามเวลา บางส่วนมีอาการอักเสบ นอกจากนี้ยาที่ฉีดเข้าไปยังเข้าไปทำลายเส้นประสาท ตอนนี้หมอกำลังพยายามช่วยเขาอย่างเต็มที่ เรียนญาติทำใจล่วงหน้าเอาไว้”

พ่อบ้านหวังสะดุ้งในใจ“ ทำใจล่วงหน้าทำไม?”

"ผลที่ร้ายแรงที่สุดคือไอคิวของเย่ฉ่าวเฉินได้รับความเสียหายอย่างนัก ซึ่งเป็นสิ่งที่เรามักเรียกกันว่าภาวะสมองเสื่อม ถ้าไม่รุนแรงเขาจะตื่นขึ้นมาด้วยอาการโคม่าอย่างน้อยสองสามวัน"

"โรคสมองเสื่อม?" พ่อบ้านหวังทวนคำพูดด้วยความไม่เชื่อ "โรคสมองเสื่อม?"

"แน่นอนว่านี่เป็นผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด พวกเราจะพยายามอย่างเต็มที่"

มู่เวยเวยอึ้ง เย่ฉ่าวเฉินเป็นโรคสมองเสื่อม? จะเป็นไปได้อย่างไร? เขาคือเย่ฉ่าวเฉินนะ เย่ฉ่าวเฉินที่มีพลังเหนือธรรมชาติ นี้มันเรื่องตลกชัดๆ

พ่อบ้านหวังถอยกลับไปมาที่เก้าอี้และยิ้มอย่างเยาะเย้ย"คุณพระคุณเจ้า คนอย่างคุณชายถ้าคุณทำให้เขากลายเป็นคนแบบนั้น ฆ่าฉันเลยดีกว่า"

มู่เวยเวยเองก็คิดแบบนั้น แต่ก็ยังปลอบเขา“ อาหวัง คุณไม่ได้บอกว่าเย่ฉ่าวเฉินเป็นคนโชคดีเหรอ เขาทั้งฉลาดและมีความสามารถมากขนาดนั้น พระเจ้าไม่ปล่อยให้เขากลายเป็นคนแบบนั้นหรอก ไม่ต้องกังวล”

พ่อบ้านหวังถอนหายใจและไม่พูดอะไร

หลังกังวลขึ้นมู่เวยเวยก็เกิดความสงสัยขึ้นในใจ คนพวกนั้นได้แผนที่สมบัติแล้ว ทำไมพวกเขาถึงยังมารบกวนเย่ฉ่าวเฉินแถมยังฉีดยาใส่เขาอีก? ถ้าอยากให้เขาตายก็สามารถยิงเขาได้เลย ทำไมต้องทำอะไรที่มันซับซ้อนแบบนี้?

สองวนที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ดูเหมือนจะทำได้แค่รอให้เย่ฉ่าวเฉินฟื้นขึ้นมา

พระอาทิตย์ค่อยๆตกดิน เมื่อตกดึกไฟในห้องผ่าตัดก็หรี่ลง แต่มู่เวยเวยรู้สึกขาของเธอแทบชาไปหมด

คุณหมอหานเดินออกมาอย่างหมดแรง เขาถอดหน้ากากออกและพูดว่า "การผ่าตัดถือว่าเป็นไปได้ด้วยดี แต่ปริมาณเส้นประสาทของเขาที่เสียหายไปมากแค่ไหนเรายังไม่ทราบ เราต้องรอให้เขาฟื้นและสังเกตการณ์อีกที"

"แล้วคุณชายล่ะ?" พ่อบ้านหวังถาม

"ได้รับการย้ายไปยังห้องไอซียูแล้ว หากไม่มีอาการใดๆเช่นมีไข้หรือความดันโลหิต ภายในสิบสองชั่วโมงก็สามารถย้ายไปห้องผู้ป่วยทั่วไปได้"

"แล้วเราต้องทำอะไรบ้าง?"

"มีเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ประจำอยู่ในห้องไอซียู เพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อข้ามสายพันธุ์ พวกคุณไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปข้างในได้" คุณหมอหานมองไปที่มู่เวยเวยแล้วกล่าวว่า "คุณกับคุณฉู่กลับไปก่อนเถอะ ค่อยมาพรุ่งนี้เช้า ที่นี้มีผมดูอยู่ "

พ่อบ้านหวังไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน“ คุณฉู่กลับไปเถอะ เด็กผู้หญิงอยู่ในโรงพยาบาลไม่สะดวก ส่วนผมไม่กลับไปแล้วแหละ ถึงกลับไปก็นอนไม่หลับอยู่ดีสู้ดูเขาอยู่ที่นี้ดีกว่า”

มู่เวยเวยอยากอยู่ด้วย แต่คืนนี้ถึงเวลาที่ต้องถอดหน้ากากเธอจึงจำเป็นต้องกลับไป

“ งั้นฉันกลับไปก่อนนะ จะได้ทายาบริเวณเท้าด้วยพรุ่งนี้เช้าค่อยกลับมาใหม่”

หมอหานได้ยินเธอพูดแบบนี้ เขาก็ถามด้วยความประหลาดใจว่า "คุณเป็นอะไรไป?"

มู่เวยเวยยิ้มอย่างเชื่องช้า "เมื่อกี้ตอนฉันเดินลงบันไดบังเอิญข้อเท้าพลิก"

คุณหมอหานนั่งยองๆและดู“ ไม่ได้เป็นอะไรมาก กลับไปประคบเย็นสักหน่อย ในบ้านตระกูลเย่น่าจะมียาแก้ฟกช้ำอยู่ ลองถามฉินหม่าแล้วเอายาทา พักผ่อนสักคืนก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้ว แต่สองสามวันนี้คุณต้องระวังอย่าใส่ส้นสูง เวลาเดินก็เดินช้าๆ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ