เกาะเล็กๆแห่งหนึ่งในมหาสมุทรแปซิฟิก
ชายหนุ่มรูปหล่อนั่งอยู่บนโซฟาสุดหรูกำลังเล่นกับเด็กทารกในรถเข็นเด็ก ทันใดนั้นก็มีสาวสวยเดินเข้ามา
“เจ้านาย ดูเหมือนว่าช่วงนี้ข้างนอกจะวุ่นวาย”
สายตาของชายคนนั้นยิ้ม เขาถามขึ้นโดยไม่เงยหน้าว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น ?”
“มีคนกำลังสอบสวนจางเหิง”หญิงสาวกล่าวอย่างเย็นชา
“ใครล่ะ ?”
“คุณชายสี่ตระกูลเซี่ย”
ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นมา รอยยิ้มบนใบหน้าจางหายไป “เซี่ยเซียว ? เขากำลังตรวจสอบว่าจางเหิงทำอะไร ?”
“ดูเหมือนว่าเขาจะรู้อะไรเกี่ยวกับแผนที่ขุมทรัพย์ อยากติดต่อคุณผ่านจางเหิง”
ใบหน้าของชายคนนั้นมืดมนลง และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า ข่าวแพร่กระจายไปเร็วจัง แต่ใครเป็นคนปล่อยข่าวกัน ? คนที่รู้เรื่องนี้ก็มีไม่มากนี่นา
“เจ้านาย ตอนนี้ควรทำยังไงดี ?”
กลัวอะไร ? หรือว่าฉันยังต้องกลัวเซี่ยเซียว ? อยากได้แผนที่ขุมทรัพย์ ถ้างั้นก็ต้องดูว่าเขามีความสามารถหรือไม่ หลังจากชายคนนั้นพูดจบ ก็ลดสายตาลงไปมองร่างเด็กน้อย
ดูเหมือนว่าเขาจะต้องเร่งมู่เวยเวยแล้ว ทางที่ดีต้องรีบเอาแผนที่ขุมทรัพย์มาในตอนที่เซี่ยเซียวยังไม่มาหา ถึงแม้ว่าเขาจะไม่กลัวเซี่ยเซียว แต่ก็ไม่อยากเป็นศัตรู
ณ เมือง A
ในตอนที่มู่เวยเวยเดินออกมาจากห้องอาบน้ำ ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เมื่อวิ่งไปดูก็พบว่าเป็นชายหน้ากากเงิน
เมื่อทำใจให้สงบลงแล้ว มู่เวยเวยก็กดรับโทรศัพท์ “ฮัลโหล ?”
คุณมู่ เมื่อไหร่คุณจะทำภารกิจเสร็จ ? ชายคนนั้นถามด้วยน้ำเสียงโกรธที่หาได้ยาก เพราะที่ผ่านมาเขามักจะยิ้มเยาะอย่างช้าๆ
มู่เวยเวยพูดด้วยเสียงที่เรียบสงบ “ยังเหลือเวลาอีกสองตั้งสองเดือนไม่ใช่เหรอ ?”
“ได้ สองเดือน ถ้ากล้าเลื่อนแม้แต่วันเดียว ชั่วชีวิตนี้คุณก็อย่าหวังว่าจะได้เห็นลูกชายคุณอีกเลย”
มู่เวยเวยได้ยินว่าเขาจะวางสาย จึงรีบพูดขึ้นว่า “รอเดี๋ยว ฉันต้องการเห็นหน้าลูกฉัน”
“หึ อยากเห็นหน้าลูกก็รีบเอาของที่ฉันต้องการมา”ชายคนนั้นอารมณ์เสีย และแน่นอนว่าเขาไม่ยอมรับเงื่อนไขของเธอ ไม่รอเธอพูดอะไร เขาก็กดวางสายไป
มู่เวยเวยจ้องมองไปที่โทรศัพท์ และโทรออกไปด้วยความไม่พอใจ แต่โทรศัพท์ฝ่ายนั้นปิดไปแล้ว
ไอ่เลว !ไอ่ตัวร้าย !
มู่เวยเวยตัวสั่นไปด้วยความโกรธ กัดฟันและเดินไปที่ห้องหนังสือของเย่ฉ่าวเฉิน และผลักประตูออก
“มีอะไรเหรอ ?” เย่ฉ่าวเฉินตกใจเธอ และวางเอกสารในมือลง
มู่เวยเวยสูดหายใจเข้าลึกๆและพูดว่า “ไอ่เลวนั่นเพิ่งโทรศัพท์มาหาฉัน ด้วยอารมณ์ไม่ดี ฉันขอเจอหน้าลูกก็ถูกเขาปฎิเสธ”
เย่ฉ่าวเฉินตระหนักถึงคำพูดของมู่เวยเวยว่าใครคือ “ไอ่เลว” และลุกขึ้นมาปลอบเธอ “เขาอาจจะรู้ว่าคุณชายสี่ของตระกูลเซี่ยกำลังหาเขา ดังนั้นจึงรู้สึกโกรธขึ้นมา”
“เขาจะทำร้ายลูกรึเปล่า ?”มู่เวยเวยขมวดคิ้วแน่นและถามด้วยความเป็นห่วง
เย่ฉ่าวเฉินไม่กล้าสะกิดเธอ จึงพูดเบาๆว่า “นี่มันทั้งน่ากลัวและเลวทราม แต่ข้อดีเดียวของเขาก็คือการรักษาสัญญา ภายในระยะเวลาครึ่งปีนี้เขาจะไม่แตะต้องเด็ก”
มู่เวยเวยรู้ลึกโล่งใจลง และพึมพำว่า “พระเจ้าช่วยอวยพรด้วย ขอให้เขารักษาความดีนี้ไว้”
เย่ฉ่าวเฉินแตะไหล่ของเธอและพูดว่า “เมื่อครู่ผมก็ได้รับข่าวมา คนของผมเข้าไปในตระกูลเซี่ยแล้ว และไม่กี่วันมานี้คนนามสกุลเซี่ยกำลังตามหาจางเหิง ถ้าหากทางนั้นมีข้อมูลเมื่อไหร่ ผมจะรีบไปทันที”
“ถ้างั้นก็ดี มู่เวยเวยสงบลงอย่างมาก เธอก้มศีรษะลงและพบว่าตัวเองอยู่ในชุดนอน ผมก็ยังไม่ได้เป่า สวมรองเท้าแตะรีบวิ่งมาเลย เธอพูดอย่างเขินอายว่า คุณทำงานเถอะ ฉันกลับล่ะ ”
เย่ฉ่าวเฉินไม่ได้รั้งเธอไว้ เพราะเขายังมีการประชุมผ่านวิดิโอรออยู่
มู่เวยเวยเดินไปถึงประตู ทันใดนั้นก็คิกเรื่องอะไรขึ้นได้ จึงหยุดและถามเขา “องค์กรของคุณเก็บไพลินสีน้ำเงินไว้ตลอดเลยเหรอ ?”
เย่ฉ่าวเฉินยิ้มและพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “แน่นอนว่าไม่ใช่ ในตอนแรกใส่แผนที่ขุมทรัพย์ไว้ หลังจากฉู่ซวนเข้ามา ผมถึงเปลี่ยน”
“ถ้างั้นหลังจากนั้นคุณเอาแผนที่สมบัติไปไว้ที่ไหน ?”
“ตู้เซฟ”
“เชี่ย” มู่เวยเวยอดไม่ได้ระเบิดออกมา ต่อมาเธอได้หาในตระกูลเย่หลายรอบ แต่ก็ไม่ได้ไปหาที่ตู้เซฟนิรภัย “เย่ฉ่าวเฉิน คุณนี่เจ้าเล่ห์จริงๆ”
เย่ฉ่าวเฉินไม่พูดอะไร สีหน้าแสดงรอยยิ้มที่ลึกซึ้ง “ถ้าหากว่าไม่ทำแบบนี้ คุณคงหนีไปพร้อมกับแผนที่ขุมทรัพย์ แล้วผมจะไปตามหาคุณจากที่ไหน ?”
มู่เวยเวยไม่พูดอะไร เปิดประตูและเดินออกไป
เขาไม่ใช่หมาป่า เป็นเพียงแค่จิ้งจอกแก่ แต่ตอนนี้ไม่มีวิธีใดแล้ว นอกจากพึ่งพาเขา หวังว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามที่เย่ฉ่าวเฉินพูด หาลูกชายให้พบอย่างปลอดภัย
……
เช้าตรู่
มู่เวยเวยเอนตัวขึ้นพิงหัวเตียงด้วยความงุนงง ไม่ขยับเป็นเวลานาน
เย่ฉ่าวเฉินล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ ก็เห็นเธอยังคงอยู่ท่าเดิมตาของเธอลอย เขาจึงถามด้วยความเป็นห่วง “คุณเป็นอะไร ? อยู่ท่าเดิมตั้งแต่ตื่นนอนจนถึงตอนนี้ เมื่อคืนฝันถึงอะไรรึเปล่า ?”
มู่เวยเวยมีสติอีกครั้ง เสียงของเธอแหบแห้งเล็กน้อย “ฝันถึงคุณพ่อคุณแม่”
เธอไม่ได้ฝันถึงคุณพ่อคุณแม่มานานมากแล้ว จู่ๆเมื่อคืนก็ฝันถึงเรื่องราวสมัยเด็ก คุณแม่พาเธอไปเรียนเต้นรำ คุณพ่อก็ซื้อตุ๊กตาหมีพูห์ตัวโปรดให้เธอ ในทุกฉากเหมือนเรื่องจริงราวกับเธอเจอประสบกาณณ์อีกครั้ง แต่ที่น่าแปลกก็คือ เธอไม่ฝันถึงพี่ชายเธอ
หรือว่า....พี่ชายยังไม่ตาย ?
เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัว ทันทีที่ผุดขึ้นในใจของมู่เวยเวย พี่ชายเธอจะยังมีชีวิตอยู่จริงเหรอ ? แต่ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ ทำไมถึงไม่กลับมาหาเธอล่ะ ?
เย่ฉ่าวเฉินดูสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่รู้ว่าในหัวเธอกำลังคิดอะไรอยู่ จึงพูดขัดจังหวะขึ้นมาว่า “ดูเหมือนคุณคิดถึงพวกท่าน ถ้างั้นวันนี้พวกเราไปเยี่ยมพวกท่านกัน”
คำพูดของเย่ฉ่าวเฉินความคิดของมู่เวยเวยให้กลับมา เธอคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาเลื่อนดูวันที่วันนี้ และพูดอย่างงงๆว่า “พรุ่งนี้เป็นวันครบรอบวันตายของพวกท่าน ฉันลืมไปเลย ไม่แปลกใจเลย.....ไม่แปลกใจเลยว่าฉันฝันถึงพวกเขา ไม่แปลกเลย.....”
เย่ฉ่าวเฉินนั่งอยู่ขอบเตียงและโอบไหล่เธอไว้ “ไม่โทษคุณ เพียงแค่ช่วงนี้คุณยุ่งมาก ถึงลืมวันครบรอบ”
มู่เวยเวยยกมือไปสัมผัสใบหน้าของตัวเอง “ฉันไม่อยากใช้ใบหน้านี้ไปพบพวกท่าน ฉันกลัวว่าพวกท่านจะไม่รู้จักฉัน”
“พรุ่งนี้ผมจะไปกับคุณ ใช้รูปร่างของคุณนี่แหล่ะ ไม่มีใครรู้หรอก” ตั้งแต่แต่งงานจนถึงตอนนี้ เขายังไม่ได้ไปไหว้พ่อตาแม่ยายเลย ตอนแรกก็ดูแคลน หลังจากนั้นก็ไม่มีโอกาศ ครั้งนี้ควรไปไหว้สวัสดีทักทาย
“อืม”
วันรุ่งขึ้น ท้องฟ้ามืดครึ้มเหมือนกับฝนจะตกได้ทุกเวลา มู่เวยเวยตื่นมาแต่เช้า แต่งตัวเรียบๆและสวมรองเท้าส้นแบนสีขาว
เมื่อมองไปที่ใบหน้าที่ไม่มีอะไรกีดขวางในกระจก มู่เวยเวยก็รู้สึกกลัวเล็กน้อย ปรากฎว่าเธอใส่หน้ากากเป็นเวลานานจนกลายเป็นนิสัยไปแล้ว และอารมณ์ทั้งหมดก็สามารถซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากนี้ได้
เย่ฉ่าวเฉินเคาะประตู “ไปกันเถอะ”
มู่เวยเวยสวมแว่นกันแดดกับหมวกใบใหญ่ ซ่อนใบหน้าทั้งหมดของเธอไว้ในเงา ถึงเดินลงไปด้วยความมั่นใจ
จางเห่อเป็นคนขับรถ
“เดี๋ยวไปแวะเอาดอกไม้ที่ร้านดอกไม้ก่อน ของอย่างอื่นผมเตรียมไว้ที่ท้ายรถแล้ว” เย่ฉ่าวเฉินบอก
มู่เวยเวยพูดเบาๆว่า “อืม”และก็หันออกไปมองนอกหน้าต่างด้วยอารมณ์ที่หดหู่
เย่ฉ่าวเฉินไม่รู้ว่าจะพูดอะไร อยากจะจับมือของเธอ แต่ก็ถูกมู่เวยเวยหลีกเลี่ยงอย่างเงียบๆ
ในวันแบบนี้ เธอคงจะคิดถึงมู่เทียนเย่ เย่ฉ่าวเฉินจึงตัดสินใจว่ายังไม่ควรไปยุ่งกับเธอ
เมื่อรถมาจอดอยู่ที่หน้าร้านดอกไม้ เย่ฉ่าวเฉินก็ลงไปเอาดอกไม้ด้วยตัวเอง เมื่อกลับมาเขาถือดอกคาร์เนชั่นช่อใหญ่และดอกเดซี่ช่อใหญ่
เอาดอกไม้วางไว้ที่นั่งข้างคนขับ และรถก็มุ่งหน้าขับไปยังสุสาน
เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ในที่สุดก็มาถึงที่หมาย
เย่ฉ่าวเฉินยกกล่องไม้จากท้ายรถออกมา จางเห่อเอื้อมมือมาจะหยิบไป เขาพูดขึ้นว่า “ไม่ต้อง คุณรออยู่ที่นี่”
ลมพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ มู่เวยเวยถือดอกคาร์เนชั่นค่อยๆเดินไป ลมร้อนพัดผมยาวของเธอ ทั้งสวยงามและปนความเศร้า
เมื่อถึงหลุมฝังศพของพ่อแม่เธอ มู่เวยเวยก็วางดอกคาร์เนชั่นไว้ที่สุสาน และพูดขึ้นว่า “คุณพ่อ ฉันมาหาคุณแล้ว”
เย่ฉ่าวเฉินคุกเข่าลงข้างๆเธออย่างมีสติ เขาหยิบกระถางธูป ธูป เทียนสีขาว และไวน์ขวดเล็กออกมา
เขาจุดไฟอย่างจริงจังและไม่รีบร้อน จากนั้นก็จุดธูปสามดอก
ในที่สุดก็ปิดฝากระถางธูป รินไวน์ลงพื้น และพูดอย่างสงบว่า “ไม่รู้ว่าคุณจะรู้จักลูกเขยคนนี้ไหม แต่วันนี้ผมอยากบอกว่า คุณพ่อครับ หลังจากวันนี้ ผมจะดูแลเวยเวยเป็นอย่างดี จะให้เธอไม่ต้องเจอกับความเจ็บปวดจากเรื่องร้ายและโรคภัยต่างๆ ขอให้คุณโปรดวางใจ” เมื่อพูดจบ เขาก็ก้มศีรษะลง
มู่เวยเวยเฝ้าดูการกระทำของเขาอย่างเงียบๆ มีความสะเทือนและอึดอัดอยู่ภายในใจ
ในความเป็นจริง เย่ฉ่าวเฉินก็ไม่รู้ว่าจะมีวันที่เขาจะทำอย่างนี้ เมื่อก่อนเขาเคยยิ่งยโสแค่ไหน ตอนนี้เขาถ่อมตัวลงมาก เพียงเพื่อที่จะได้รับความรักจากเธอ
หลังจากก้มศีรษะเสร็จ เย่ฉ่าวเฉินก็เดินมาที่สุสานของแม่มู่เยเวย และวางดอกเดซี่ลง จุดธูป และหยิบขนมที่ละเอียดอ่อนออกมาจากกล่องไม้
“คุณแม่ ผมขออนุญาติเรียกคุณว่าคุณแม่ ผมไม่รู้ว่าคุณชอบทานอะไร แต่มู่เวยเวยชอบของหวาน ผมคิดว่าคุณก็คงจะชอบเหมือนกัน ก่อนอื่นผมต้องขอโทษด้วย ผมทำผิดกับลูกสาวสุดที่รักของคุณไปมาก แต่นับตั้งแต่วันนี้ ผมจะรักเธอเหมือนกับที่คุณรัก และจะไม่ปล่อยให้เธอต้องทนทุกข์ทรมาน คุณอวยพรให้เธอปลอดภัยอยู่บนฟ้า ”เมื่อพูดจบ ก็ก้มศีรษะลง เช่นเดียวกับมู่เวยเวยที่รู้สึกหนักใจก็ดีขึ้นมากในเวลานี้
เย่ฉ่าวเฉินหันศีรษะมองไปที่มู่เวยเวยสักพัก ลุกขึ้นและพูดกับเธอว่า “คุณคงจะมีเรื่องที่จะพูดกับพ่อแม่ ถ้างั้นผมไม่รบกวนแล้ว ผมจะรอคุณอยู่ที่ข้างถนน”
มู่เวยเวยพยักหน้า
ลมแรงขึ้นเรื่อยๆ เมฆพัดมาทางทิศตะวันออกเป็นคลื่นๆ เย่ฉ่าวเฉินยืนจุดบุหรี่อยู่ข้างทาง และมองไปที่ร่างบางที่คุกเข่าอยู่ไกลๆ
เขาไม่ได้ยินว่าเธอพูดอะไร แต่เห็นไหล่ของเธอเริ่มสั่นแรงขึ้น และน้ำตาก็ไหลหยดลงพื้น......
เขาหยิบบุหรี่ขึ่นมา ในใจก็รู้สึกอึดอัด
ถ้าหากเขารู้ว่าวันหนึ่งเขาจะรักผู้หญิงคนนี้มากขนาดนี้ เขาจะปฎิบัติต่อเธออย่างดีตั้งแต่แรกพบ
แต่น่าเสียดาย ที่โลกนี้ไม่มีคำว่าถ้าหาก เขาต้องแบกรับผลกรรมอันข่มขื่นที่เขาได้ก่อขึ้นเอง ดังนั้น ไม่ว่าทัศนคติของมู่เวยเวยที่มีต่อเขาจะแย่แค่ไหน เขาก็ต้องยอมรับมัน
เสียงร้องไห้ของหญิงสาวพร้อมกับเสียงสายลมดังเข้าหูของเขา เย่ฉ๋าวเฉินรู้สึกว่าใจของเขากำลังจะแตกสลาย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ
ขอบคุณแอดค่ะ...สนุกค่ะ......
สนุก...