“ไม่ต้องเกรงใจ แค่นี้เพียงเล็กน้อย”แววตาของยามากูชิ ฮิเดโกะเป็นประกายเต็มไปด้วยความชื่นชม และไม่รู้จะพูดอะไรต่อ เธอจึงพูดขึ้นว่า “หลังจากกลับประเทศ ฉันจะไปเที่ยวที่โตเกียวพอดี ถึงเวลานั้นแล้วฉันจะเป็นคนเลี้ยงข้าวคุณตกลงไหม?”
เย่ฉ่าวเฉินยิ้มอ่อนๆ“แบบนี้กลัวว่าจะไม่ได้”
“ทำไมล่ะ?” ยามากูชิ ฮิเดโกะมีท่าทางประหลาดใจ
เย่ฉ่าวเฉินแสยะยิ้มที่มุมปากรอยยิ้มของเขาสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยน “ภรรยาของผมไม่อนุญาตให้ผมไปทานอาหารโดยลำพังกับผู้หญิงคนอื่น”
ยามากูชิ ฮิเดโกะชะงักไปพักหนึ่งและจึงดึงดันถามต่อว่า“คุณแต่งงานแล้วหรือ?”
“ถูกต้อง ตอนนี้ลูกชายของผมอายุจะหนึ่งขวบแล้ว ”แม้ว่าจะยังไม่เคยเห็นหน้าของเขา
ทันใดนั้นยามากูชิ ฮิเดโกะก็รู้สึกหดหู่ใจขึ้นมาสึก เรื่องที่คุยกันด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่ตื่นเต้นเมื่อกี้กลับสลายหายไป น้ำเสียงของเธอเก็บเอาความรู้สึกหดหู่ใจไม่อยู่ “ลูกของคุณต้องน่ารักมากๆแน่ ขอโทษค่ะ ฉันขออนุญาตไปเข้าห้องน้ำก่อน”
เย่ฉ่าวเฉินก้มศีรษะลงอย่างมีมารยาท รอให้ ยามากูชิ ฮิเดโกะค่อยๆเดินห่างออกไป จากนั้นใบหน้าของเขาก็กลับมาสู่ความเยือกเย็น
เหยี่ยวราตรีที่นั่งอยู่ทางด้านข้างแอบชื่นชมเขาอยู่ภายในใจ เจ้านายนี่เป็นคนที่เยี่ยมยอดจริงๆ สีหน้าท่าทางที่หนักแน่นทำให้คนเลื่อมใสศรัทธา หากว่าเป็นเขา เกิดสถานการณ์แบบบนี้ขึ้นก็ไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไร อาจจะเป็นเพราะตัวเขามีประสบการณ์น้อยเกินไปก็ได้
เมือง A
เย่ฉ่าวเฉินไม่อยู่ที่นี่สองสามวัน มู่เวยเวยใช้ชีวิตอย่างสงบ ตอนกลางวันมีเวลาก็จะโทรให้ฉู่เซวียนมาทานอาหารด้วยกัน
“ได้ยินมาว่าเย่ฉ่าวเฉินไปต่างประเทศแล้ว?”ฉู่เซวียนถามออกมาอย่างเรื่อยเปื่อย
“อือ เขาไปอเมริกาเพื่อทำการเจรจาการค้าบางอย่าง แต่ไม่รู้ว่าคืออะไร เขาไม่ได้บอกและฉันก็ไม่ได้ถาม ”มู่เวยเวยพูดด้วยท่าทีที่ปกติ ครั้งนี้ตอนที่เย่ฉ่าวเฉินจะไปได้พูดตกลงกันไว้ว่าจะพูดโกหกแบบเดียวกัน
ฉู่เซวียนเหลือบมองไปที่เธอหนึ่งครั้ง “เธอแน่ใจว่าเขาเอาของที่เหลือส่วนหนึ่งไปเก็บไว้ที่บริษัทจินตุ้นแล้วใช่ไหม?”
“ใช่บริษัทนั้น”มู่เวยเวยพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจ
ฉู่เซวียนคิดทบทวนอยู่สักพักและพูดขึ้นว่า“ให้เย่ฉ่าวเฉินเป็นคนพวกเราไปคงเป็นไปไม่ได้แน่ เธอลองคิดหาวิธีให้เขาบอกรหัสของห้องคลังที่เก็บของนั้นออกมา และพวกเราจะหาคนให้เข้าไป”
มู่เวยเวยใจเต้นตึกตัก แค่นี้ก็ได้ทำได้แล้วหรอ?
“นายจะหาคนแบบไหน?ฉันได้ยินมาว่าห้องห้องคลังนั้นมีระบบรักษาความปลอดภัยค่อนข้างแน่นหนา แบบนี้จะทำสำเร็จได้หรอ?”
ฉู่เซวียนยิ้มอ่อน “สำเร็จไม่สำเร็จถ้าไม่ลองใครจะไปรู้ล่ะ?”
“วิธีนี้เป็นวิธีที่ดี ฉันจะพยายามถามรหัสของตู้เซฟนั้นมาให้ได้”มู่เวยเวยเสแสร้งพูดชื่นชม“ฉันพึ่งจะเข้าใจคำว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคนที่เก่งกว่าก็วันนี้ ห้องคลังก็ยังสามารถที่จะขโมยได้ แล้วจะเป็นคนของนายหรือเขาที่จะขโมยได้?”
ฉู่เซวียนไม่สงสัยเธอเลยแม้แต่น้อยแถมยังยิ้มพร้อมกับดื่มชามะนาวและพูดขึ้นว่า“ฉันเป็นนักธุรกิจที่จริงจัง เรื่องพวกชกชิงทรัพย์ ลักพาตัววิธีพวกนี้แน่นอนว่ามีแค่เขาที่ใช้”
“พูดแล้วก็คือ นายกับคนๆนั้นก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันใช่ไหม”มู่เวยเวยพูดเสียดสีเขาเล็กน้อย
ฉู่เซวียนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่และไม่พูดอะไร
มู่เวยเวยรู้สึกไม่สบายใจ จึงถามต่อไปว่า“ฉันมีเรื่องสงสัยจริงๆ นาย ฉู่เซวียนลูกชายคนโตของตระกูลฉู่เป็นคนที่มีอิทธิพลและเป็นคนใหญ่คนโตของฮ่องกง อยากได้อะไรก็ได้ ทำไมถึงได้เข้ามาร่วมทำเรื่องเลวๆแบบนี้ล่ะ?”
ฉู่เซวียนมองเธอแล้วรู้สึกว่าเธอทำไมชั่งใสซื่อแบบนี้ อดที่จะตอบคำถามไม่ได้แม้ว่าจะรู้สึกเหนื่อยใจ“เรื่องนี้มีอะไรที่ยังไม่เข้าใจ หรือเธอไม่รู้ว่าสำหรับเรื่องทรัพท์สินเงินทองแล้วความต้องการของคนมันไม่มีคำว่าพอหรอก ?เงินจำนวนน้อยก็ไม่มีใครรู้สึกรังเกลียดหรอก”
มู่เวยเวยอยากจะด่าเขาออกมาสักประโยค เพื่อให้ได้ในสิ่งที่นายต้องการ ต้องทำถึงขนาดลักพาตัวลูกของฉันไป?เธออดทนแล้วอดทนอีกที่จะไม่พูดออกไป
“ที่นายช่วยเขา นายไม่กลัวว่าสุดท้ายชายคนนั้นจะเอาทรัพทย์สมบัติทั้งหมดไปโดยที่ไม่เหลือให้นายแม้แต่บาทเดียวหรอ?”
“เป็นไปไม่ได้”ฉู่เซวียนยืนยันด้วยความมั่นใจ
มู่เวยเวยพูดหว่านล้อมเขาอย่างระมัดระวัง“มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้บ้าง?เมื่อกี้นายก็พูดเองแล้วว่า เรื่องทรัพทย์สินเงินทองสำหรับความต้องการของคนมันไม่มีคำว่าพอ”
“ฉันเชื่อเขา ”ฉู่เซวียนพูดขึ้นนอย่างมั่นใจ
มู่เวยเวยรู้สึกประหลาดใจ นึกไม่ถึงว่าเขาจะเชื่อใจคนๆนี้ได้มาขนาดนี้ ในสมองคิดอะไรขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน ใช้สายตาเจ้าเล่ห์มองไปที่เขา จากนั้นก็ถามแนวหยั่งเชิงว่า“ฉู่เซวียน นายกับเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์แบบเพื่อนธรรมดาๆใช่ไหม”
ฉู่เซวียนเงยหน้าขึ้นและมองตาขวางไปที่เธอ โดยไม่พูดอะไร
“จริงไหม?จริงไหม?”มู่เวยเวยถามด้วยความตื่นเต้น
เรื่องส่วนตัวถูกคนมาสอดแนม ฉู่เซวียนรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เขาคีบเต้าหู้หมาล่าหนึ่งชิ้นลงไปในถ้วยให้เธอ และพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า“วันนี้เธอพูดมากเกินไปแล้ว”
มู่เวยเวยดูเหมือนว่าจะพบเบาะแสใหม่ที่สำคัญ ในใจของเธอคิดถึงแต่เรื่องเมื่อกี้ที่เขามีทีท่าแปลก และไม่ทันระวังเธอคีบเอาเต้าหู้หมาล่าชิ้นนั้นวางเข้าไปในปาก ความเผ็ดร้อนเมื่อถูกลิ้นก็ละลายออกมาทันที ทำให้เธอมีสติกลับมาได้
“โอ้ย เผ็ดจังๆ”หู่เวยเวย ฮู่ฮู่ด้วยความเผ็ด เธอดืมน้ำเขาไปแก้วใหญ่ รอให้ความเผ็ดในปากลดลง เธอจึงได้ต่อว่าฉู่เซวียน“ทำไมนายถึงได้เป็นคนที่น่ารังเกลียดแบบนี้ ทั้งที่รู้ว่าฉันทานเผ็ดไม่ได้ ยังจะคีบเต้าหู้หมาล่ามาให้ฉันอีก?”
ฉู่เซวียนหัวเราะอย่างสะใจ“ใครให้เธออยากรู้อยากเห็นเรื่องของคนอื่นถามนั่นถามนี่เยอะแยะล่ะ ทำเรื่องของตัวเองให้ดีเถอะ”
มู่เวยเวยถลึงตาโตโตให้เขาหนึ่งที “ฉันก็ไม่ได้ดูถูกพวกนายซะหน่อย”
“เธอยังจะพูดอีก?”ฉู่เซวียนทำหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา“ถ้ายังพูดอีกประโยค เชื่อไม่เชื่อว่าฉันจะเอาเต้าหู้ทั้งจานยัดเข้าไปในปากของเธอ”
มู่เวยเวยรีบทำท่ารูดซิบปาก จากนั้นก็ก้มหน้าทานอาหาร
วันนี้เกิดทายเรื่องสำคัญได้ด้วยความบังเอิญ เธอต้องการที่จะพูดคุยแบ่งปันเรื่องนี้ให้กับเย่ฉ่าวเฉินฟัง
หลังจากที่ได้พูดคุยกับฉู่เซวียน มู่เวยเวยต้องการที่จะไปเย่ฮวางกรุ๊ป เพราะห่างจากบ้านไม่ไกล ถือว่าเธอเดินเพื่อเป็นการย่อยอาหาร
เธอหยิบโทรศัพท์ออกมาและรีบส่งข้อความไปให้เย่ฉ่าวเฉิน
กำลังยุ่งอยู่ไหม?มีข่าวสำคัญมากๆ
ผลปรากฎว่าข้อความฉบับนั้นก็หายไปในทะเล ไม่มีการตอบกลับมาเป็นระยะเวลานาน มู่เวยเวยคิด หรือว่าบางครั้งเขาอาจกำลังยุ่งอยู่ แต่เธอไม่รู้ว่าเวลานี้เย่ฉ่าวเฉินได้นั่งอยู่บนเครื่องบินแล้ว และเครื่องบินกำลังทำการบินผ่านมหาสมุทรแปซิฟิก
ตอนเครื่องลงจอดที่สนามของบินเมืองA ก็เป็นเวลาดึกแล้ว
ตอนแรกก็คิดจะพักแถวๆสนามบินสักคืน พรุ่งนี้จะบอกให้รถที่บ้านมารับ แต่เมื่อเปิดเครื่องโทรศัพท์เห็นมู่เวยเวยส่งข้อความมา แม้แต่วินาทีเดียวเขาก็ทนรอไม่ได้ เขาจึงเรียกรถแท็กซี่จากด้านนอกสนามบินกลับบ้าน
ตลอดทาง เย่ฉ่าวเฉินนั่งคิดว่าเธอได้เบาะแสอะไรมา นึกไม่ถึงว่าเธอจะส่งข้อความว่าข่าวสำคัญมาให้เขา
คนขับแท็กซี่ได้ยินสถานที่ที่เขาบอก เขามองเห็นรายละเอียดๆผ่านกระจกและพิจารณาดูสักพัก เพื่อเป็นการฆ่าเวลาไปในตัว จึงได้เปิดปากถามเขา “คุณคือเย่ฉ่าวเฉิน คุณเย่หรือเปล่า”
เย่ฉ่าวเฉินเงยหน้าขึ้นชำเลืองตามองไปที่คนขับรถและพูดเสียง“อืม”ขึ้นมา
คนขับรถพูดขึ้นอย่างตื่นเต้นว่า “เป็นคุณจริงๆหรอนี่”
“คุณรู้จักผม?”กำลังรู้สึกน่าเบื่ออยู่พอดี เย่ฉ่าวเฉินพูดคุยกับพี่คนขับรถ
“ไม่กี่วันที่ผ่านมาเกิดแผ่นดินไหว ในข่าวรายงานว่าคุณได้ทำการบริจาคข้าวของสิ่งจำเป็นให้ผู้ประสบภัย ผมก็เลยจำคุณได้ ตอนนี้ในสังคม หาคนที่มีเงินและน้ำใจงดงามอย่างคุณได้ไม่มากแล้ว ”คนขับรถพูดขึ้น เย่ฉ่าวเฉินยังไม่ทันได้พูดตอบโต้ เขาก็พูดของเขาไปต่อคนเดียว แผ่นดินไหวครั้งนี้เขตไหนได้รับผลกระทบที่รุนแรงที่สุด ที่ไหนตึกถล่มมากสุดและอื่นๆ รู้สึกว่าไม่มีเรื่องไหนที่พี่คนขับรถไม่รู้
เย่ฉ่าวเฉินไม่ได้มีการพูดตัดบท คิดซะว่าให้เขาเก็บเป็นความประทับใจเอาไว้ ถ้าหากบอกเขาว่า เรื่องที่กล่าวมาขั้นต้นแท้จริงตัวเขาทำเพราะมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้รับงานในหลายๆโครงการและให้ได้รับการระดมเงินทุน ไม่แน่ว่าคนขับรถอาจจะไม่พอใจโยนเขาลงกลางทางก็ได้
คนขับรถพูดไปหยุดตลอดทาง เขามาส่งเย่ฉ่าวเฉินถึงประตูหน้าคฤหาสน์ และยังแสดงท่าทีกล้าได้กล้าเสียที่จะไม่รับเงินของเขา
แน่นอนว่าเย่ฉ่าวเฉินไม่เห็นแก่ผลประโยชน์เล็กๆน้อยๆนี้ เขามองไปดูที่มิเตอร์แสดงราคา1195บาท จากนั้นก็หยิบเงินออกมาจากระเป๋าเงินสามใบให้กับคนขับแท็กซี่ และพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติว่า“ดึกขนาดนี้ขับรถไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ต้องทอนหรอก”
คนขับรถมีสีหน้าท่าทางที่ดีใจยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ขึ้นมาทันทีพร้อมกับรับเงินและรีบพูดขึ้นว่า“ขอบคุณมากๆ”
ยามรักษาความปลอดภัยที่หน้าประตูเห็นเย่ฉ่าวเฉินเดินลงมาจากรถแท็กซี่ เขาช็อกไปเสี้ยววินาที จากนั้นจึงรีบทำการเปิดประตู
“คุณชายคุณกลับมาแล้ว”
เย่ฉ่าวเฉินพยักหน้าตอบรับ จากนั้นก็รีบเดินก้าวเท้าใหญ่ๆไปทางด้านคฤหาสน์
ค่ำคืนที่ดึกดื่นของบ้านตระกูลเย่ชั่งเงียบสงบ มีแมลงต่างๆนานาจำนวนนับไม่ถ้วนอาศัยยอดหญ้าเป็นเวทีกระโดดเต้นไปมา ดูราวกับว่ากำลังเปิดรอบทำการแสดงร้องรำทำเพลง
คืนนี้เขาเลือกเดินมาทางนี้เพื่อไปถึงคฤหาสน์ บรรยากาศให้ความรู้สึกที่ไม่เหมือนจากเดิม อาจเป็นเพราะว่ามีคนที่สำคัญอยู่ในใจ จิตวิญญาณของเขาล้วนแต่สงบไม่คลอนแคลน
เมื่อกลับถึงห้องของตัวเอง เย่ฉ่าวเฉินไปอาบน้ำเพื่อชะล้างกลิ่นเหงื่อและฝุ่นควัน จากนั้นก็เดินไปถึงประตูหน้าห้องของมู่เวยเวย
เมื่อบิดเปิดประตู พบว่าประตูเปิดไม่ออก
แต่ว่าประตูแค่บานเดียวจะหยุดเย่ฉ่าวเฉินได้หรอ?
เตียงหลังใหญ่ แต่มู่เวยเวยนอนอยู่แค่มุมเดียว เธอนอนตะแคงข้างสองขาของเธองอเล็กน้อย เหมือนกับท่าทางของทารกในครรภ์ เย่ฉ่าวเฉินถอดเสื้อผ้าออกจากนั้นก็ขึ้นไปบนเตียง เขานอนตะแคงที่ด้านข้างของเธอ ค่อยๆเอามือวางไว้ที่เอวของเธอ ทั้งสองคนเมื่อนอนอยู่ด้วยกันดูแล้วคล้ายกับช้อนกับซ้อม
ทั่วทั้งจมูกได้กลิ่นร่างกายที่คุ้นเคยของเธอ ทำให้เย่ฉ่าวเฉินอุ่นใจเป็นอย่างมาก และไม่นานเขาก็หลับลึกลงไปอยู่ในภวังค์แห่งความฝัน
เช้าวันรุ่งขึ้น
มู่เวยเวยนอนจนเต็มอิ่มและตื่นขึ้นมาเอง เมื่อทำการพลิกตัวก็รู้ว่าแขนไปสัมผัสเข้ากับของที่ให้ความรู้สึกอุ่นๆร้อนๆ เธอตกใจกระโดดลงจากเตียงแบบมึนๆงงๆ
ใช้สติมองดูอย่างชัดๆ นี่ไม่ใช่เย่ฉ่าวเฉินหรอกหรอ?
ชายคนนี้กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?
เย่ฉ่าวเฉินนอนหลับไม่ค่อยลึก มู่เวยเวยขยับครั้งเดียวเขาก็ตื่นแล้ว ลืมตาขึ้นมาก็มองเห็นมู่เวยเวยกำลังจ้องมองมาที่เขาอยู่ เธอยังตกใจไม่หายและยังหายใจเร็วอยู่เลย สายตามองนิ่งไม่ขยับ เขาแสยะยิ้มจากนั้นก็พูดว่า“อรุณสวัสดิ์”
“นายกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
เย่ฉ่าวเฉินบิดขี้เกียจไปมา“เมื่อคืนตอนเที่ยงคืน เห็นเธอนอนหลับอย่างสบาย ก็เลยไม่ได้ปลุก”
มู่เวยเวยนึกขึ้นได้ถึงเรื่องจุดประสงค์ในการเดินทางในครั้งนี้ของเขา เธอจึงรีบถามขึ้นว่า “เป็นอย่างไรบ้าง?หาลูกเจอไหม?”
เย่ฉ่าวเฉินนอนราบไปกับเตียง พร้อมกับส่ายหัวด้วยท่าทางที่ผิดหวัง“ไม่มี เป็นข่าวปลอม”
เมื่อมู่เวยเวยได้ฟังคำพูดนี้ อารมณ์ของเธอก็เศร้าลงมาก“ฉันก็พอจะรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะตามหาเจอ”
“แต่ไม่ต้องรีบร้อนไปหรอก คุณชายสี่ตระกูลเซี่ยต้องพาพวกเราหาเจอได้แน่ๆ”
มู่เวยเวยประหลาดใจ“หมายความว่า?”
เย่ฉ่าวเฉินเล่าเรื่องที่เกิดบนเกาะเล็กๆให้เธอฟัง“เธอไม่ต้องรีบร้อน พวกเราแบ่งกันหาไปคนละทาง ยังไงก็ต้องหาไอ้สาระเลวคนนั้นจนเจอแน่”
“หากว่าหาไม่เจอล่ะ?”
เย่ฉ่าวเฉินปลอบใจเธอ “นี้เป็นผลลัพธ์ที่แย่ที่สุด หากว่าไม่ได้ หรือหมดเวลาแล้ว เธอก็เอาแผนที่ขุมทรัพท์ไปแลกเปลี่ยนกับลูกชายของเรา ฉันกับเธอก็จะอาศัยโอกาสที่จะแย่งลูกกลับคืนมาให้ได้ แต่นี่เป็นวิธีที่อันตรายที่สุด”
“คุณไม่ได้บอกว่าเดิมที่ก็ไม่มีแผนที่ขุมทรัพย์นั้นอยู่หรอกหรอ?”
เย่ฉ่าวเฉินอาศัยสมองในตอนเช้าที่ยังไม่ค่อยมีการตอบสนองของเธอ จากนั้นเขาก็ยกแขนขึ้นไปบีบๆที่หน้ารูปไข่ของเธอและพูดอย่างอ่อนโยนว่า“เด็กโง่ พวกเรารู้ว่ามันไม่มี แต่พวกเขาไม่รู้ เมื่อถึงเวลานั้นแล้ว ฉันก็แค่ซี้ซั้ววาดภาพขึ้นมาสักภาพ”
มู่เวยเวยถ่างตาโตขึ้น เอาอย่างนั้นก็ได้ เธอคิดว่าแบบนี้ก็เป็นวิธีที่ดี
เมื่อพูดจบ สายตาของเย่ฉ่าวเฉินก็เคลื่อนตกลงที่ไหล่ของเธอ……
ตอนเช้าเป็นเวลาที่เลือดลมได้ฟื้นกลับขึ้นมาอย่างเต็มที่ หญิงสาวก็กลับมาดูงดงามขึ้น เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกเลือดลมพลุ่งพล่านอย่างไม่หยุด เขายิ้มพร้อมกับมีความคิดอันชั่วร้ายอยู่ในสายตา“ฉันยังมีอีกความลับหนึ่ง เธออยากจะฟังไหม?”
“อะไร?”
เย่ฉ่าวเฉินดึงมือของเธอและพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบว่า “มานี่สิ ฉันมีเรื่องจะบอก ”
มู่เวยเวยดูเย่ฉ่าวเฉินมีท่าทีที่แปลกๆ ในสายตาของเขาเป็นประกายด้วยความเร่าร้อน เธอรู้ว่าเขามีความคิดที่ไม่ดีอยู่แน่ จึงพลางลุกจากเตียงพลางพูดขึ้นว่า“ฉันไม่อยากฟัง คุณเก็บเอาความลับของคุณเก็บไว้ใจใจซะเถอะ”
ใครจะรู้ว่าเย่ฉ่าวเฉินจะลงมือด้วยความรวดเร็ว ยังไม่ทันได้รอให้เธอลงจากเตียง เขาก็โอบกอดที่เอวของเธอ และกดเธอลงไปที่เตียง
“โอ้ย——เย่ฉ่าวเฉิน——อ๊ายโอ้ยอ๊าย——”
หลายวันที่ไม่ได้เจอหน้าเธอ ตอนนี้เย่ฉ่าวเฉินคงจะอดทนไม่ไหวแล้ว
เวลาผ่านไปนาน……
“ยังเจ็บอยู่ไหม?”
มู่เวยเวยกักริมฝีปากแน่ไม่พูดไม่จา
เย่ฉ่าวเฉินใช้มือจับที่หน้าของเธอให้หันกลับมา เพื่อให้เธอมองที่ตาของเขา พร้อมพูดด้วยเสียงแสบๆว่า“มองฉันสิ……มองว่าฉันรักเธอมากแค่ไหน”
ใบหน้าของมู่เวยเวยค่อยๆแดงขึ้น ดวงตาสีดำกลมโตมีประกายวาววับขึ้นมา เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกเคลิบเคลิ้มไปกับมัน
“คุณ……คุณหยุดพูด”มู่เวยเวยพูดตัดบทเขา อันที่จริงเป็นเพราะเสียงหายใจค่อนข้างอ่อนระทวย
เย่ฉ่าวเฉินเกิดความชาที่ก้นกบ ยิ่งทำให้การเคลื่อนไหวเร็วขึ้นมาก และพูดแกล้งล้อเธอว่า“ทำไมไม่ให้ฉันพูดล่ะ ?
ถ้าฉันไม่ถาม……จะรู้ได้ยังไงว่าแบบไหนเธอสบาย……หรือแบบไหนไม่สบาย……”
มู่เวยเวยทนฟังคำที่เขาพูดออกมาไม่ได้เธอจึงยื่นมือออกไปปิดปากเขาไว้……
คฤหาสน์ชั้นล่าง
พ่อบ้านหวังกับแม่บ้านฉินกำลังคุยกัน
“เธอพูดว่าอะไรนะ?ในห้องของคุณผู้หญิงมีการเคลื่อนไหว?หรือว่าจะ คุณผู้หญิงไม่ใช่คนแบบนั้น”พ่อบ้านหวังเกิดความสงสัย
แม่บ้านฉินแจ้งเรื่อง“อันที่จริง คุณลองคิดดู ปกติเวลาแล้วนี้คุณผู้หญิงก็จะไปทำงานแล้ว แต่วันนี้ทำไมยังไม่ลุกจากที่นอน?”
อันที่จริงแล้วแม่บ้านฉินพึ่งจะขึ้นไปเรียกให้มู่เวยเวยตื่นขึ้นมาทานอาหาร แต่พึ่งจะเดินถึงหน้าประตูห้องกลับได้ยินเสียงของคนข้างในที่ฟังแล้วรู้สึกเสียวหู เธอจึงรีบวิ่งลงมาที่ชั้นล่างเพื่อแจ้งให้พ่อบ้านหวังทราบ
พ่อบ้านหวังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เขาขมวดคิ้วและกำลังคิดว่าจะทำยังไงดี เมื่อกี้พึ่งจะสั่งให้รถไปรับคุณชาย แต่ทำไมรถถึงกลับมาแล้ว
“อาหลง ทำไมนายกลับมาแล้วล่ะ?”
อาหลงลงจากรถ “พนักงานรักษาความปลอดภัยที่อยู่หน้าประตูบอกว่าเมื่อคืนตอนดึกๆคุณชายกลับมาแล้ว”
“คุณชายกลับมาแล้ว?อ่า ใช่ใช่ คุณชายกลับมาแล้ว”พ่อบ้านหวังหันกลับไปพูดกับแม่บ้านฉินด้วยความดีใจ ทั้งสองคนมองตากันและยิ้มออกมา ก็ว่าแล้ว ใครมันจะใจกล้ากล้าขนาดบุกเข้าไปในห้องคุณผู้หญิง
บนเตียง
เย่ฉ่าวเฉินพึ่งจะออกกำลังกายบนเตียงเสร็จ ทั้งสองคนนอนราบไปกับเตียงพร้อมกับมีลมหายใจที่หอบเหนื่อย และเหงื่อที่ออกมาก็ทำให้ชื้นไปทั้งตัว จนไม่อยากขยับตัว
“ใช่แล้ว เมื่อวานที่เธอส่งข้อความบอกว่ามีข่าวสำคัญมาก คืออะไร ?”เย่ฉ่าวเฉินตะแคงกลับมาเพื่อจะกอดมู่เวยเวย แต่ถูกเธอเอามือปัดออกไปเสียก่อน
“อย่ามาโดนตัวฉัน เหงื่อออกไปทั้งตัว ”มู่เวยเวยแขวะด้วยคำพูดหนึ่งประโยคและพูดต่อว่า“เมื่อวานฉันนัดฉู่เซวียนมาทานอาหารกลางวัน……”
มู่เวยเวยเล่าบทสนทนาที่ทั้งสองคุยกันจบและถามขึ้นด้วยอารมณ์ตื่นเต้น“คุณว่าพวกเขาสองคนมีความสัมพันธ์แบบไม่ธรรมดาใช่ไหม?”
เย่ฉ่าวเฉินตอนนี้ยังไม่มีปฏิกิริยาความรู้สึกผิดปกติกับเรื่องที่พูด“แล้วมีอะไรไม่ปกติ?”
“ทำไมฉันกลับคิดว่า ฉู่เซวียนดูเหมือนจะชอบชายหน้ากากสีเงินคนนั้น คุณลองคิดดูดีๆ เพียงแค่ฐานนะและสมบัติของฉู่เซวียน เขาทำไมถึงได้ยินยอมที่จะมาเมือง Aและใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อจะช่วยเพื่อนแค่คนเดียว?มันไม่ค่อยสมเหตุสมผลเลย”มู่เวยเวยพูดอธิบายความคิดของเธอออกมา “เมื่อวานฉันแค่พูดลองเชิงเขาเพื่อให้เขาเดินตาม เขาก็รีบเปลี่ยนสีหน้ากลายเป็นเย็นชาขึ้นมาทันที แต่ไม่มีการโต้แย้ง เพียงแค่ไม่ให้ฉันพูดต่อไปได้”
เย่ฉ่าวเฉินเป็นคนตรง เมื่อได้ฟังมู่เวยเวยพูดเรื่องพวกนี้พร้อมกับมีท่าทางแปลกๆ เย่ฉ่าวเฉินกลับรู้สึกว่า ฉู่เซวียนคนนั้นต้องรู้สึกอะไรกับมู่เวยเวยอยู่เป็นแน่ หรือว่าเป็นเพราะตัวเองเฉลาดเกินไป?
“ท่าทางของคุณมันหมายความว่าไง ?ไม่เชื่อฉันอย่างนั้นหรอ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ
ขอบคุณแอดค่ะ...สนุกค่ะ......
สนุก...