หลังจากที่คอยจับจ้องจุดแดง ๆ อยู่สองสามชั่วโมงด้วยความงุนงง ในที่สุดเย่ยิงก็กลับมา
"เจ้านายครับ หาเรือยอชต์ที่ยอมไปได้ลำหนึ่งแล้วครับ" เพื่อที่จะหาเรือยอชต์ที่สามารถไปได้ เย่ยิงแทบจะพลิกแผ่นดิน เขาวิ่งวุ่นไปทั่วท่าเช่าเรือ เจ้าของเรือทุกคนต่างบอกว่าสถานที่นั้นไกลและอันตรายเกินไป ในขณะที่เขารู้สึกหดหู่ผิดหวังอยู่นั้น สุดท้ายก็มีคนยอมตกลง แต่ราคาที่เสนอนั้นสูงมาก
เย่ฉ่าวเฉินลุกขึ้นทันที "ไปกันเถอะ"
"เจ้านายครับ จะรอให้คนของเราจะมาครบก่อนค่อยออกเดินทางดีไหมครับ?"
"ยังมาไม่ถึงกันอีกเหรอ?"
เย่ยิงก้มหน้าลงด้วยความลำบากใจและอธิบายว่า "พวกเขากระจัดกระจายไปตามเกาะแก่งต่าง ๆ จู่ ๆ เรียกให้รวมพล คนส่วนใหญ่ถึงได้นั่งเรือหารถกัน......"
"แล้วอีกนานแค่ไหน"
"คาดว่าคงอีกสักสองชั่วโมงครับ"
เย่ฉ่าวเฉินเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ประสิทธิภาพการทำงานนี่มันช่าง......
ช่างเถอะ ลูกกับเวยเวยต่างก็อยู่บนเกาะ ยังไงเขาก็ไม่สามารถทําอะไรบุ่มบาม ทําได้เพียงแค่รอเท่านั้น
"ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไปบอกเจ้าของเรือยอชต์ว่าเราจะออกเดินทางกันในวันพรุ่งนี้เวลาตีห้าตรง" ตอนนี้ก็เป็นเวลาเย็นแล้ว อีกห้าชั่วโมงท้องฟ้าก็จะมืดแล้ว เขาไม่รู้จักภูมิประเทศของเกาะเลย การไปครั้งนี้ก็เหมือนกับลูกแกะเข้าถ้ำเสือ
"ได้ครับ เจ้านายอยากทานอะไรไหม? นั่งเครื่องบินมานานขนาดนี้ น่าจะหาอะไรทานสักหน่อย?"
จิตใจของเย่ฉ่าวเฉินเต็มไปด้วยความกังวล เขาไม่มีอารมณ์ที่จะกิน จึงพูดอย่างอิดโรยว่า "ไม่ออกไปแล้ว นายหาอะไรมาเผื่อสักหน่อยก็แล้วกัน"
เย่ยิงพยักหน้าและเดินออกจากประตูไป
เขาไม่รู้ว่าทําไมเจ้านายถึงได้แน่ใจนักว่าคนที่พวกเขากำลังตามหาอยู่บนเกาะนั้น แต่ในเมื่อเจ้านายไม่พูด เขาก็ไม่สามารถถามได้ นี่เป็นสิ่งที่ผู้ใต้บังคับบัญชาควรทำ
ผู้หญิงทุกคนเกิดมาเพื่อที่จะเป็นแม่ แม้ว่ามู่เวยเวยจะยังสาว แต่เธอก็ไม่มีข้อยกเว้น หลังจากได้ใช้เวลากันมาทั้งวัน เธอและลูกน้อยก็เข้ากันได้เป็นอย่างดี ทั้งป้อนนม ป้อนน้ำ เปลี่ยนผ้าอ้อม และทำสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างชํานาญ
นี่คงเป็นธรรมชาติของความสัมพันธ์ระหว่างแม่และลูก แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เจอกันมาครึ่งปีแล้ว แต่ทารกยังคงคุ้นเคยกับกลิ่นของแม่ได้เป็นอย่างดี ดังนั้นเธอจึงยิ่งตื่นเต้นหลงใหลมากขึ้นไปอีก
ลูกน้อยมีพัฒนาการเร็วมาก มีฟันสามซี่เล็ก ๆ ที่น่ารักเหมือนเปลือกหอยงอกขึ้นมาแล้ว เขาไม่ชอบอยู่ในรถเข็นเด็กนาน ๆ มู่เวยเวยจึงอุ้มเขาออกมาและวางลงบนเตียง มองดูเขาใช้มือดันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง น้ำตาของมู่เวยเวยซึมจนเกือบจะร่วงลงมา เธอพลาดเรื่องราวครั้งแรกในชีวิตของลูกไปหลายอย่างเลย
"อ๊า อ๊า——" ลูกน้อยที่นั่งอยู่บนเตียงใช้นิ้วอวบของเขาชี้ไปที่กองของเล่นบนพื้น และส่งเสียงร้องออกมา
บนพื้นมีรถของเล่นอยู่หลายคัน หุ่นยนต์อีกหลายตัว และบล็อกไม้อีกกล่องหนึ่ง มู่เวยเวยไม่รู้ว่าลูกอยากได้อะไร เธอจึงผลักพวกมันทั้งหมดไปตรงหน้าเขา
เด็กน้อยโลดเต้นอย่างมีความสุข หยิบรถขึ้นมาหนึ่งคัน กดปุ่มที่ฐานล่าง แล้ววางรถไว้กับบนเตียงที่ราบเรียบ
"หวือ" รถของเล่นแล่นอยู่บนเตียง ด้านหน้าไม่มีสิ่งกีดขวางใด ๆ รถจึงตกลงจากเตียงไป เด็กน้อยเห็นเข้าก็หัวเราะคิกคัก
เขาหยิบบล็อกไม้ออกมาจากกองของเล่น จากนั้นก็ใช้มือปัดเพื่อเคลียร์พื้นที่ตรงหน้า และเริ่มต่อบล็อกไม้
เมื่อต่อไปได้สองชั้นบล๊อกไม้ก็ถล่ม แต่เขาก็ไม่ได้โมโห ยังคงตั้งใจต่ออย่างจริงจังต่อไป และในที่สุดก็ต่อได้ถึงห้าชั้น เป็นเหมือนกับพีระมิดเล็ก ๆ เขาดึงแขนของมู่เวยเวยให้มาดูอย่างมีความสุข
มู่เวยเวยแอบหันหลังไปเช็ดน้ำตา และพูดด้วยรอยยิ้มว่า "ลูกเก่งมากจ้า ต่อได้สวยมากเลย"
ดูเหมือนเขาจะเข้าใจในสิ่งที่เธอพูด รอยยิ้มก็ยิ่งสดใสขึ้น ดวงตาของเขาก็เป็นประกายระยิบระยับ
เขาเติบโตมาอย่างดี ทั้งมีสุขภาพดี ฉลาด และร่าเริง แต่จิตใจของมู่เวยเวยกลับรู้แปรปรวนอย่างบอกไม่ถูก เพราะเธอไม่ได้อยู่ทำหน้าที่มาเสียนาน ยังดีที่ทุกอย่างเรียบร้อยดี ไม่เช่นนั้นเธอคงจะรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต
ในตอนนั้นเองที่ประตูถูกผลักเปิดออก มู่เวยเวยหันกลับไปมอง ก็พบว่าเป็นชายสวมหน้ากากที่ปรากฏตัวขึ้นที่ประตู
เด็กน้อยก็ได้ยินเสียงเช่นกัน เมื่อเห็นว่าเป็นเขา ก็โบกมือขึ้นทักทายด้วยความดีใจ
ชายคนนั้นเดินเข้ามา ยื่นปืนของเล่นในมือให้เด็กน้อย บีบจมูกเล็ก ๆ ของเขาและพูดอย่างรักใคร่ว่า "นี่ให้เธอ ชอบไหม?"
เด็กน้อยเอาปืนเข้ามากอดและหอมเข้าที่แก้มเขาอย่างมีความสุข
แววตาของชายคนนั้นเต็มไปด้วยความอ่อนโยน เขาลูบไล้ผมนุ่ม ๆ ของเด็กน้อย หัวใจของคนทุกคนนั้นมีเลือดเนื้อ เขาอาจจะโหดร้ายหรือไร้ยางอาย แต่ก็มีมุมที่จิตใจดี หลังจากใช้เวลากับเด็กน้อยไปถึงครึ่งปี หัวใจที่เย็นชาของเขาก็พ่ายแพ้ให้กับรอยยิ้มไร้เดียงสาของเด็กน้อย
เขาช่างเป็นเด็กน่ารัก หน้าตาก็สวยงามมาก ทั้งยังไม่เคยร้องไห้งอแงหรือสร้างปัญหา ใบหน้ามีแต่รอยยิ้ม และดูเหมือนจะเข้าใจคําพูดของผู้ใหญ่ เด็กเช่นนี้ใครกันจะไม่ชอบ?
แม้แต่อลิซผู้ซึ่งฆ่าคนได้โดยไม่กระพริบตาก็กลายเป็นแฟนคลับของเขา ทุกครั้งที่ออกไปข้างนอกเธอก็มักจะซื้อเสื้อผ้าและของเล่นมากมายมาให้เขา
"มีธุระอะไรไหมคะ?" ท่าทีของมู่เวยเวยอ่อนลงมาก
ชายคนนั้นกำลังสอนวิธีการเล่นปืนพกให้เด็กน้อยอยู่ เขาถามโดยไม่เงยหน้าขึ้นมองว่า "เราขาดการติดต่อกับฉู่เซวียนไป ลูกน้องของเขาบอกว่า เมื่อวานฉู่เซวียนกับเย่ฉ่าวเฉินไปตรวจสถานที่ก่อสร้างกัน หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้กลับมาอีก คุณคิดว่ายังไง?"
มู่เวยเวยถามเขากลับอย่างใจเย็น "เมือง A เป็นถิ่นของเย่ฉ่าวเฉิน ทันทีที่ฉันขึ้นเครื่องบินเขาก็คงจะได้ข่าว ทั้งยังเอาแผนที่สมบัติของเขาไปอีก คุณคิดว่าเขาจะยอมปล่อยฉู่เซวียนไปทั้งที่โกรธแค้นอย่างนั้นเหรอ?"
ชายคนนั้นสาธิตวิธีการเล่นปืนของเล่น เด็กน้อยดูเพียงครั้งเดียวก็เรียนรู้ได้แล้ว จึงหยิบมันมาจากมือของเขาและเล่นด้วยตัวเองอย่างเพลิดเพลิน
"คุณคิดว่าฉู่เซวียนจะถูกจับไปขังไว้ที่ไหน?" ชายคนนั้นนั่งไขว่ห้างและหันมาถามเธอ ใบหน้าที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังหน้ากากนั้นทำให้มองไม่ออกว่าสีหน้าเขาเป็นเช่นไร แต่ดวงตาคู่นั้นกลับไม่ได้แสดงให้เห็นว่าเขาใส่ใจมันจริง ๆ
มู่เวยเวยรู้สึกไม่ค่อยเข้าใจ เขาและฉู่เฉวียนไม่ใช่เป็น...... ทําไมเขาถึงดูสงบมากทั้งที่ได้ยินว่าฉู่เซวียนถูกจับ?
"ฉันไม่รู้ บางทีอาจจะเป็นสถานที่ที่เคยขังจางเหิง"
"ก็มีเหตุผล ดูเหมือนว่าเย่ฉ่าวเฉินต้องการใช้ฉู่เซวียนเป็นตัวประกัน" ชายคนนั้นพูด เขาลุกขึ้นเดินออกไปพลางหัวเราะเยาะ "เขาคิดว่าแค่ฉู่เซวียนคนเดียวจะขู่ฉันได้อย่างนั้นเหรอ? ช่างน่าขัน"
มู่เวยเวยรู้สึกสะดุ้งในใจ "คุณไม่สนใจฉู่เซวียนแล้วเหรอ?"
ชายคนนั้นหันศีรษะกลับมาและพูดว่า "ตราบใดที่เธอยังอยู่ในมือฉัน เย่ฉ่าวเฉินก็ไม่กล้าทําอะไรกับฉู่เซวียนหรอก อย่างมากก็คงทรมานเขาสักเล็กน้อย"
"รอเดี๋ยวก่อน" มู่เวยเวยมองเขาอย่างใจเย็น "ดูแล้วช่วงนี้พวกเราคงต้องพบกันบ่อย ๆ จะให้ฉันเรียกคุณว่าอะไรดี?"
"ทำไม อยากรู้ตัวตนของฉันหรือไง?" ชายคนนั้นหัวเราะเยาะมองทะลุแผนการของเธอ
มู่เวยเวยแบมือออก "คุณไม่พูดก็ช่างเถอะ ฉันก็เรียกคุณว่า นี่ ก็แล้วกัน"
ชายคนนั้นยิ้มเย็นชา "โอเค เรียกฉันว่า......กาวิน"
"กาวิน? โอเคค่ะ ฉันจำไว้แล้ว คุณกาวิน" เมื่อมู่เวยเวยพูดจบก็กลับมานั่งข้าง ๆ ลูก เธอเข้าใจดี ชายคนนี้เพียงแค่พูดชื่อภาษาอังกฤษสักชื่อออกมาลอย ๆ ก็เท่านั้นเอง
ฉู่เซวียนที่เพิ่งถูกกล่าวถึง กําลังทุกข์ทรมานมากตามที่กาวินพูด ตั้งแต่ที่เขาถูกจางเฮ่อพากลับมาเมื่อวาน แขนของเขาถูกบิดจนหลุด ตอนแรกมันเจ็บปวดเจียนตายอย่างมาก แต่หลังจากปวดมาทั้งคืนก็เปลี่ยนเป็นชา จนตอนนี้แขนทั้งสองข้างไร้ความรู้สึกไปแล้ว
เวลาผ่านไปกว่ายี่สิบชั่วโมง เขาไม่ได้ดื่มน้ำเลยสักคำ คอแห้งไปหมด ท้องก็หิวเหมือนแมวข่วน เพื่อคนที่อยู่ในใจคนนั้นคุณชายใหญ่แห่งตระกูลฉู่ที่สูงส่งถึงกับต้องมาทนทุกข์ทรมานราวกับไม่ใช่มนุษย์ ไม่รู้เลยว่าคน ๆ นั้นจะรับรู้ถึงความจริงใจนี้ได้หรือไม่
ประตูเหล็กเปิดออกพร้อมกับเสียงดังเอี๊ยด จางเฮ่อเดินเข้ามาพร้อมกับแสง ในมือถือขวดน้ำไว้
"ประธานฉู่ คุณคิดได้แล้วหรือยัง?" เขาถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
ฉู่เซวียนพ่นลมออกมาอย่างเย็นชาและพูดด้วยเสียงแหบแห้งว่า "ไม่ต้องเปลืองแรงหรอก ฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้น"
"ประธานฉู่นี่ช่างปากแข็งเสียจริง" จางเฮ่อพูดพลางเปิดฝาขวดออก จากนั้นก็เทน้ำลงบนพื้น
ดวงตาของฉู่เซวียนเป็นประกาย ลําคอร้อนผ่าว ไม่เห็นน้ำเขายังจะพอทนได้ แต่ตอนนี้น้ำอยู่ห่างออกไปเพียงเมตรเดียว เขายังได้กลิ่นของน้ำ ทุกอณูในร่างกายของเขากําลังร้องเรียกอยากจะดื่มน้ำ อยากจะดื่มน้ำ ความทรมานขยายมากขึ้นอีกหลายเท่า
"จางเฮ่อ ถ้านายมาเพื่อจะเยาะเย้ยฉัน นายทำสําเร็จแล้ว รีบไสหัวไปให้พ้นหน้าฉันเดี๋ยวนี้" ฉู่เซวียนกลัวว่าเขาจะทนไม่ไหวบอกความลับในใจออกไป จึงได้ไล่อีกฝ่ายให้รีบออกไป
จางเฮ่อกลับไม่แยแสยังคงเทน้ำในขวดต่อไป และเดินเข้ามาใกล้เขาอย่างช้า ๆ "ประธานฉู่ อันที่จริงผมเองก็ไม่อยากทําแบบนี้กับคุณ คุณเองก็นับว่าเป็นคนมีหน้ามีตา แต่พวกคุณกลับลักพาตัวลูกของคุณชายเพียงเพราะเห็นแก่เงิน ไม่คิดว่าวิธีการนี้จะถ่อยเกินไปหน่อยหรือ?"
ฉู่เซวียนหันหน้าไปอีกทางและไม่พูดอะไร เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าทำแบบนี้มันผิด แต่เขาไม่มีทางเลือก
"ประธานฉู่ ในขณะที่ยังมีโอกาสคุณบอกผมมาเถอะว่าเด็กตกอยู่ในมือของใคร แล้วผมจะปล่อยคุณไปทันที นี่เป็นสิ่งที่ดีทั้งต่อตระกูลเย่และตระกูลฉู่" จางเฮ่อพูดด้วยท่าทีที่จริงใจ "นี่เป็นลูกคนแรกของคุณชาย หากเกิดอะไรขึ้นกับเด็กแม้แต่นิดเดียว ด้วยนิสัยของคุณชายแล้ว ไม่เพียงแต่จะแก้แค้นคุณ แต่ตระกูลฉู่ของคุณก็จะพลอยได้รับผลกระทบไปด้วยอย่างแน่นอน......"
เมื่อฉู่เซวียนได้ยินเช่นนี้ เขาก็ยิ้มเย้ยหยันแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
จางเฮ่อควบคุมอารมณ์ได้อย่างดีและไม่ได้ใส่ใจในท่าทีของเขา พยายามเกลี้ยกล่อมเขาด้วยใจขมขื่น "แน่นอนคุณต้องคิดว่าการจะล่วงเกินตระกูลฉู่ได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ถูกต้อง แต่อย่าลืมว่านี่เป็นเรื่องความแค้นที่ฆ่าลูก ต่อให้คุณชายจะไม่สามารถถอนรากถอนโคนตระกูลฉู่ได้ แต่ก็คงจะทำให้ครอบครัวของคุณพังพินาศได้ พ่อแม่ของคุณ ฉู่เหยียนคุณหนูรองแห่งตระกูลฉู่ตัวจริง และยังมีน้องสาวคนเล็กของคุณ คุณไม่สนใจชีวิตของพวกเขาจริง ๆ เหรอ? เพื่อเงินแล้ว คุณคิดว่าสิ่งนี้คุ้มค่าจริง ๆ งั้นเหรอ?"
ดวงตาของฉู่เซวียนสั่นไหวเล็กน้อย ที่จริงนี่เป็นสิ่งที่เขากังวลมากที่สุด
ตั้งแต่ที่เขาได้สัมผัสใกล้ชิดกับเย่ฉ่าวเฉินมา ก็ได้รู้จักตัวตนของเขาอยู่ไม่น้อย เย่ฉ่าวเฉินเป็นคนใจกว้าง แต่ดูจากสิ่งที่เขาทำต่อจางเหิงแล้ว จริง ๆ แล้ว ชายคนนี้เป็นคนใจแคบและโหดร้ายมาก
จางเฮ่อมองดูเขาอย่างสงบ แล้วยกขวดขึ้นวางบนริมฝีปากเขา ฉู่เซวียนนิ่งอึ้งไป แต่วินาทีต่อมาเขาก็อ้าปากและดื่มน้ำที่เหลือเพียงอึกเดียวลงท้อง
น้ำเพียงอึกเดียวที่ดื่มเพื่อดับกระหาย แต่กลับทําให้ร่างกายรู้สึกทรมานมากขึ้นกว่าเดิม
"คุณฉู่ ตราบใดที่คุณชายยังหาตัวลูกกับคุณนายไม่พบ คุณก็ต้องเผชิญกับความทรมานเช่นนี้อยู่ทุกวัน คุณเป็นคนฉลาด ควรเลือกอย่างไร ลองคิดดูเองเถอะ"
จางเฮ่อโยนขวดน้ำเปล่าลงบนพื้นและเตะมัน เสียง "เคร้ง" ดังสะท้อนมาจากอีกด้านของห้องที่ว่างเปล่า
"เดี๋ยวก่อน"
จางเฮ่อหยุดฝีเท้าลง ดวงตาฉายแววยินดี หันกลับมาถามเขาว่า "ตัดสินใจได้เร็วขนาดนี้เลยหรือ?"
"จางเฮ่อ นายช่วยต่อแขนกลับมาให้ฉันข้างหนึ่งได้ไหม...... ฉัน ฉันอยากจะเข้าห้องน้ำ" ฉู่เซวียนพูดด้วยความกระอักกระอ่วน
ประกายในดวงตาของใครบางคนจางลงไป และเขาก็พูดอย่างเย็นชาว่า "วิธีของคุณชายผมแก้ไม่เป็นหรอก คุณอดทนไว้ก็แล้วกัน ส่วนเรื่องจะเข้าห้องน้ำ" เขาหัวเราะขึ้นอย่างเย็นชา "ผมจะให้คนมาช่วยคุณก็แล้วกัน"
"จางเฮ่อ!" ฉู่เซวียนพ่นลมหายใจออกมาด้วยความโกรธ ให้คนมาช่วยเขาเข้าห้องน้ำ ฆ่าเขาซะยังจะดีกว่า
"คุณตะโกนใส่ผมไปก็ไม่มีประโยชน์ ต่อให้คุณไม่ขอร้อง ผมก็ทำไม่เป็น ยังไงคุณชายฉู่ก็อดทนไว้ก็แล้วกัน" จางเฮ่อพูดประโยคนี้จบก็ออกจากห้องมืดเล็ก ๆ นั้นไป ทิ้งไว้เพียงฉู่เซวียนที่โกรธจนแทบคลั่ง
......
ณ คฤหาสน์หลังเล็กของมู่เทียนเย่
หลังจากได้ข่าวว่าเย่ฉ่าวเฉินและฉู่เหยียนไปต่างประเทศในเวลาไล่เลี่ยกัน มู่เทียนเย่ก็รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีอย่างบอกไม่ถูก
"ประธานมู่ ฉู่เซวียน ซีอีโอของบริษัทเอ็มเคที่ร่วมมือกับเย่ฉ่าวเฉินได้หายตัวไปแล้วครับ" ลูกน้องของมู่เทียนเย่โทรมารายงานเขา
คิ้วของมู่เทียนเย่ขมวดแน่นขึ้นกว่าเดิม "ตั้งแต่เมื่อไหร่?"
"เมื่อเช้าวานนี้ ฉู่เซวียนและเย่ฉ่าวเฉินได้ไปสำรวจโครงการสวนสนุกกัน หลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่ได้กลับมาอีก พนักงานบริษัทของฉู่เซวียนกําลังตามหาเขากันให้วุ่น"
เกี่ยวข้องกับเย่ฉ่าวเฉินอีกแล้ว? นอกจากนี้เย่ฉ่าวเฉินยังออกเดินทางไปต่างประเทศเมื่อเช้าวานนี้ด้วย
"ไปสืบมาว่าสาเหตุคืออะไร"
"ได้ครับ ประธานมู่"
หลังจากวางสายโทรศัพท์ มู่เทียนเย่ก็ยืนพิงอ่างล้างผักในครัวและจมลงในความคิด เสี่ยวซีหร่านเข้ามาพร้อมกับเหงื่อเต็มตัว เมื่อเห็นว่าหน้าผากของเขาขมวดย่นจนจะเป็นตัวอักษร เธอก็เช็ดเหงื่อพลางถามเขาว่า "คุณคิดอะไรอยู่ถึงดูเครียดขนาดนี้?"
มู่เทียนเย่หันกลับไปและเปิดก๊อกน้ำแล้วล้างผักต่อ "เย่ฉ่าวเฉินและฉู่เหยียนไปต่างประเทศกันแล้ว ผมเช็คดูแล้วทั้งคู่ไปฮาวายกัน"
เสี่ยวซีหร่านหยิบมะเขือเทศสีแดงสดออกมาจากตะกร้า ล้างน้ำ แล้วกัด และพูดว่า "แค่ไปฮาวายจะมีอะไรน่าแปลกใจกันเชียว ก็เห็นอยู่ว่าเป็นการไปเที่ยวพักผ่อนกัน"
"ตอนแรกผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน แต่คุณคิดดูสิ ทําไมพวกเขาไม่ออกเดินทางพร้อมกันล่ะ คนหนึ่งไปก่อนแล้วอีกคนหนึ่งตามไป อีกทั้งเย่ฉ่าวเฉินยังไปเปลี่ยนเครื่องที่ฮ่องกงอีก"
เสี่ยวซีหร่านเงยหน้าขึ้นและคิดสักพักแล้วพูดว่า "บางทีเย่ฉ่าวเฉินอาจจะมีเรื่องสำคัญบางอย่างทำให้ล่าช้า"
"พูดแบบนี้ไม่น่าจะถูก ถ้าเย่ฉ่าวเฉินมีธุระด่วนเข้ามา ฉู่เหยียนก็สามารถเปลี่ยนเที่ยวบินและไปพร้อมเขาได้ คุณลองคิดดูจากเมือง A ไปฮาวายต้องใช้เวลาบินอย่างน้อยสิบห้าชั่วโมง มันจะน่าเบื่อขนาดไหนที่ต้องอยู่บนเครื่องบินคนเดียว?"
เมื่อเสี่ยวซีหร่านได้ยินคําพูดนี้ก็รู้สึกสมเหตุสมผล "พูดแบบนี้ก็ถูก หรือว่าพวกเขาจะทะเลาะกัน? แล้วฉู่เหยียนโกรธจนบินหนีไป เย่ฉ่าวเฉินจึงไล่ตามไป?"
มู่เทียนเย่เห็นเธอกินอย่างเอร็ดอร่อย เขาก็ล้างมะเขือเทศอีกลูกยื่นให้เธอ "ก็เป็นไปได้นะ แต่เพิ่งจะได้รับข่าวมาว่า ฉู่เซวียน พี่ชายของฉู่เหยียน หายตัวไปเมื่อเช้าวานนี้"
เสี่ยวซีหร่านรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย "หือ? บังเอิญขนาดนี้เชียว?"
"อืม และจากที่ผมรู้จักเย่ฉ่าวเฉิน เขาจะต้องเป็นคนทําแน่" มู่เทียนเย่พูดอย่างหนักแน่น
"เมื่อเช้าวานนี้ช่างคึกคักเสียจริง" เสี่ยวซีหร่านพูดโพล่งออกมา เมื่อเห็นว่าเขายังคงมีใบหน้าที่เคร่งเครียดอยู่ ก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นว่า "คุณคิดอะไรอยู่คะ?
มู่เทียนเย่นำผักที่ล้างเสร็จแล้วทั้งหมดใส่ลงในตะกร้า ปิดก๊อกน้ำ และพูดด้วยความกังวลว่า "ผมรู้สึกว่าเรื่องนี้มีอะไรเกี่ยวข้องกับเวยเวย"
เสี่ยวซีหร่านเข้าใจความรู้สึกที่เขามีต่อน้องสาว เธอตบบ่าเขาและพูดว่า "คุณอย่าเพิ่งสรุปอะไรไปก่อนเลยค่ะ ฉันจะโทรถามอาเหยียนเอง"
"อืม"
แน่นอนว่าโทรไม่ติด สัญญาณโทรศัพท์แสดงถึงการปิดเครื่อง
"คุณมีหมายเลขโทรศัพท์ของเย่ฉ่าวเฉินไหม?" เสี่ยวซีหร่านถาม เธอและฉู่เหยียนเป็นเพื่อนสนิทกัน และเธอก็กังวลเช่นกันว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับฉู่เหยียน
"มี" มู่เทียนเย่ล้วงโทรศัพท์ออกมา ค้นหาหมายเลขโทรศัพท์ที่เขาไม่เคยโทรมาก่อน
เสี่ยวซีหร่านโทรออกตามหมายเลขที่ได้มา หลังจากที่เสียงรอสายยาวสิ้นสุดลง ก็ไม่มีใครรับสาย
"ฮึ เขาไม่รับสายของฉัน" เสี่ยวซีหร่านบ่นเบา ๆ และกดโทรออกอีกครั้ง แต่คราวนี้มีคนรับสาย
"นั่นใคร?" เสียงของเย่ฉ่าวเฉินดังมาจากปลายสาย น้ำเสียงฟังดูหงุดหงิดและเต็มไปด้วยความโมโห
"ฉันคือเสี่ยวซีหร่าน"
เย่ฉ่าวเฉินชะงักไปหลายวินาที น้ำเสียงของเขาผ่อนคลายลงมาก "คุณนี่เอง โทรหาผมมีเรื่องอะไรครับ?"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ
ขอบคุณแอดค่ะ...สนุกค่ะ......
สนุก...