“เมื่อครู่ กลุ่มโจรสลัดต่างชาติวิ่งเข้ามา ไม่พูดไม่จา ก็หยิบปืนกลกราดยิงไปทั่ว ยังร้องหาของบางอย่าง พวกมันพังฐานค้นหาทุกซอกทุกมุม ของมีค่าถูกพวกมันเอาไปหมดเลย รวมถึงหยกโบราณ ภาพวาดตัวอักษร และอาวุธยุทโธปกรณ์ในโกดัง ก็ไม่เหลือแล้ว”
กาวิน ได้ยินคำพูดเหล่านี้ เขาแทบจะกะอักเลือด สิ่งของเหล่านั้นล้วนมีค่า เป็นของที่เขาเก็บสะสมมานานก่อนจะประสบความสำเร็จเพียงเล็กน้อย แต่ก็.......
“โจรสลัดที่ไหน ? คนของใคร ? กล้าเข้าไปในเขตแดนของกูได้ยังไง ?” กาวินกัดฟันถาม น้ำเสียงของเขาแทบจะฉีกคนเป็นชิ้นๆ
“ผมไม่รู้ พวกมันเข้ามาเหมือนหมาบ้า ไม่พูดอะไรสักคำ เข้ามาเจอคนก็ฆ่า ไม่มีโอกาศที่จะได้พูดเลย”
“พวกแกล่ะ ? ไม่รู้จักสู้รึยังไง ? ฉันจะเลี้ยงดูพวกแกไปทำไม ?” กาวินด่า
“เจ้านาย ไม่ใช่ว่าพวกผมไม่สู้ ”แต่พวกมันมีเยอะเกินไป และตอนนี้ก็กลางคืนด้วย ทุกคนกำลังกินข้าวเสร็จ พวกเขาก็เลยรู้สึกขี้เกียจ......”
“เชี้ย !เชี้ย !”ความโกรธของกาวินไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ คนในรถตกใจจนไม่กล้าแสดงออก เพราะกลัวว่าจะกระทบกับตนเอง ผู้คนกลุ่มนี้ไม่ได้ขี้เกียจ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาดื่มกินกันสนุกสนานในขณะที่เขาไม่อยู่ เดาว่าพวกเขาเมาก่อนที่จะถูกโจมตีได้สำเร็จ
รอเขาด่าเสร็จ ก็ได้ยินทางนั้นพูดว่า “เจ้านาย เรื่องยังไม่จบ”
“ยังมีอะไรอีก !”กาวินถามด้วยความโกรธ เขารู้สึกว่าหัวของเขาจะระเบิดแล้ว
“ในตอนที่พวกมันจากไป ได้ขว้างระเบิดลงหลายลูก และทำลายฐานทับ ไม่ง่ายเลยกว่าผมจะหนีออกมา.......”
“ทำไมแกไม่ตายไปซะ !”กาวินด่าเสร็จ ก็โยนโทรศัพท์ลงบนพื้น แตกเป็นเสี่ยง ทำให้รู้ว่าเขาโกรธมากขนาดไหน
ชิ้นส่วนโทรศัพท์มือถือที่ตกอยู่ให้เห็น
จางเหิงกับอลิซมองหน้ากันอย่างเงียบๆ และทั้งสองก็เห็นความตื่นตระหนกในดวงตาของกันและกัน จากคำพูดของกาวิน พวกเขาก็สามารถเดาได้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
แต่พวกเขาก็ไม่มีใครกล้าถาม ด้วยความโกรธของกาวินแบบนี้ พวกเขาไม่เคยพบเจอ
ในขณะเดียวกัน นอกจากเสียงเครื่องยนต์ของรถตู้แล้ว ก็เป็นเสียงหอบของกาวิน
ผ่านไปหลายนาที กว่าสติของกาวินจะกลับมา
ฐานทับของเขาถูกซ่อนไว้ในเกาะ คนนอกยากที่จะหาเจอ จะบอกว่าว่าโจรสลัดบุกเข้าไปโดยไม่ตั้งใจ เขาไม่มีทางเชื่ออย่างแน่นอน รู้ว่าของสะสมของเขาอยู่ที่ไหน ยังรู้อีกว่าคลังอาวุธยุทโธปกรณ์อยู่ไหน ที่นี่ต้องมีสายลับแน่ ใช้ประโยน์จากการที่เขาไม่อยู่ ร่วมมือกับโจรสลัดภายนอก มาที่ซ่องโจรของเขา
สายลับคนนี้เป็นใครกัน ? !
กาวินครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ และก็มีหลายคนผุดขึ้นมาในหัวของเขา
คุณK และทหารรับจ้างต่างชาติสองคนที่ถูกทอดทิ้งไว้ด้วยกันครั้งที่แล้ว บางทีอาจจะเป็นแบบที่เขาคิด เย่ฉ่าวเฉินปล่อยพวกเขา แต่พวกเขาก็ยังไม่พอใจกับตัวเอง ดังนั้นจึงต้องการแก้แค้น
ต้องรู้ว่า คนพวกนี้รู้จักแค่เงินไม่รู้จักมิตรภาพ
บรรยากาศในรถหดหู่ มู่เวยเวยหันศีรษะมองออกไปนอกหน้าต่าง นึกถึงคนบริสุทธิ์ที่จางเหิงฆ่าไปเมื่อสองชั่วโมงก่อน เธอก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น
เป็นเพราะเธอใจดีเกินไป ถ้าหากตอนนั้นเธอไม่เป็นแม่พระ บอกเย่ฉ่าวเฉินว่าอย่าฆ่าคน และไปฆ่าจางเหิงโดยตรง วันนี้ชายบริสุทธิ์พวกนั้นก็คงไม่ตาย
ในตอนนี้ เธอเข้าใจความจริงแล้ว ไม่ใช่ทุกคนที่จะสมควรได้รับอภัย บางคนชั่วช้าเกินไป ก็ควรส่งเขาไปพบพระเจ้า
เธอสาบาน ว่าหลังจากนี้จะไม่ยุ่งกับเรื่องอะไรมากมายแล้ว
โชคชะตาฟ้าลิขิต
ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกถึงดวงตาคู่หนึ่งที่จ้องมองมาที่เธอจากด้านหลัง มู่เวยเวยหันกลับไปดู ก็สบตาเข้ากับดวงตาคู่นั้น แววตามีความกระหายเลือดอยู่ในความโกรธ
มู่เวยเวยหดคอโดยไม่รู้ตัว เธอรู้สึกได้ว่ากาวินจะสับและกินเธอ
“คุณ คุณมองฉันแบบนี้ทำไม ? ฉังคงไม่ได้ยั่วโมโหคุณหรอกนะ” มู่เวยเวยกอดแขนตัวเอง และอยากจะหนีออกไปจากที่น่ากลัวแบบนี้
กาวินมองไปที่เธอ เมื่อครู่เขาสงสัยว่า เรื่องนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับเย่ฉ่าวเฉิน แต่เขาก็รู้สึกว่าเย่ฉ่าวเฉินไม่มีความสามารถที่ยอดเยี่ยมแบบนี้ ต้องรู้ว่า แก๊งโจรเจียงหยางที่โหดเหี้ยมนั้นไม่ใช่ว่าคำพูดใครก็สามารถเชื่อได้
ปัญหาที่เร่งด่วนของเขาในตอนนี้ คือตามหาสมบัติที่ไม่รู้ว่าซ่อนอยู่ที่ไหน และรีบกลับไปกอบกู้การสูญเสียในครั้งสุดท้ายนี้ เพราะว่าเขามีความรู้สึกที่แข็งแกร่ง ถ้าหากว่าฝ่ายตรงข้ามจงใจจะแก้แค้น สถานที่อื่นๆของตัวเองก็คงจะไม่รอด
เมื่อคิดถึงตรงนี้ กาวินก็พูดกับจางเหิงว่า “ติดต่อไปสักสองสามตระกูล ถามดูว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นไหม” เมื่อครู่เขาหุนหันเกินไปโทรศัพท์ของเขาเลยพังยับเยิน
จางเหิงรีบหยิบโทรศัพท์ออกมากดหมายเลขบนเกาะ และรีบโทรออก “ฉันคือจางเหิง ช่วงนี้ที่บ้านปกติดีไหม ?”
“ปกติมาก ไม่มีเรื่องใหญ่อะไรเกิดขึ้น”
“เอาล่ะ จับตาดูไว้ อย่าวางใจ”
จางเหิงโทรออกอีกหลายครั้ง แต่ก็ได้รับคำตอบแบบเดียวกัน
“เจ้านาย ทุกอย่างเป็นปกติ” จางเหิงถามอย่างกล้าหาญว่า “เจ้านาย เมื่อครู่เกิดเรื่องอะไรขึ้น ?”
สายตาของกาวินแสดงความเย็นชา และพูดขึ้นว่า “เกาะพระจันทร์ถูกโจมตี”
“ห๊ะ ?”อลิซกับจางเหิงอุทานขึ้นพร้อมกัน แม้ว่ามู่เวยเวยจะไม่รู้ว่าเกาะพระจันทร์มีไว้เพื่ออะไร แต่ด้วยปฎิกิริยาของทั้งสาม น่าจะเป้นสถานที่สำคัญมาก
“ใครเป็นคนทำ สูญเสียอย่างไรบ้าง ?”จางเหิงอดไม่ได้ที่จะถาม
กาวินพยายามสงบสติอารมณ์ลง เงียบไปนานกว่าจะพูดขึ้นว่า “บนเกาะถูกปล้นของไปจนหมด ผู้คนก็ตายไปมากกว่าครึ่ง”
สมองของจางเหิงแทบจะระเบิด โดนปล้นสะดม ?
พระเจ้า เกาะพระจันทร์เป็นฐานทัพใหญ่ของพวกเรา ภายในมีปืนและอาวุธยุทโธปกรณ์ที่พวกพี่น้องเราใช้กัน ยังมีสมบัติล้ำค่าของเจ้านายอีก เช่นทองคำหนึ่งกล่อง ดังนั้นพวกเราต้องปฎิบัติหน้าที่ตลอด24ชั่วโมง นอกจากนั้นเกาะเล็กๆนั่นหาจากดาวเทียมไม่มีทางเจอ และมีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ หลายปีมานี้ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ทำไมถึงโดนปล้นสะดมได้ ?
“ใครเป็นคนทำ ? ”เห็นได้ชัดว่าอลิซไม่อยากจะเชื่อ โดยลืมไปว่าคนที่เธอถามคือเจ้านายที่ไม่สามารถล่วงเกินได้
“ข่าวเมื่อครู่บอกว่า เป็นกลุ่มโจรสลัดต่างชาติ ”คำพูดเหล่านี้แทบจะหลุดออกมาจากฟันของเขา
มู่เวยเวยดูเหมือนจะนั่งฟังบทสนทนาของทั้งสามคนอย่างเงียบๆ แต่ในใจกลับมีความสุข ฮ่าฮ่า กรรมตามสนองเป็นแบบนี้นี่เอง
เขาก่อกรรมทำชั่วในแผ่นดิน ก็จะมีบางคนใช้ประโยนช์จากที่ซ่อนของเขา ฉวยโอกาศสมบูรณ์แบบจริง
“งั้น งั้นพวกเราต้องกลับไปไหม ? ”อลิซถามอย่างกังวล
“แก๊งโจรสลัดนั่นมาและไปอย่างไร้ร่อยรอย พวกเราไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกมันในทะเล และตอนนี้พวกเราก็ไม่มีทางกลับไปได้แล้ว” กาวินตัดสินใจอีกครั้ง “พวกเราต้องรีบตามหาสมบัติให้พบโดยเร็ว แบบนี้ถึงจะสามารถชดเชยสิ่งที่สูญเสียไปได้”
อลิซและจางเหิงพูดอะไรไม่ออก พวกเขาเป็นคนใต้บังคับบัญชา เจ้านายพูดยังไงก็ทำยังนั้น แม้ในใจพวกเขาจะรู้สึกว่าการรีบกลับไปคือกุญแจสำคัญ
ไม่มีเด็กตามมาด้วย การเดินทางของกลุ่มล่าสมบัติก็เร็วยิ่งขึ้น มู่เวยเวยแสร้งทำเป็นล้มเพื่อถ่วงเวลาให้ช้าลง แต่ความคิดที่รอบคอบนี้จะถูกมองออกโดยอลิซ
“มู่เวยเวย ถ้าแกยังคิดที่จะถ่วงเวลา ฉันก็ไม่รังเกียจที่จะให้บอดี้การ์ดอยู่กับเธอ และปล่อยให้พวกเขาผ่อนคลายระหว่างทาง”อลิซยิ้มที่มุมปาก คำพูดของเธอทำให้มู่เวยเวยหนาวสั่น
“ฉันเดินเองได้” มู่เวยเวยพูดพร้อมกับเร่งฝีเท้าไปอยู่ข้างๆคุณฉ่าย ในบรรดาผู้คนมากมายนี้ มีเพียงคุณฉ่ายเท่านั้นที่เป็นกลาง อย่างน้อยเขาก็ไม่เกลียดชังเธอ
สถานที่ที่พวกเขามาในวันนี้เป็นมณฑลเล็กๆที่ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กัน ที่กลับมา ก็เพราะว่าคุณฉ่ายคิดว่าที่นี่น่าจะมีสมบัติซ่อนอยู่มากที่สุด
สถานที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่ปลอดภัยที่สุด เย่ฉ่าวเฉินและมู่เทียนเย่คงคิดไม่ถึงแน่ว่าพวกเขาจะกลับมา
ทางขึ้นภูเขาสูงชันมาก เมื่อมาถึงพุ่มไม้ไม่มีทางแล้ว กาวินก็ผลักเธอมาอยู่ข้างหน้าอย่างไร้ความปราณี ปล่อยให้เธอสำรวจทาง
ตั้งแต่มู่เวยเวยเป็นเด็กเธอมักจะกลัวงูแมลงหนูพวกนี้ ทุกครั้งที่ก้าวเดินเธอก็จะแหย่กิ่งไม้ด้วยความกลัว เพื่อให้สัตว์ที่อยู่ในหญ้าตื่นหนี ไม่อย่างนั้นถ้าเท้าเธอเหยียบอะไรที่นิ่มๆ เธอก็จะหวาดผวา
หลังจากเดินไปสามสี่เมตร ขาของมู่เวยเวยก็มีรอยขีดข่วนจากพุ่มไม้และกิ่งไม้ แต่กาวินยังคงเร่งเธอ “เธอรีบเดินหน่อย”
มู่เวยเวยทนไม่ไหว หันไปตะโกน “คุณมีความสามารถคุณก็เดินสิ รังแกฉันที่เป็นผู้หญิงนับว่ามีความสามารถอะไร ?”
“หยุดพูดเรื่องไร้สาระ และเดินต่อไป”
ในที่สุดก็ปีนขึ้นไปบริเวณที่กว้าง กาวินพูดด้วยความสงสารว่า “พักครู่หนึ่ง”
ในตอนนี้ เสื้อผ้าของมู่เวยเวยเต็มไปด้วยเหงื่อ
เดินมาที่ก้อนหินแปลกประหลาดและนั่งลง มู่เวยเวยใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อ ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ามีอะไรนุ่มๆที่ใต้เท้า เธอก้าวเท้าและเหยียบดูสองที และมีปฎิกิริยาตอบกลับมา หนังศีรษะเริ่มชาชี้ขึ้น เธอตะโกนและวิ่งลงหินไปอีกทาง
หลายคนตะลึงกับการกระทำของมู่เวยเวย ค่อยๆเดินมาใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย
“แกร้องบ้าอะไร ?” อลิซถามด้วยท่าทีรังเกียจ
มู่เวยเวยหอบ สีหน้าซีดเซียวและพูดเสียงสั่นๆว่า “ตรงนั้น.......ข้างล่างนั่น มันนุ่มๆ ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างใต้”
เมื่ออลิซได้ยินดังนั้น เธอก็ถอยกลับออกมาอย่างใจเย็น เพราะเธอก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่งเหมือนกัน
จางเหิงหยิบกริซออกมาจากเอวของเขา และค่อยๆเข้าไปใกล้จุดที่มู่เวยเวยชี้ จากนั้นก็เหวี่ยงกริซอย่างแรง เสียงดัง “หวึด”กริซลอยผ่านอากาศและใบมีดจมอบู่ที่พื้นดิน เหลือเพียงด้ามจับที่อยู่ข้างนอก
สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่กริซ เวลาเหมือนจะเดินตรง แม้แต่เสียงลมก็เงียบลงมาก เงียบไปครึ่งนาที ก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ
ไม่มีเลือดกระเซ็นอย่างที่มู่เวยเวยคิดไว้ จางเหิงหยิบกิ่งไม้และเดินไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ หยิบวัชพืชที่ข้างกริชด้วยกิ่งไม้ ทำให้เห็นดินสีขาว
ดินทางตอนใต้มีลักษณะเป็นดินแดงกรด และดินสีขาวแบบนี้ก็หายาก
จางเหิงก้มตัวลงหยิบกริซ จากนั้นใช้เท้าเหยียบมันสองสามที มันนุ่มจริงๆ ราวกับว่ากำลังเหยียบท้องปลา แต่นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรแปลกไป
“ไม่เป็นไร ก็แค่ดินตรงนี้ค่อนข้างอ่อน มีอะไรที่ไหนกัน ?” จางเหิงพูดขณะเดินขึ้นมา
หลังจากเดินไปสองสามรอบก็ไม่มีอะไร
มู่เวยเวยตัวแข็ง ห๊ะ ? แค่นี้เหรอ ?
คุณฉ่ายเดินไปดู และอธิบายว่า “ภูมิประเทศที่นี่ค่อนข้างเป็นที่เรียบและทางใต้มีฝนตกเยอะ ถ้าระบายน้ำออกไม่ตรงเวลาดินอ่อนก็จะก่อตัวขึ้น แต่ดินอ่อนแบบนี้พบได้ทั่วไปแทบชายฝั่ง ไม่คิดเลยว่าบนเขาก็มี”
มู่เวยเวยยิ้มอย่างเขินอาย “เป็นแบบนี้นี่เอง ฉันคิดว่าฉันเหยียบงูแล้ว”
จางเหิงมองเธออย่างไม่พอใจ จากนั้นก็กลับไปที่เดิมและหยิบขวดน้ำจากกระเป๋าขึ้นมาดื่ม มู่เวยเวยเดินไปที่ก้อนหินใหญ่อีกครั้งด้วยความแปลกใจ และวนรอบๆดินสีขาว นี่ค่อนข้าง.......
ความหมายของคำทั้งสองยังไม่ทันพูดออกมา มู่เวยเวยก็รู้สึกข้างล่างเท้าเธอนั้นว่างเปล่า จากนั้นตัวทั้งตัวก็ตกลงไป
“อ๊า——ช่วยด้วย——”เสียงกรีดร้องที่น่ากลัวดังก้องทั้งป่า
กาวินและคนอีกหลายคนวิ่งมา พื้นสีขาวและนุ่มในตอนนี้กลายเป็นหลุมขนาดใหญ่ที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่าหนึ่งเมตร ร่างของมู่เวยเวยหายไปได้ยินเพียงเสียงกรี๊ดร้องแผ่วเบาและไม่มีที่สิ้นสุดของเธอเท่านั้น
คนที่ปากถ้ำมองหน้ากัน เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร ?
กาวินตะโกนเข้าไป “มู่เวยเวย——”
เสียงหายเข้าไปในหลุมดำ และเสียงร้องของเธอเมื่อครู่ก็หายไปแล้ว
“มู่เวยเวย——” กาวินตะโกนอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ
แย่แล้ว เธอคงไม่ตกลงไป แล้วตกลงไปในท้องของสัตว์อะไรหรอกนะ หรือไม่ก็ตกลงไปตายแล้ว
คุณฉ่ายมองหลุมอย่างละเอียด และพึมพำกับตัวเองด้วยความสงสัยว่า “น่าแปลก เทือกเขาแบบนี้จะมีถ้ำลึกขนาดนี้ได้อย่างไร ?”
ใจของกาวินเต้นรัว สายตาของเขาเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น “ที่นี่ คงไม่ใช่สถานที่ซ่อนขุมทรัพย์หรอกใช่ไหม ? ปากถ้ำนี้คือทางเข้าสู่ขุมทรัพย์ ?”
ทุกคน รวมถึงคุณฉ่ายล้วนตกใจกับคำพูดของกาวิน
พวกเขาค้นหาเกือบหนึ่งเดือน ลัดเลาะไปตามแม่น้ำภูเขาและสันเขา เพื่อหาสมบัติชิ้นนี้ แต่ทุกครั้งก็พบกับความล้มเหลว หรือว่าครั้งนี้จะเจอแล้วจริงๆ ?
ท่าทางของคุณฉ่ายก็ดูตื่นเต้นเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่า เขาถูกกาวินพูดกระตุ้น “ฉันไม่แน่ใจว่าจะใช่ที่นี่รึเปล่า แต่ในเมื่อมาแล้ว เหมือนกับครั้งที่แล้วที่เข้าไปในถ้ำแห่งความตาย เข้าไปดูก็รู้แล้วไม่ใช่เหรอ ?”
กาวินพยักหน้าตอบ “คุณพูดถูก ลงไปดูข้างล่างก็รู้แล้ว” เพียงแต่เขาไม่ได้พูดประโยคถัดไป ทำไมมู่เวยเวยตกลงไปแล้วไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ?
เธอตกอยู่ในอันตรายรึเปล่า ?
“มู่เวยเวย——” กาวินตะโกนอีกครั้ง ครั้งนี้เสียงแผ่วเบาดังมาจากหลุมที่เงียบงัน “ฉันเอง ฉันยังมีชีวิตอยู่”
หลายคนที่ปากหลุมถอนหายใจด้วยความโล่งอก ยังมีชีวิตก็ดีแล้ว คิดว่าเธอจะตายไปแล้ว
“คุณดูว่าข้างล่างมีอะไร ? ”กาวินถาม
จากนั้นผ่านไปสองนาที มู่เวยเวยก็สงเสียงกลับมาพร้อมกับความประหลาดใจอย่างสุดซึ้งว่า “รีบลงมา มีทองและเครื่องประดับมากมาย”
ขณะนี้เกิดความโกลาหลขึ้นด้านนอก พร้อมกับสายตาประหลาดใจของทุกคน
“เจอสมบัติแล้ว เจอสมบัติแล้ว ”ไม่รู้ว่ามีใครกำลังกระซิบ แต่ฉันพูดคำในใจของทุกคนออกมา
กาวินตื่นเต้นมาก ดูเหมือนการเดินทางครั้งนี้จะไม่เสียเปล่า การสูญเสียสมบัติทั้งหมดของเกาะพระจันทร์เหล่านั้นก็เป็นเพียงเล็กน้อย
“หลุมนี้ลึกแค่ไหน ?” คุณฉ่ายเอ่ยปากถาม
“ฉันไม่รู้ แต่ว่าในนี้มีแอ่งน้ำ ตกลงมาก็ไม่ตายหรอก”มู่เวยเวยบอกตามจริง
กาวินสงบความตื่นเต้นลง และหันไปพูดกับอลิซและอีกหลายคนว่า “พวกคุณใครอยากจะลงไปก่อน”
“ผมไปผมไป” บอดี้การ์ดที่อยู่ข้างหน้าคนหนึ่งพูดขึ้น นี่เป็นช่วงเวลาที่ดีที่จะแสดงความจงรักภัคดี
กาวินพอใจมากตบไหล่ของเขาและพูดว่า “ดีมาก พกของที่ควรใช้ลงไปด้วย เผื่อคุณจะได้ใช้มัน”
“ครับ”
เมื่อเตรียมพร้อมทุกอย่าง กาวินก็ตะโกนลงไปในหลุม “มู่เวยเวย คุณถอยไปหน่อย มีคนลงไป”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ
ขอบคุณแอดค่ะ...สนุกค่ะ......
สนุก...