นอกจากเลขาหลิวก็รับรู้ได้ หรือผู้บริหารทุกๆท่านที่มาเข้าร่วมประชุม ทุกคนต่างก้มหน้าพูดคุยกันเบาๆ เมื่อวานไม่ใช่ว่าเพิ่งจะประชุมไปหรอ? ทำไมถึงประชุมอีก?
แต่ว่าเย่ฉ่าวเฉินเข้ามาด้วยใบหน้าที่เย็นชา ระฆังเตือนภัยสั่นสะท้านขึ้นในใจของทุกคนที่นั่งอยู่
"ปัง——”เย่ฉ่าวเฉินนำข้อมูลหนึ่งกองโยนลงบนโต๊ะ มีหลายแผ่นไถลจากหน้าโต๊ะออกไปไกล ยังมีอีกหลายแผ่นล่วงลงบนพื้น
ในพริบตาห้องประชุมนั้นก็เงียบราวกับขี้เถ้าที่ถูกดับมอด อุณหภูมิโดยรอบลดลงหลายองศา มีผู้จัดการก้มลงอยากจะหยิบข้อมูลที่พื้นอย่างหวังดี เย่ฉ่าวเฉินก็มองด้วยสายตาพิฆาต
"ยังจะเก็บขยะประเภทนี้อีกหรอ?" เย่ฉ่าวเฉินใช้น้ำเสียงเฉียบขาด
ผู้จัดการก็ตัวสั่น รีบนั่งลงด้วยใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่กล้าหายใจแรง
เย่ฉ่าวเฉินกวาดสายตาไปรอบๆอย่างเย็นชา พูดว่า "ฉันไม่อยู่นานขนาดนี้ พวกคุณก็สบายๆ ไตรมาสแรกสิ้นสุดแล้ว มูลค่าการซื้อขายยังน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของช่วงเดียวกันของปีก่อนๆ ฉันเชิญพวกคุณมาใช้ชีวิตในวัยเกษียณหรอ?"
ทุกคนก้มหน้าลงอย่างไม่ได้นัดหมายกัน พูดตามความจริง สองสามเดือนมานี้ก็สบายมากจริงๆ
เย่ฉ่าวเฉินกอดอกเดินไปช้าๆ "ฉันรู้ แน่นอนพวกคุณอยากจะบอกว่าประธานเหยียนไม่คุ้นเคยกับธุรกิจ ดังนั้นจึงลดประสิทธิภาพลง ฉันยอมรับเหตุผลด้านนี้ แต่ว่า ไตรมาสแรกมีหลายสิ่งที่จัดการจากปีก่อนไว้เป็นอย่างดี ความขี้เกียจในการทำงานก็คือความขี้เกียจ อย่าหาเหหตุผลมาอ้างกับฉัน"
"รายงานที่ส่งมาเมื่อวานนี้ พวกคุณไม่ละอายใจที่จะเขียนขยะเหล่านี้ออกมา ก็ไม่ลายใจที่จะให้ฉันอ่านบ้างหรอ? คุณรู้ไหมว่าเย่ฮวางมีการแสดงเช่นนี้เมื่อสามปีก่อน? ทุกคนที่นั่งอยู่ ก็ถูกหักเงินเดือนหนึ่งเดือน นอกจากนี้ หากไตรมาสนี้ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน ฉันจะไล่ออกตั้งแต่ผู้จัดการยันพนักงานทั้งหมด เย่ฮวางของฉันไม่ใช่สถานสงเคราะห์คนชรา"
หลังจากต่อว่าจบ เย่ฉ่าวเฉินก็โมโหเดินออกไปจากห้องประชุมเลย
ในห้องประชุม คนมองไปที่หน้าประตู จากนั้นก็ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก จากนั้นเสียงร่ำไห้ก็ดังขึ้นตามมา
"ฉันบอกว่าประธานเย่ใจดีมากในการประชุมเมื่อวานนี้ ยังคิดว่านิสัยของเขาเปลี่ยนไปแล้ว ที่แท้ฉันคิดมากไป เฮ้อ……”
"ยอดขายเสื้อผ้าสตรีในช่วงเดียวกันของปีก่อนสูงที่สุดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ปีนี้ต้องมากกว่าปีที่แล้ว โอ้พระเจ้า ใครจะมาช่วยฉันล่ะ?"
"พระเจ้าช่วยคุณไม่ได้หรอก มีแค่พวกผู้หญิงที่จะช่วยคุณได้ ไม่ต้องพูดแล้ว รีบหาวิธีเอาใจคุณผู้หญิง ทำให้พวกเธอมาซื้อเสื้อผ้ากันเถอะ"
เพราะว่าพรุ่งนี้เย่ฉ่าวเหยียนก็จำไปแล้ว มู่เทียนเย่กับเสี่ยวซีหร่านก็มาเพื่อส่งเขาเดินทาง
อากาศร้อนขึ้นเรื่อยๆ เพื่อทำให้บรรยากาศมีชีวิตชีวา พ่อบ้านหวังจัดแผงย่างบาร์บีคิวริมทะเลสาบ เสียบไม้ย่างปลาย่างผัก รสชาติอาหารเทียบได้กับบาร์บีคิวมืออาชีพ
เสี่ยวซีหร่านทำอาหารไม่เป็น แต่มีฝีมือในการย่างบาร์บีคิว ไม่มีมาดของคุณผู้หญิง มาถึงก็ขอผ้ากันเปื้อนฉินหม่า เปลี่ยนเป็นรองเท้าส้นแบนของเวยเวย พับแขนเสื้อขึ้นแล้วเริ่มลงมือ แน่นอนว่ามู่เทียนเย่ไม่สามารถช่วยแฟนได้ ตัวเองยืนพัดอยู่ข้างๆ แล้วเช็ดเหงื่อให้
"พี่หร่าน คาดไม่ถึงว่าคุณจะเก่งขนาดนี้ นึกไม่ถึงว่าจะมีฝีมือขนาดนี้" เย่ฉ่าวเหยียนชื่นชมจากใจจริง
เสี่ยวซีหร่านยิ้มอย่างภาคภูมิใจ "นี่อะไรกัน? สิ่งที่ฉันทำได้ดีที่สุดคือย่างแกะทั้งตัว แน่นอนว่าด้านนอกไหม้เกรียมแต่ด้านในยังนุ่มอยู่ สีสันกลิ่นหอนครบถ้วน"
"ห๊ะ พี่หร่าน นี่คุณมีความสามารถหลายด้านมากเลย ยังมีพี่สาวหรือน้องสาวไหม? แนะนำให้ฉันสักคนหนึ่งสิ" เย่ฉ่าวเหยียนพูดติดตลก
"ไม่มีหรอก สามชั่วอายุคนของตระกูลเสี่ยวของเรา ฉันเป็นลูกคนเดียว"
เย่ฉ่าวเหยียนมองไปที่มู่เทียนเย่ที่อยู่ข้างๆ ยิ้วพูดว่า "งั้นต่อไปพวกคุณก็ต้องมีลูกหลายๆคน ถ่ายทอดยีนที่ยอดเยี่ยมนี้ของคุณ"
เสี่ยวซีหร่านพลิกเสียบเนื้อในมือ "นั่นจำเป็น ฉันคิดไว้ดีแล้ว ถึงเวลานั้นฉันอยากมีลูกสักสองคน คนหนึ่งซี่เสี่ยว อีกคนหนึ่ง……”
"อีกคนหนึ่งก็ค้องแซ่มู่ นี่ยังต้องสงสัยอีกหรอ?" มู่เทียนเย่พูดอย่างเผด็จการ
เสี่ยวซีหร่านเลิกคิ้วขึ้น "ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของคุณ"
มู่เทียนเย่ไม่หลีกเลี่ยงเลยแม้แต่น้อย จูบที่ติ่งหูของเธอ พูดว่า "ฉันรู้แล้ว ตอนกลางคืนฉันจะทุ่มเทพยายาม"
ใบหน้าของเสี่ยวซีหร่านเปลี่ยนเป็นสีแดงโดยไม่ได้ตั้งใจ หันหน้าไปมองเขาอย่างเขินอาย
เย่ฉ่าวเหยียนถูกโจมตี จึงพูดอย่างเกินจริงว่า "โอ้พระเจ้าโอ้พระเจ้า ฉันไม่ไหวแล้ว ภาพบาดตาบาดใจนี้ ฉันต้องการผ่อนคลายสักหน่อย"
เสี่ยวซีหร่านไม่ต่อว่า ยังคงย่างบาร์บีคิวอย่างใจจดใจจ่อ เสลานี้พ่อบ้านหวังนำไวน์แดงมาสองสามขวด เธอเห็นก็ตะโกนเรียกเขา "คุณอาหวัง กินบาร์บีคิวต้องดื่มเบียร์ โดยเฉพาะต้องแช่เย็น คุณไปเอาเบียร์มาสักสองสามกล่อง"
เบียร์? พ่อบ้านหวังกลุ้มใจ ไม่มีใครในครอบครัวเคยดื่มเบียร์ ห้องเก็บไวน์ก็ไม่ได้เตรียมไว้
"ไม่มีหรอ?" เสี่ยวซีหร่านถาม
"ฉันจะให้คนไปซื้อตอนนี้เลย" เขาเป็นพ่อบ้านสารพัดประโยชน์เช่นนี้เลยหรอ?
เย่ฉ่าวเหยียนได้ยิน ล้วงโทรศัพท์ไปด้วยพูดไปด้วย "ไม่ต้องส่งคนออกไปหรอก พี่ชายฉันเพิ่งเลิกงานไม่ใช่หรอ? ฉันจะโทรหาเขา ให้เขาซื้อกลับมาด้วย"
"อืม โอเค"
มู่เวยเวยไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับบาร์บีคิวเลย หน้าที่หลักของเธอคือการดูผิงอัน อย่าให้ไปวุ่นวาย
เย่ฉ่าวเฉินกลับมาบ้านก็ให้พ่อบ้านหวังหยิบเบียร์ลง ตนเองก็กลับไปที่ห้องแล้วเปลี่ยนเป็นชุดอยู่บ้าน มาที่ริมทะเลสาบก็เห็นภาพที่ดูมีความสุข ความเหนื่อยล้าในวันนี้ก็หายไปหมด
"พ่อ——” ผิงอันเรียกแล้ววิ่งเข้าไป เย่ฉ่าวเฉินก็ก้มตัวไปอุ้มขึ้นมา
"คุณเชื่อฟังไม่ดื้อใช่ไหม?" เย่ฉ่าวเฉินแตะจมูกน้อยๆแล้วถาม
"ฉันไม่ดื้อ ไม่วุ่นวายเลย" ผิงอันพูดตาโต
"เด็กดีจริงๆ"
เสี่ยวซีหร่านเห็นว่าเขากลับมา ยกเนื้อย่างในมือแล้วพูดหยอกล้อว่า "โอ้ พระเอกความจำเสื่อมกลับมาแล้ว"
"พวกคุณก็มาด้วย" เย่ฉ่าวเฉินยิ้มทำอะไรไม่ถูก
เสี่ยวซีหร่านหันหน้าไปถามมู่เทียนเย่อย่างจงใจ "ใช่สิ ดูเหมือนฉันจะจำได้ว่าสองวันก่อนมีคนจะมาลงมือกับฉันในงานแต่งของเขา คนคนนั้นคือใครอ่ะ"
มู่เทียนเย่เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย "ฉันก็จำได้ว่าหมอนั่นไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ใครนะ"
เย่ฉ่าวเฉินก็ยอมอ่อนข้อโดยทันที ขอโทษจากใจจริง "ขอโทษด้วยขอโทษด้วย ในตอนนั้นฉันสับสน ไม่ได้ให้เกียรติราชินีเสี่ยว นายท่านอยู่สนใจคนต่ำต้อยเลย ปล่อยฉันไปสักครั้งหนึ่งได้ไหม?"
เดิมทีเสี่ยวซีหรานต้องการแกล้งเขาอีกสองสามประโยค เห็นเขาทำท่าทีเช่นนี้ ก็มีความสุขแล้ว "ยากนะที่จะเห็นคุณถ่อมตัวเช่นนี้"
"แน่นอน ฉันรู้ข้อผิดพลาดของตัวเองมาโดยตลอดและสามารถแก้ไขได้" เวลานี้เย่ฉ่าวเฉินยังไม่ลืมที่จะปิดทองหลังพระให้ตนเอง
ท้องฟ้ามืดลง เสี่ยวซีหร่านก็ย่างเนื้อจานใหญ่สองจาน จากนั้นก็ให้ที่ตำแหน่งแก่ฉินหม่าไป
เย่ฉ่าวเฉินเติมเบียร์ให้คนทั้งสี่ มู่เวยเวยก็รีบพูดว่า "ฉันก็ต้องดื่ม"
"คุณดื่มน้ำผลไม้เถอะ" เย่ฉ่าวเฉินรู้ความสามารถในการดื่มเหล้าของเธอดี
"หนึ่งแก้วไม่เมาหรอก"
"พี่ ให้เธอดื่มสักแก้วเถอะ ทุกคนเป็นคนในครอบครัว ขายหน้าก็ไม่เป็นไร"
เสี่ยวซีหร่านก็หัวเราะ เรื่องขายหน้าของเวยเวยเธอรู้จากปากมู่เทียนเย่มาก่อนแล้ว ดูน่าสนุกไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่โต "ใช่ใช่ ทุกคนเป็นคนในครอบครัว ขายหน้าก็ไม่หัวเราะเยาะเธอหรอก"
เย่ฉ่าวเฉินจนปัญญา จำใจเทเหล้าให้ฝ่ายหญิงหนึ่งแก้ว
เย่ฉ่าวเหยียนใบหน้างดงาม บุคลิกดูดี เขายกแก้วขึ้นและพูดว่า "ขอบคุณพี่มู่กับพี่หร่านที่มาส่งฉัน ดื่มให้พวกคุณหนึ่งแก้วด้วยความเคารพ"
เงยหน้าขึ้น ทั้งสามคนดื่มอึกเดียวหมด
"แก้วที่สอง ฉันเคารพเวยเวย" เย่ฉ่าวเฉินเผยรอยยิ้มในดวงตา "ถ้าไม่ใช่คุณ พี่ของฉัน ฉันแล้วก็พี่มู่ เราอาจเกลียดกันไปตลอดชีวิต เพราะคุณ เราจึงสามารถนั่งด้วยกันอย่างสันติได้ในวันนี้ ขอบคุณนะ"
มู่เวยเวยชนแก้วกับเขาเล็กน้อย "คุณพูดสุภาพขนาดนี้ฉันเกรงใจเลย เมื่อก่อนคุณก็ช่วยฉันไว้มาก เพื่อนกันไม่ต้องพูดสุภาพขนาดนี้หรอก ชนแก้ว" พูดจบเธอก็เงยหน้าขึ้นทันที ทำได้จริงๆ
เร็วจนเย่ฉ่าวเฉินห้ามไม่ทัน
เย่ฉ่าวเฉินอยากให้เธอเป็นอิสระ คาดไม่ถึงว่าเธอจะกล้าได้กล้าเสียขนาดนี้ ดื่มเบียร์หมดแก้วโดยไม่ลังเลสักนิด
เติมแก้วที่สาม เขาจึงมองไปทางพี่ชายของตนเอง "พี่ แก้วนี้ฉันเคารพพี่ ขอบคุณที่คุณทำทุกอย่างเพื่อตระกูลเย่ ฉันจึงสามารถทำในสิ่งที่อยากทำได้อย่างสบายใจ แสวงหาชีวิตที่ฉันต้องการ ขอบคุณนะ"
"เด็กน้อย คุณมาสุภาพอะไรกับพี่ชายล่ะ? ทั้งหมดนี่เป็นสิ่งที่ฉันควรทำ"
กิ๊ง ชนแก้วด้วยกัน เสียงใสดังขึ้นมา
"เอาล่ะ กินแล้วนะ" มู่เวยเวยอดไม่ได้ที่จะน้ำลายไหลหลังจากได้กลิ่นหอม หยิบมาหนึ่งไม้แล้วกัดหนึ่งคำ ว้าว รสชาตินี้ อร่อยเหลือเกิน
"กินกินดื่มๆมันไม่มีความหมายอะไร เรามาเล่นอะไรกันดีกว่า" เสี่ยวซีหร่านกล่าว
"เล่นอะไรล่ะ?" มู่เวยเวยหยิบบาร์บีคิวถามอย่างเยินยอ
ดวงตาของเสี่ยวซีหร่านหันไปรอบๆ แล้วก็ไปตกที่เย่ฉ่าวเฉิน หัวเราะพูดว่า"เย่ฉ่าวเฉิน ขอถามหน่อยนะ คุณมีพลังพิเศษอะไร"
ทันทีที่พูดคำนี้ ที่เกิดเหตุก็เงียบไปชั่วขณะ ดวงตาทั้งหมดจดจ่อไปที่เย่ฉ่าวเฉิน เพราะว่าทุกคนก็อยากรู้เรื่องนี้อย่างมาก เพียงแต่นี่เป็นการก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของเขา เกรงใจที่จะถามก็เท่านั้น
เย่ฉ่าวเฉินเห็นเสี่ยวซีหร่านมองมาที่เขาด้วยสายตามุ่งร้าย ถามอย่างระวังตัวว่า "คุณคิดจะทำอะไร?"
เสี่ยวซีหร่านไม่เขินอาย พูดอย่างสบายใจมากว่า "ไม่ได้จะทำอะไร ก็แค่……ฉันคนนี้ประหลาดใจมาก ฉันอยากเข้าใจขอบเขตอันนี้สีกหน่อย"
เย่ฉ่าวเฉินมองคนอื่นๆ รวมถึงมู่เวยเวยก็เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น จำใจต้องประนีประนอม "ช่างเถอะ วันนี้ฉันอารมณ์ดี ก็จะทำให้พวกคุณดู"
"คุณจะทำให้ฉันเห็นใช่ไหม?" เสี่ยวซีหร่านไม่อยากจะเชื่อหูของตนเอง
เย่ฉ่าวเฉินถามด้วยความเย่อหยิ่ง "คุณจะไม่ให้ฉันแสดงหลังจากที่ฉันพูดไปหรือไง?"
"ให้สิ" เสี่ยวซีหร่านย่ำเท้าของอย่างมีความสุข เธอแค่ถาม แต่คาดไม่ถึงว่าเขาจะเห็นด้วยกับคำขอที่ไร้เหตุผลนี้
"งั้นก็หมดเรื่องแล้ว" เย่ฉ่าวเฉินพูดจยก็หลับตา เมื่อลืมตาอีกครั้ง ตาสีฟ้าก็เปลี่ยนกลายเป็นสีม่วงไปแล้ว เขางอนิ้วของเขา บาร์บีคิวสองสามไม้จากจานบนโต๊ะก็ลอยขึ้นมา ชี้อีกครั้ง บาร์บีคิวก็ลอยไปอยู่ตรงหน้าของคนทั้งสี่
นอกจากมู่เวยเวย อีกสามคนก็ประหม่ามากที่จะคว้าไม้บาร์บีคิวตรงหน้า
มันน่าตื่นเต้นมากที่ได้ชมอย่างใกล้ชิด
ต่อมา เย่ฉ่าวเฉินก็ทำให้ขวดเหล้าสองขวดลอยขึ้น ปากขวดหันลง เมื่อทุกคนคิดว่าเหล้าจะหกลงมา ขอเหลวก็แยกเป็นสี่มุมเทลงแก้วของทั้งสี่คน หลังจากเทเต็มแล้ว ขวดเหล้าก็ค่อยๆล่วงลงมาเป็นปกติ
"ยังมีหายไปในพริบตา ลอยมาลอยไป สิ่งเหล่านี้พวกคุณเคยเห็นแล้ว แล้วก็หยุดเวลา อันนี้ทำแล้วพวกคุณจะไม่รู้สึกอะไร" เย่ฉ่าวเฉินพูดเรียบๆ
เสี่ยวซีหร่านกับมูเทียนเย่มองตากัน ครั้งนี้เป็นการเปิดหูเปิดตาจริงๆ
"เย่ฉ่าวเฉิน เมื่อไหร่กันที่คุณรู้ว่ามีพลังที่แตกต่างซ่อนอยู่ในตัวคุณ" เสี่ยวซีหร่านพูดอย่างสนใจมาก
"ตอนเรียนมัธยม" เย่ฉ่าวเฉินขมวดคิ้วนึกสักครู่แล้วพูดว่า "มีอยู่คืนหนึ่ง ฉันตกใจตื่นจากความฝัน จู่ๆฉันก็พบว่าตัวเองลอยอยู่ในอากาศ ฉันยังคิดว่าผีหลอก อยากจะตะโกนดังๆ แต่ไม่มีเสียง ฉันก็หล่นลงบนเตียง ต่อมาก็ค่อยๆ ฉันพบว่าเมื่อสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับฉัน ตาของฉันก็จะเปลี่ยนเป็นสีม่วง"
"ฉันจำได้ว่าคุณรู้สึกหดหู่ใจมากในช่วงหนึ่ง ขังตัวเองอยู่ในห้องตลอด ฉันเรียกคุณไปเล่นด้วยกัน คุณก็ไม่สนใจฉัน คือตอนนั้นใช่ไหม?" เย่ฉ่าวเหยียนถาม
เย่ฉ่าวเฉินพยักหน้า ยิ้มเจื่อนๆพูดว่า "ใช่ ในเวลานั้นฉันพบว่าร่างกายตนเองผิดปกติ กลัวมาก ฉันคิดว่าตนเองเป็นปีศาจหรือถูกผีเข้าสิง เดิมทีก็ไม่กล้าพูดคุยกับคนในครอบครัว แล้วก็ไม่กล้าทำให้พวกเขาเห็น ดังนั้นจึงจำใจต้องขังตนเองไว้"
ได้ฟังคำพูดเหล่านี้ของเขา มู่เวยเวยก็เจ็บปวดใจแทนเขาเล็กน้อย นึกขึ้นได้ว่า นักเรียนคนหนึ่งที่ยังไม่รู้จักโลกทุกด้านทุกมุม จู่ๆต้องเผชิญหน้ากับตนเองว่าจริงๆอาจจะเป็นลูกปีศาจ ไม่หมดอาลัยตายอยากก็ดีแล้ว"
สถานที่ตกอยู่ในความเงียบ เวลานี้ บาร์บีคิวสองสามไม้บนโต๊ะลอยขึ้นอีกครั้ง แต่ไม่มีกฏเกณฑ์ ชนกันยุ่งเหยิงไปหมด
"ฉ่าวเฉิน อย่าเล่นสิ" มู่เวยเวยหลบหลีกมันฝรั่งทอดจำนวนมากที่บินตรงมาหาตนเอง รีบพูดกับเย่ฉ่าวเฉิน
เย่ฉ่าวเฉินกางมือออก "ฉันยังไม่ได้ขยับเลย"
"งั้นของเหล่านี้ลอยมาได้ยังไงล่ะ?"
เย่ฉ่าวเฉินก็นึกอะไรบางอย่างได้ สายตาของเขาตกไปที่อยู่ลูกชายข้างๆ เป็นไปอย่างที่คิดไว้ เขาหัวเราะอย่างสนุกสนาน
"ผิงอัน หยุดเดี๋ยวนี้" เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างเอาจริงเอาจัง
ผิงอันถูกพ่อทำให้ตกใจกลัว พลังเหนือธรรมชาติก็หายไป จากนั้นเนื้อและผักในอากาศก็หล่นลงมา โชคดีที่ไม่ตกใส่คนสามสี่คนนั้น
เย่ฉ่าวเฉินใช้นิ้วเขี่ยที่ไหล่ของเขา ให้เขามองตน พูดอย่างเฉียบขาดจริงจังว่า "ต่อไปนี้นอกจากในบ้าน ก็ห้ามทำซี้ซั้วอีก"
ผิงอันจะเข้าใจความหมายทำซี้ซั้วของเขาได้อย่างไร รู้สึกอยากที่จะแสวงหาความรู้เลยถามว่า "ทำซี้ซั้วคืออะไร?"
เย่ฉ่าวเฉินกลุ้มใจ "ก็คือทำเหมือนเมื่อกี้นี้ ทำให้ของลอยขึ้นมา หรือว่าทำให้ตนเองลอยไปลอยมา"
ผิงอันพูดอย่างไม่สบายใจ "งั้นเมื่อกี้คุณก็ทำซี้ซั้ว ทำไมฉันจะทำไม่ได้?"
เย่ฉ่าวเฉินระงับความโกรธในใจ อธิบายอย่างอดทน "เพราะว่าคุณยังเป็นเด็ก ยังไม่สามารถควบคุมพลังเหล่านี้ได้ดี เหมือนเมื่อกี้ คุณเกือบทำร้ายแม่ อีกทั้งถ้ามีถูกคนเห็นว่าคุณทำสิ่งเหล่านี้ พวกเขาจะจับคุณไป คุณก็จะไม่ได้เห็นพ่อแม่ไปตลอดกาล"
ผิงอันเผยความกลัวให้เห็น หันไปมองมู่เวยเวย "แม่ คนร้ายจะมาจับตัวฉันไปหรอ?"
"ใช่ ถ้าคุณไปทำเช่นนี้ข้างนอก คนร้ายจะมาจับตัวคุณไป"
ผิงอันดูเหมือนจะคิดอย่างถี่ถ้วนอยู่ครู่หนึ่ง ก็พูดว่า "งั้นโอเค ต่อไปฉันจะไม่ทำเช่นนี้อีกแล้ว"
ในที่สุดเย่ฉ่าวเฉินก็โล่งอก "เด็กดี รอให้โตขึ้นอีกหน่อยพ่อจะสอนคุณว่าพลังเหล่านี้ใช้อย่างไร"
"อืม" ผิงอันหดหู่เล็กน้อย จริงๆเมื่อกี้นี้เขารู้สึกว่าสนุกมากๆ แต่ในเมื่อพ่อกับแม่บอกว่าไม่ให้ทำ งั้นต่อไปเขาจะแอบๆเล่นในห้องของตัวเอง"
ทั้งสามคนรวมถึงเย่ฉ่าวเหยียนตกใจ ผิงอันก็ได้รับการถ่ายทอดยีนนี้ด้วยหรอ?
มู่เวยเวยพูดอย่างจนปัญญา "ฉันคาดว่าลูกศิษย์จะเก่งกว่าครูซะอีก เมื่อไม่นานมานี้ที่เราถูกลักพาตัว ในคืนหนึ่งจู่ๆฉันพลิกตัวก็พบว่าเขาหายไป เมื่อลืมตาขึ้นเขาก็ลอยอยู่ตรงหน้าฉัน ในเวลานั้นฉันกลัวมากจนแทบจะกรีดร้อง ต่อมาระหว่างทางฉันกลัวว่าคนอื่นจะค้นพบความผิดปกติของเขา เวลานอนหลับในทุกๆคืนจำเป็นจะต้องจับแขนเขาไว้"
เย่ฉ่าวเฉินพูดต่อว่า "ยังมีอีก วันนี้ตอนเช้าที่ฉันกระโดดลงมา เป็นเขาที่หยุดเวลาไว้ แล้วยังเรียกฉันให้ฟื้นอีก"
"ห๊า?" สายตาของทุกคนจดจ่อไปที่เจ้าตัวเล็ก โอ้พระเจ้า เขายังเด็กก็เก่งขนาดนี้เลยหรอ? แล้วตอนโตล่ะ?
ผิงอันยิ้มตาหยีแล้วหันกลับไปมองทุกคน รูปร่างเล็กๆที่ไม่เป็นอันตรายของคนๆหนึ่ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ
ขอบคุณแอดค่ะ...สนุกค่ะ......
สนุก...