ต้วนอีเหยาคิดพิจารณาอยู่นาน สุดท้ายจึงพูดออกอย่างผ่อนคลาย “ตกลง”
พนักงานเมื่อเห็นเจ้านายเข้ามา ก็รีบมาทำความเคารพ “ท่านประธานเย่สวัสดีค่ะ”
“อืม คุณมีอะไรก็ไปทำเถอะ” เย่จิงเหยียนไม่อยากให้ใครมาทำงานแทนที่เขา
“ค่ะ”
ต้วนอีเหยาที่เดิมตามเขามานาน ได้เปิดโลกทัศน์มากขึ้น พูดชื่นชมอย่างจริงใจ “เสื้อผ้าร้านนายสวยกว่าร้านอื่นๆ”
“ลองดูสิคุณชอบแบบไหน?” เย่จิงเหยียนมองเธอด้วยความอ่อนโยน
ต้วนอีเหยามองเห็นชุดกระโปรงชุดหนึ่ง พื้นหลังสีขาว ด้านบนมีภาพพิมพ์ลายใบบัวจางๆ และตรงไหล่มีลายดอกบัวสีชมพูเข้ม ชุดนี้ดูแล้วให้ความรู้สึกสดชื่น
“ชุดนี้ สวยมาก”
“แม่ผมได้ยินแบบนี้ คงดีใจมากแน่ๆ”
ต้วนอีเหยาแปลกใจ “ทำไมล่ะ?”
“เพราะชุดนี้แม่เป็นคนออกแบบเองกับมือ” เย่จิงเหยียนพูด พร้อมกับสั่งให้พนักงานนำชุดที่มีขนาดพอดีกับเธอมา
“แม่ของนายเป็นดีไซน์เนอร์เหรอ?”
“อืม และเป็นดีไซน์เนอร์ที่มีชื่อเสียงมาก แต่แม่ไม่ค่อยได้ออกแบบเสื้อผ้าแล้ว จะทำบางครั้งบางคราวที่เมื่อสนใจ และนี่ก็คือผลงานของแม่” เย่จิงเหยียนพูดด้วยความภาคภูมิใจ
“ไม่คิดว่าอาอี๊จะเก่งขนาดนี้”
“ไปลองสิ”
เมื่อเปลี่ยนชุดเสร็จ ต้วนอีเหยาออกมายืนอยู่หน้ากระจกพร้อมรอยยิ้มสดใจ เสื้อผ้าดูดี และคนใส่ก็สวยอีกด้วย
“อีเหยา”
มีเสียงเรียกดังมาจากด้านหลัง ต้วนอีเหยาจึงหันกลับไป “แชะ!” รูปถ่ายถูกบันทึกไว้ในโทรศัพท์ของเขา ดวงตาสีเข้มเป็นประกาย รอยยิ้มเล็กๆ ปรากฎขึ้นที่มุมปาก คนที่ยืนอยู่ตรงนั้น งดงามราวกับดอกบัวสูงส่งและบริสุทธิ์
“ฉันขอดูหน่อย สวยไหม?” ต้วนอีเหยาโน้มตัวไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัว มองดูรูปถ่ายแล้วยิ้ม “ทำไมดูดีกว่าตัวจริง”
“ตัวจริงก็สวยเหมือนกัน” เย่จิงเหยียนพูดเบาๆ
“นายเก็บภาพนี้ไว้ได้ แต่ไม่อนุญาตให้เอาไปเผยแพร่”
“แน่นอน จะมีแค่ผมคนเดียวเท่านั้นที่ได้ดู” เขาจะยอมให้คนอื่นเห็นต้วนอีเหยาที่สวยงามเช่นนี้ได้อย่างไร
“งั้นฉันจะใส่ชุดนี้ไปดูตัว รับรองว่าหนุ่มวิศวะคนนั้นต้องตกหลุมรักฉัน” ต้วนอีเหยาเชิดหน้าอย่างพออกพอใจ
เย่จิงเหยียนตัวแข็งทื่อ เขาไม่ได้ต้องการให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นเช่นนี้
“คุณ… อยากให้อีกฝ่ายตกหลุมรักคุณเหรอ?”
“ก็อย่างที่พูด ถ้าในกรณีที่ฉันชอบเขาเหมือนกันคงพอเหมาะ และก็เกี่ยวกับความกังวลของพ่อ”
เย่จิงเหยียนขบฟันแน่น แบบนี้ไม่ได้ เมื่อมองเห็นชุดเดรสสีอ่อนตรงมุมก็พูดขึ้น “ทำไมไม่ลองชุดนี้ดูล่ะ ดูดีเหมือนกันนะ”
แต่ต้วนอีเหยาปฎิเสธ “ไม่ล่ะ ฉันชอบชุดนี้ ตอนนี้ก็สายแล้ว เราไปที่นัดกันเถอะ”
เย่จิงเหยียนมองไปยังแผ่นหลังเรียวยาวของเธอ นั้นเรียกว่าความกลัดกลุ้มใจที่ปิดกั้นไว้ไม่ไหว จำเป็นต้องหิ้วของแล้วเดินตามไป
สถานที่นัดพบที่ตกลงกันไว้คือร้านอาหารจีนที่อยู่ใกล้ๆ
ประมาณห้านาที ต้วนอีเหยาและเย่จิงเหยียนก็ก้าวเข้ามาอยู่ในร้านอาหารจีน
“น่าจะยังมาไม่ถึง” ต้วนอีเหยาสังเกตมองอย่างกระตือรือร้น “ฉันโทรหาหน่อย”
พอถาม อีกฝ่ายก็บอกทันทีว่ามาถึงแล้ว
เย่จิงเหยียนช่วยเธอมองหาที่นั่งเด่นๆ จากนั้นตัวเองก็นั่งอยู่ฝั่งเฉียงๆ กับเธอ ตรงนี้เห็นหน้าคนที่มาดูตัวได้ชัดเจน
หลังจากที่พูดว่าทันที ต้วนอีเหยารออยู่เกือบสิบนาทีก่อนจะเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งรีบเดินเข้ามา สัญชาตญาณของเธอบอกว่าเขาคือผู้ชายคนนั้น
ดูจากที่เขาก้มดูโทรศัพท์ จากนั้นไม่กี่วินาที โทรศัพท์มือถือของต้วนอีเหยาก็ดังขึ้น
มองหาเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ เมื่อชายหนุ่มเห็นต้วนอีเหยา เย่จิงเหยียนที่นั่งอยู่เฉียงๆ เห็นความประหลาดใจในแววตาของเขาอย่างชัดเจน
เฮ้อ ผู้ชายคนนี้ตัดสินคนด้วยรูปลักษณ์ภายนอก เย่จิงเหยียนพึมพำอยู่ในใจ
เพราะคุณสมบัติทางวิชาชีพ ต้วนอีเหยาเคร่งขรัดเรื่องเวลาเป็นอย่างมาก ในความคิดของเธอ แม้เพียงนาทีก็มีความเป็นไปได้ที่จะทำให้เครื่องบินรบล่าช้าได้ ช้าเพียงห้านาทีกองทัพทั้งหมดคงถูกทำลายไปแล้ว
ดังนั้น ความประทับใจแรก หักห้าคะแนน
แม้ว่าผู้ชายคนนี้จะดูเย่อหยิ่งและหล่อเหลา แต่การมาสายก็เกินที่เธอจะรับได้
“สวัสดีค่ะ ผมหวังหงกวง”
ต้วนอีเหยาลุกขึ้น จับมือเบาๆ แล้วปล่อย “สวัสดี ฉันต้วนอีเหยา เชิญนั่ง”
ทั้งสองคนนั่งลง หวังหงกวงเรียกพนักงานมาสั่งอาหาร ต้วนอีเหยาหิวมากหลังจากซื้อของมาตลอดทั้งเช้า เขาถ่อมตัวเล็กน้อย เธอก็ไม่เกรงใจเช่นกัน สั่งเนื้อเผ็ดๆ มาสองจาน หวังหงกวงขมวดคิ้ว แล้วสั่งอาหารมังสวิรัติสองจาน
“ได้ยินมาจากพ่อว่าคุณเป็นผู้พัน เก่งจริงๆ” หวังหงกวงเอ่ยปากชมเธอทันที
ต้วนอีเหยายิ้มแล้วพูดอย่างสุภาพ “ที่ไหนล่ะคะ เป้าหมายของฉันคือเป็นพลเอก ไม่รู้ความปรารถนานี้จะเป็นจริงไหม”
“คุณยังจะเป็นทหารต่อเหรอครับ?” หวังหงกวงถามด้วยความประหลาดใจ
“แน่นอนค่ะ ฉันไม่เป็นทหารแล้วจะให้ทำอะไร?”
หวังกงกวงชะงัก “ผมนึกว่าที่คุณมาดูตัว เพราะอยากปลดเกษียณ”
ต้วนอีเหยาสีหน้าจริงจัง “ฉันเป็นทหาร ข้อเท็จจริงนี้จะไม่มีเปลี่ยนแปลงใดๆ”
“ถ้าคุณต้องแต่งงานล่ะ คุณจะทำยังไง?”
“แต่งก็แต่งสิค่ะ ทำไม? ความหมายของคุณคือเป็นทหารแต่งงานไม่ได้เหรอ?” ต้วนอีเหยายิ้ม ความดุฉายอยู่ในแววตา มองดูทำให้อีกฝ่ายอึดอัด
หวังหงกวงเห็นว่าบรรยากาศการสนทนาค่อนข้างตึงเครียด จึงพูดให้บรรยากาศผ่อนคลาย “เปลาครับ อย่าเพิ่งเข้าใจผิด พ่อของผมก็เป็นทหาร ผมเคารพอาชีพทหารอยู่แล้ว เพียงแค่อยากทำความเข้าใจ”
“อืม” ต้วนอีเหยาหมดความสนใจในตัวเขาทันที ผู้ชายคนนี้หน้าตาดีก็จริง ทำไมความคิดล้าหลังแบบนี้ คิดว่าผู้หญิงต้องกลับไปอยู่บ้านหลังจากแต่งงาน?
เย่จิงเหยียนรู้สึกว่าตัวเองคิดถูกอย่างยิ่ง จากที่เฝ้าสังเกตเขาเข้าใมจความคิดของต้วนอีเหยาเป็นอย่างดี เขาแสดงออกว่าตนเองรับได้ทั้งหมด ตราบใดที่ได้อยู่กับต้วนอีเหยา ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ย่อมได้ ท้ายที่สุดก็ด้วยสามารถของเขา ไม่ว่าจะเวลาใดหรือที่ไหนก็ไม่ใช่ปัญหา
พนักงานเสิร์ฟมาได้ทันเวลาทำลายบรรยากาศอึดอัดใจของทั้งคู่
หมาล่าเซียงกัวและหมูสามชั้นผัดพริกยกมาเสิร์ฟ ต้วนอีเหยาเริ่มน้ำลายไหล พูดอย่างตรงไปตรงมา “ทานเลยค่ะ ไม่ต้องเกรงใจ”
ไม่ว่าเธอจะไปที่ไหนก็ทำแบบนี้เสมอ แม้เพียงที่ที่มีเหล่าข้าราชการมากมาย เมื่อหิวก็ต้องกิน เธอก็มีความสามารถด้านจริงๆ ไม่มีใครทำแบบเธอได้
ในทางตรงกันข้าม หวังหงกวงเป็นคนมีมารยาทอย่างมาก ใจหนึ่งคิดว่าเธอเป็นคนตรงไปตรงมา ในขณะที่อีกใจก็แอบด่าว่าเธอหยาบคาย และอีกอย่างเขาไม่กินอาหารรสจัด โดยเฉพาะทั้งเนื้อและทั้งเผ็ดแบบนี้ มันไม่ดีต่อสุขภาพ ตรงข้ามกับลูกสาวของหัวหน้าพ่อ เขาได้แต่ฝืนยิ้ม
“ต้วน...คุณผู้หญิง คุณทานเผ็ดมากๆ เลย” เขายิ้มแห้งๆ พูดจบก็จามออกมา
ต้วนอีเหยามองไปที่เห็ด ผักและมะเขือยาวนึ่งที่เขาสั่งมา เห็นได้ชัดว่า “คุณไม่กินเผ็ดเหรอ?”
“อืม กินไม่ได้...ฮัดเช้ย——”
“ทำไมล่ะ? ฉันถ้าไม่เผ็ดไม่ชอบ”
หวังหงกวงหยิบกระดาษเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมา ถามด้วยความหวังอันริบหรี่ “ถ้าหลังจากนี้เราต้องแต่งงานกัน คุณจะยอมทิ้งพริกเพื่อผมได้ไหม?”
“ไม่ได้” ต้วนอีเหยาปฎิเสธทันที
หวังหงกวงยังโน้มน้าวต่อไป “การกินพริกไม่ดีต่อกระเพาะอาหาร โดยเฉพาะผู้หญิง การกินพริกทำให้เป็นสิวง่าย”
“กระเพาะฉันดีมาก และก็ไม่เป็นสิวด้วย” ต้วนอีเหยาไม่มีความรู้สึกดีๆ ให้เขาแล้ว จะพูดก็ไม่พูดออกมาตรงๆ
หวังหงกวงตกใจจนลืมจาม
เขาไม่เคยเจอผู้หญิงคนไหนพูดตรงไปตรงมาขนาดนี้มาก่อน
ต้วนอีเหยารับประทานอาหารไปสักพัก เห็นเขายังจ้องตนเองอยู่ เธอทนไม่ไหวจึงวางตะเกียบลง แล้วพูดออกไป “ในเมื่อมานัดดูตัวกันแล้ว ก็ต้องการผลลัพธ์ พวกเรามาพูดคุยกันแล้วก็กลับกันดีกว่า ข้อแรกฉันไม่ชอบคนมาสาย ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง ข้อสองอาชีพทหารเป็นสิ่งที่ฉันจะทำไปตลอดชีวิต เว้นเสียแต่ว่าวันหนึ่งประเทศชาติไม่ต้องการฉันแล้ว ข้อสามฉันชอบกินสัตว์ใหญ่ฉันชอบกินเนื้อและอาหารรสเผ็ด สรุป ที่เรานัดดูตัวกันวันนี้สิ้นสุดลงแล้ว ถ้าคุณไม่รังเกียจจะนั่งกินข้าวให้เสร็จก่อน หรือถ้าคุณรับไม่ไหวออกไปตอนนี้เลยก็ได้”
หวังหงกวงตะลึงไปเกือบนาที หลังจากเข้าใจสิ่งที่ต้วนอีเหยาพูดแล้ว สีหน้าของเขาดูไม่ค่อยดี “ขอโทษด้วยละกัน ผมคิดว่าขอตัวไปก่อนดีกว่า ลาก่อนครับ”
“ลาก่อน”
เมื่อเห็นแผ่นหลังของหวังหงกวงเผ่นแน่บไป เย่จิงเหยียนก็แทบจะหัวเราะออกมา คิดไม่ถึงว่าต้วนอีเหยาจะสร้างความปั่นป่วนให้คนอื่นได้น่ารักขนาดนี้
หวังหงกวงเพิ่งลุกออกไป ก็สั่งให้พนักงานเปลี่ยนถ้วยและตะเกียบ แล้วสั่งอาหารเสฉวนเพิ่มอีกสองเมนู เย่จิงเหยียนเพิ่งเห็นว่า สีหน้าของต้วนอีเหยาดูหดหู่เล็กน้อย
“เป็นอะไร? ไม่ใช่ว่าคุณคิดถึงเขานะ ทำไมถึงดูอารมณ์ไม่ค่อยดี?” เย่จิงเหยียนถามอย่างรีบร้อน
ต้วนอีเหยาถอนหายใจเงียบๆ “น่าเสียดายเสื้อผ้าของฉัน และอีกอย่างพ่อต้องด่าฉันอีกแน่”
เย่จิงเหยียนกำมือสองข้างที่อยู่ใต้โต๊ะแน่น เหงื่อแตกพลั่ก ในที่สุดก็รวบรวมความกล้าพูดขึ้นอย่างหนักแน่น “อีเหยา สามข้อที่เพิ่งพูดมาผมทำให้คุณได้หมดเลยนะ”
ต้วนอีเหยาที่กำลังกินนักเก็ตไก่ไม่เข้าใจว่าเขาพูดอะไร จึงถามขึ้น “สามข้ออะไร?”
“ก็หนึ่งสองสามที่คุณเพิ่งบอกเขาไปไง ผมทำได้หมดแม้คุณจะมีถึงข้อที่สี่ห้าหก ผมก็ทำได้” เย่จิงเหยียนมองไปที่ดวงตาสดใสของเธอ ในใจถึงกลับอกสั่นขวัญแขวน
แม้คุณเป็นคนซื่อบื้อ ยังรู้ว่าคำพูดของเย่จิงเหยียนหมายถึงอะไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนฉลาดๆ อย่างผู้พันหญิงต้วนอีเหยา
เพียงแค่เธอคิดไม่ถึงว่า เย่จิงเหยียนที่รับบทเป็นน้องชายผู้แสนดีมาโดยตลอดจะสารภาพรักกับเธอในร้านอาหารจีน
หลังจากตกใจ ต้วนอีเหยาก็พูดขึ้นอย่างจริงจัง “จิงเหยียน นายไม่จำเป็นต้องกู้หน้าให้ฉัน ฉันได้…”
“ไม่ ไม่ใช่เพื่อคุณ เพื่อผม” เย่จิงเหยียนพูดขัดจังหวะออกไป สารภาพสิ่งที่อยู่ในใจตนเอง “ตอนเด็กๆ เราไม่เข้าใจว่าเราชอบอะไร แต่ผมชอบทุกครั้งที่ได้อยู่กับคุณ เมื่อเติบโตขึ้นผมตั้งตารอให้คุณเขียนจดหมายให้ผม แม้ว่าจะแค่สองสามประโยคผมก็อ่านมันไปหลายวัน รูปถ่ายที่คุณส่งให้ผม ผมพกติดตัวเสมอ ไม่ว่าคุณจะไปเรียนมหาวิทยาลัย เรียนต่อต่างประเทศ หรือไปเที่ยวที่แอฟริกาผมก็คิดถึงแต่คุณ แต่เมื่อได้พบคุณอีกครั้ง จึงได้รู้ว่าตัวเองตกหลุมรักคุณเข้าแล้ว รักแบบนี้มานานจนมันกลายเป็นความเคยชิน ฝังลึกอยู่ในเลือด เหมือนกับต้นกล้าที่ฝังรากลงในดิน ตอนนี้ได้เติบโตเป็นต้นไม้สูงตระหง่าน”
ต้วนอีเหยาไม่เคยได้ยินคำสารภาพรักมากมายขนาดนี้ รากที่ฝังแน่นอยู่ในใจถูกเขาคลายออกเบาๆ
“ตอนอนุบาลที่เราเจอกันครั้งแรกคุณบอกว่า ผมเป็นคนของคุณ ผมจำประโยคนี้ได้ ผมเฝ้ารอคุณมาตลอด ดังนั้นคุณต้องรับผิดชอบผม”
ประโยคสุดท้ายกระแทกหัวใจต้วนอีเหยา ทำให้สั่นไหวอย่างรุนแรง
ทั้งคู่สบตากัน พวกเขาเพียงแค่มองไปตรงหน้า ไม่ได้พูดอะไร แม้แต่พนักงานที่เดินผ่านมาก็เพียงแค่วางจานลงแล้วถอยกลับไปแค่นั้น
“ผมพูดเยอะขนาดนี้ คุณจะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ” เย่จิงเหยียนพูดนำ เขาใกล้ตายเพราะความวิตกกังวล เหงื่อเย็นผุดขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ
ขอบคุณแอดค่ะ...สนุกค่ะ......
สนุก...