วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ นิยาย บท 319

หลังจากปรับตัวอยู่ร่วมกันมากว่าครึ่งเดือน ต้วนอีเหยาและคนรอบข้างเริ่มคุ้นเคยกันมากขึ้น เพิ่งได้รู้ว่าบอดี้การ์ดสาวที่อยู่ก่อนหน้าตัวเองเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพราะป่วยกะทันหัน ฉะนั้นต้องหาคนมาแทนที่ ดาดว่าเธอจะได้กลับไปประจำการในกองทัพหลังจากปฎิบัติหน้าที่ที่นี่สองเดือน

เมื่อเทียบกับการเป็นบอดี้การ์ดแล้ว ต้วนอีเหยาชอบอยู่กองทัพมากกว่า แม้ว่าก่อนหน้านี้จะได้รับการเลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็ว

กลางดึก ต้วนอีเหยานั่งอยู่คนเดียวบนม้านั่งในสวน วันมะรืนเธอต้องไปที่เมืองA แล้ว ไม่รู้ว่าจะได้พบเขาไหม? หรือไม่อยากเจอกันแล้ว ถึงเจอก็ไม่มีอะไรจะพูด

มีเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลัง ไม่ต้องหันกลับไปมองก็รู้ว่าคือหัวหน้าบอดี้การ์ดเหล่ยหยิ่ง

“ทำไมตอนนี้คุณดูว่างๆ?” ต้วนอีเหยาถามด้วยรอยยิ้มจางๆ

เขาเดินเข้ามานั่งข้างๆ เธอ ล่วงมือทั้งสองข้างเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ท่าทางผ่อนคลานสบายๆใบหน้าเด็ดเดี่ยวเผยให้เห็นความสงบนิ่งที่หาได้ยากในวัยนี้

เขาถาม “คุณรู้ได้ยังไงว่าเป็นผม?”

ต้วนอีเหยาพูดอย่างใจเย็น “ไม่ต้องบอกว่าเป็นคุณ แต่ภายในระยะทางสามเมตรฉันรู้แล้ว แค่ได้ยินเสียงก็รู้ว่าเป็นใคร”

เหล่ยหยิ่งมองเธอด้วยความชื่นชมเล็กน้อย “ไม่น่าแปลกที่คุณเป็นทหารมือหนึ่งของกองทัพC สมคำร่ำลือจริงๆ”

“ที่ไหนกัน ไว้หน้าสหายร่วมรบทุกคนของฉันด้วย” ต้วนอีเหยายิ้ม

หญิงสาวที่อยู่ภายใต้แสงจันทร์ไม่มีความดุร้าย ใบหน้าละมุนละไม ผิวใสราวกับกระดาษ ขนตายาวงอนงาม ช่างสวยงามอย่างมาก

ไม่รู้ทำไม ความสงสารผุดขึ้นในใจของเหล่ยหยิ่ง ดูเหมือนว่าหญิงสาวอายุเท่าเธอต้องแต่งงาน หรือไม่ก็มีคนรักไปแล้ว แต่เธอกับต้องไปสู้รบในสถานที่ที่เต็มไปด้วยภยันตราย

ต้วนอีเหยาสังเกตเห็นการแสดงออกของเขา จึงหันมาถาม “ทำไมคุณมองฉันแบบนี้?”

“ผมกำลังคิดว่าคุณมีแฟนหรือยัง”

“ห่ะ?” ต้วนอีเหยาคิดไม่ถึงว่าหัวหน้าบอดี้การ์ดที่เคร่งขรึมและเฉยชามาโดยตลอดจะถามคำถามเช่นนี้

เหล่ยหยิ่งย้อนถาม “แปลกเหรอ?”

“แปลกมากๆ” ต้วนอีเหยายิ้มเยาะ “แล้วคุณล่ะ? คุณมีแฟนหรือยัง?”

เหล่ยหยิ่งยักไหล่แล้วถอนหายใจ “ที่บ้านแนะนำให้สองสามคน หนึ่งในนั้นผมคุยกันอยู่สองสามเดือน ทุกคนคิดว่าผมงานยุ่งเกินไป ไม่มีเวลาให้เธอ เธอจึงทิ้งฉันไป หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้หาอีก”

“งั้นคุณก็ยังดีกว่าฉัน ฉันยังไม่เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งแบบนั้น” ต้วนอีเหยานึกถึงใครบางคน แล้วยิ้มอย่างขมขื่น “ฉันเคยพบคนคนหนึ่ง แต่มันก็จบตั้งแต่ยังไม่เริ่ม”

เหล่ยหยิ่งหันหน้ามองไปบนฟ้า พูดขึ้นเบาๆ “งั้นก็หมายความว่าอีกฝ่ายตาไม่ถึง ผู้หญิงอย่างคุณไม่ใช่สิ่งที่ผู้ชายทั่วไปจะอืมถึงได้”

“เฮ้อ ถ้าพ่อของฉันได้ยินที่คุณพูดไม่รู้ว่าเขาจะดีใจหรือเสียใจนะ เขาอยากให้ฉันหาผู้ชายสักคนแล้วแต่งงานด้วยใจจะขาด ซะวันพรุ่งนี้เลยก็ดี”

“ท่านหัวหน้าต้วนคงไม่ขนาดนั้นหรอกมั้ง”

ต้วนอีเหยาบ่น “ครั้งที่แล้วเขาให้ฉันไปดูตัว เขามักพูดเสมอว่าเขาจะเสียใจกับแม่ของฉันมาก ถ้าฉันไม่แต่งงาน ทำให้ตอนนี้ฉันกลัวไม่กล้าเผชิญหน้ากับเขา ทำไมคนเราต้องแต่งงานกัน? ถ้าไม่แต่งงานก็ดีนะ อยู่คนเดียวว่างๆ สบายๆ อยู่คนเดียวกินคนเดียวก็อิ่ม เมื่อแก่แล้วก็ไปอยู่บ้านพักคนชรา เมื่อตายไปขี้เถ้ากระดูกก็ปล่อยสู่ทะเล ชีวิตจบสิ้น”

เหล่ยหยิ่งมองเธอด้วยความประหลาดใจ “สาวๆ หลายคนในตอนนี้คิดว่าจะหาผู้ชายที่ดีแล้วแต่งงานด้วยได้ยังไง ไม่คิดว่าคุณจะมีความคิดแบบนี้”

“คุณเคยอยู่ในสนามรบไหม?” ต้วนอีเหยาถามขึ้นมากะทันหัน

เหล่ยหยิ่งส่ายหน้า “ไม่”

ต้วนอีเหยาเหม่อมองออกไปไกล “ถ้าคุณเคยอยู่ในสนามรบคุณจะรู้ เมื่อเห็นสหายของตัวเองตายไป คุณจะรู้สึกว่าชีวิตที่เหลืออยู่ทุกวันคือกำไรชีวิต วันนี้ที่ฉันกำลังคุยกับคุณอยู่ที่นี่ ไม่แน่เดือนหน้าวันนี้ฉันอาจจะหายไปแล้วก็ได้ ดังนั้น ทำไมต้องเพิ่มคนอื่นเข้ามาให้ชีวิตยุ่งยากด้วยล่ะ?”

เหล่ยหยิ่งก็เป็นทหารเช่นกัน แน่นอนว่าเขาเข้าใจความรู้สึกของเธอ

เหล่ยหยิ่งตบไหล่เธอเบาๆ แล้วพูดว่า “เอาล่ะๆ อย่าคิดมาก พรุ่งนี้ยังมีอะไรต้องทำอีกเยอะ ไปพักผ่อนเถอะ”

“อืม เดี๋ยวก็ไปแล้ว”

อีเหยาถูกทิ้งให้อยู่บนม้านั่งคนเดียว เธอพูดกับตัวเอง “เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยนายกับเธอก็ได้อยู่ด้วยกัน ไม่มีวันแยกจากกัน แถมยังมีคนคอยดูแลนาย ดีแล้ว”

วันรุ่งขึ้น

จ้าวเสวียนตื่นแต่เช้า แม้ว่าจะกำลังตั้งครรภ์ แต่เธอก็ยังต้องไปทำงานที่บริษัท เธอไม่อยากให้คนตระกูลเย่คิดว่าเธอหนักไม่เอาเบาไม่สู้ และมีเพียงแค่ที่บริษัทเท่านั้นที่จะได้เจอเย่จิงเหยียน

มู่เวยเวยจับแขนเธอ “รอก่อน เดี๋ยวฉันให้รถที่บ้านไปส่งเธอ”

จ้าวเสวียนปฎิเสธทันที “คุณผู้หญิงไม่จำเป็นหรอกค่ะ ฉันไม่อยากให้ดูโอ้อวดเกินไป และก็ไม่อยากให้ท่านประธานเย่ต้องถูกนินทา”

มู่เวยเวยปลื้มใจอย่างมาก “ถึงจะพูดแบบนั้น แต่เธอกำลังต้องท้อง นั่งรถบัสไปไม่ได้” ประจวบเหมาะกับเย่ชูวเสวียเดินลงมาจากชั้นบน มู่เวยเวยจึงเรียกเธอไว้ “รีบมากินข้าวเร็ว ตอนไปทำงานก็ฝากจ้าวเสวียนไปทำงานด้วยนะ”

เย่ชูวเสวียไม่เต็มใจ “ทำไมต้องฝากหนู?”

“ก็ร้านแกอยู่ทางเข้าบริษัท ไม่ฝากแกแล้วจะให้ฝากใคร?”

เย่ชูวเสวียมุ่ยปาก “หนูขับรถเร็ว และเธอก็ยังท้องอีก ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นหนูรับผิดชอบไม่ไหวหรอกนะ?”

“หรูอี้ทำไมถึงพูดแบบนี้ล่ะ?” มู่เวยเวยก้มหน้าลงเล็กน้อย

“หนูพูดความเรื่องจริง” เย่ชูวเสวียเป็นผู้ปกป้องความซื่อสัตย์ของพี่ชาย และนอกจากนี้เธอยังชอบต้วนอีเหยามากกว่า

จ้าวเสวียนพูดอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ไม่ต้องลำบากขนาดนั้นหรอกค่ะ ป้ายรถเมล์อยู่ไม่ไกลจากบ้าน ฉันเดินไปแปปเดียวก็ถึงแล้ว”

“ไม่ต้อง ก็แค่ถือโอกาสนี้ให้หรูอี้พาเธอไปด้วยเลย” มู่เวยเวยปลอบโยนจ้าวเสวียนแล้วหันไปมองลูกสาว

เมื่อแม่จ้องมองมาด้วยสายตาเช่นนั้น เย่ชูวเสวียจึงต้องพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ

“เอาล่ะเอาล่ะ แม้ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นฉันก็ไม่สน” เย่ชูวเสวียพูดทิ้งท้ายไว้ แล้ววิ่งไปที่ห้องรับประทานอาหาร เธอสั่งให้พ่อครัวห่อข้าวให้เธอชุดหนึ่ง

ใบหน้าของจ้าวเสวียนยิ้ม แต่ภายในใจกำลังโกรธ เธอก็ไม่ได้ไปยั่วโมโหคุณหนูเล็กสักหน่อย ทำไมถึงไม่อยากเจอหน้าเธอขนาดนี้?

รถสปอร์ตของเย่ชูวเสวียแล่นไปด้วยความเร็วสูง ตอนที่ออกมามู่เวยเวยกำชับว่า “ขับข้าๆ ระมัดระวังด้วย”

“แม่ นี่มันรถสปอร์ตนะ วิ่งช้าๆ ก็ถูกคนแก่ขับรถหัวเราะเยาะเอาสิ ไปกันเถอะ”

เย่ชูวเสวียสวมแว่นกันแดดตลอดทาง ใบหน้าเย็นชาสื่อออกมาว่าไม่ต้องการเสวนาด้วย จ้าวเสวียนอยากพูดคุยกับเธอหลายครั้ง แต่เมื่อได้เห็นสีหน้าของเธอก็ไม่กล้าเอ่ยปากพูดอะไร

มู่เวยเวยยังหลอกได้ แต่สาวน้อยคนนี้คงหลอกไม่สำเร็จ สายตาของเธอแหลมคม ยิ่งพูดน้อยยิ่งผิดน้อยลง

ตลอดทางที่เดินทางไปบริษัท เย่ชูวเสวียจอดรถที่หน้าร้านของเธอ ไม่มีเหตุผลจ้าวเสวียนหิ้วอาหารเช้าลงมาจากรถ

จ้าวเสวียนเอาอกเอาใจเธอ รีบเดินไปข้างหน้าแล้วพูดว่า “คุณหนูเย่จะให้เอาอาหารเช้าไปส่งให้ท่านประธานเหรอคะ?”

เย่ชูวเสวียเชิดหน้าแล้วพูดเบาๆ “ใช่”

“ถ้าคุณไม่ว่าง ให้ฉันเอาไปให้ก็ได้นะคะ”

เย่ชูวเสวียยิ้มอย่างเยือกเย็น “ฉันไม่ยุ่ง ตอนเช้าฉันมีเวลาว่างมาก”

“อ่อ”

เย่ชูวเสวียเดินเข้าไปในลิฟต์สำหรับผู้บริหาร จ้าวเสวียนกำลังจะก้าวเข้าไป เธอจึงหันกลับมาพูดว่า “ลิฟต์พนักงานอยู่ข้างๆ”

ใบหน้าของจ้าวเสวียแดงระเรื่อ ก้าวเท้ากลับมาอย่างรวดเร็ว ก้มศีรษะพลางกล่าวขอโทษ “ขอโทษด้วยค่ะ ฉันดูผิดไป” ท่าทีที่ดูอ่อนน้อมถ่อมตน แต่ภายในใจกลับกำลังสาปแช่งเย่ชูวเสวียอยู่หลายพันครั้ง ยัยกลิ่นเหม็นเน่า รอให้ฉันกลายเป็นเจ้าของคฤหาสน์ตระกูลเย่ก่อนเถอะ ฉันจะจัดการกับแก

ปกติเย่ชูวเสวียไม่ได้เป็นคนหยิ่งผยอง ถ้าเป็นคนอื่นเดินตามเข้ามาก็คงไม่ได้ว่าอะไร แต่เมื่อเห็นเป็นจ้าวเสวียนเธอยิ่งไม่ชอบ จึงจงใจทำให้เธอหน้าแตก

เมื่อถึงห้องทำงานของท่านประธาน เย่จิงเหยียนกำลังดูตารางงานสำหรับวันนี้ ใบหน้าของเขาซีดเซียว ดวงตาคล้ำเงยหน้าขึ้นมอง เมื่อเห็นว่าเป็นน้องสาว จึงถามขึ้น “แกมาทำไม?”

“รู้ว่าพี่ยังไม่ได้กินข้าวเช้า เลยเอามาให้จากที่บ้าน”

“ฉันกินไม่ลง”

เย่ชูวเสวียเปิดกล่องอาหารออก ชั้นแรกเป็นขนมปังชิ้นเล็กๆ สองสามชิ้น ชั้นที่สองคือผักดองหนึ่งจาน ชั้นล่างสุดเป็นโจ๊กหมูไข่เยี่ยวม้า “กินไม่ลงก็กินสักหน่อยเถอะ ไม่ง่ายเลยนะที่น้องสาวจะทำอะไรดีๆให้ พี่ไม่กินไม่ไว้หน้าฉันเลยนะ”

เย่จิงเหยียนหยิบตะเกียบและช้อนขึ้นมา “ก็ได้ เพื่อไว้หน้าแกนะ”

เย่ชูวเสวียนนั่งลงบนโต๊ะพร้อมกับรอยยิ้ม มองดูใบหน้าซีดเซียวของเขา พูดขึ้นด้วยความกังวล “เมื่อคืนพี่ดื่มอีกแล้วเหรอ?”

“ไม่ดื่มนอนไม่หลับ เลยดื่มนิดหน่อย”

“ฉันรู้ว่าพี่รู้สึกแย่ แต่ยังไงก็ต้องดูแลร่างกายด้วย พี่อายุเพิ่งจะยี่สิบเจ็ดชีวิตนี้ยังอีกยาวไกล ไม่รู้ว่าตอนไหนจะบังเอิญได้เจอพี่เสี่ยว เมื่อถึงเวลานั้นพี่จะได้มีแรงวิ่งตามเธอได้ทัน”

เย่จิงเหยียนตักโจ๊กขึ้นมาแล้วเงยหน้ามองเธอ พูดเชิงหยอกล้อ “แกเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอารมณ์ความรู้สึกตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“อย่าคิดว่าฉันกำลังล้อเล่นนะ” เย่ชูวเสวียพยักหน้า “พูดสั้นๆเลยนะพี่ ฉันไม่ชอบจ้าวเสวียนคนนี้ให้มาเป็นพี่สะใภ้ พี่เสี่ยวดีกว่า ทั้งมีออร่าทั้งมีเสน่ห์ มีเพียงผู้หญิงคนนี้เท่านั้นที่คู่ควรกับพี่ชายของฉัน”

“แกมาส่งอาหารเช้าที่นี่ หรือมาส่งมีดกันแน่? คำพูดแต่ละคำแทงฉันซะเถอะ ยิ่งพูดยิ่งกินข้าวไม่ลง” เย่จิงเหยียนมองไปที่เธออย่างจนปัญญา

“โอเคๆ ฉันไม่พูดแล้ว พี่กินเถอะ” ทันใดนั้นเย่ชูวเสวียก็นึกเรื่องของวันพรุ่งนี้ขึ้นมาได้ ถามขึ้นอย่างอยากรู้อยากเห็น “พี่ท่านคนนั้นจะมาเยี่ยมชมบริษัทเราจริงเหรอ?”

“ตามแผนก็เป็นแบบนั้น แต่ไม่รู้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไหม?”

เย่ชูวเสวียพูดด้วยเสียงทอดถอนหายใจ “ฉันก็อยากเจอพวกเขาเหมือนกัน เห็นแต่เป็นออกอากาศอยู่บ่อยๆ แค่คิดก็น่าตื่นเต้น ได้ยินมาว่าท่านคุณหญิงลำดับที่หนึ่งก็มาด้วย”

เย่จิงเหยียนพยักหน้า “อืม พรุ่งนี้เธอจะไปเยี่ยมเยียนเพื่อปลอบขวัญและให้กำลังใจที่โรงเรียนผู้พิการทางการได้ยินก่อน”

“งั้นทั้งหมดที่เราให้ไปเป็นเงินทุนใช่ไหม?” เย่ชูวเสวียถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ

“ใช่”

เย่ชูวเสวียตื่นเต้น “พี่ฉันอยากไปเจอเธอด้วย พี่ช่วยคิดว่าวิธีหน่อยสิ”

สีหน้าเย่จิงเหยียนจริงจัง “แกคิดว่าท่านใครอยากพบก็พบได้งั้นเหรอ? เลิกยุ่งวุ่นวายได้แล้ว”

“เราเป็นผู้ให้การสนับสนุนนะ ให้ฉันเข้าร่วมในฐานะผู้สนับสนุนก็ได้ พี่ไม่ต้องคอยไปดูที่โรงงานเหรอ? ฉันก็จะไปโรงเรียน” เย่ชูวเสวียมองพี่ชายที่ทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน จับแขนเขาแล้วทำตัวเหมือนเด็กน้อย “พี่ได้โปรดช่วยฉันเถอะนะ ฉันยังไม่เคยได้เห็นคนใหญ่คนโตเลย แค่ให้ฉันไป ฉันจะไม่ทำตัววุ่นวาย ขอร้องล่ะน่า”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ