“แน่นอนว่าโอกาสเป็นของคนที่เตรียมพร้อมเท่านั้น”
เย่จิงเหยียนเห็นว่าบรรยากาศกำลังดี จึงใจกล้าเสนอข้อเรียกร้อง “ท่านผู้นำครับ ก่อนที่พวกท่านจะมาทุกคนตื่นเต้นมาก ไหว้วานช่วยพวกเขาด้วยเถอะครับ”
ท่านผู้นำระดับสูงเริ่มสนใจ “หึ? ช่วยอะไร? คุณพูดมาก่อนผมจะดูว่าช่วยได้หรือไม่”
เย่จิงเหยียนกล่าวด้วยความลำบากใจ “ทุกคนอยากถ่ายรูปกับพวกท่านครับ”
“แค่นี้เอง มาสิ” สิ้นคำพูดประโยคนั้น ทั้งโรงงานคึกคักขึ้น ทุกคนรีบเข้ามายืนข้างๆ ท่านผู้นำและเหล่าคณะกรรมการเมือง
เย่จิงเหยียนหลีกทางอัตโนมัติให้พนักงานหนุ่มสาวร้อยกว่าคน คนบางคนนั่ง บางคนยืนอยู้ข้างๆ ท่านผู้นำ ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความสุข
บอกตามตรงเรื่องนี้สามารถคุยโม้โอ้อวดได้ตลอดชีวิตเลยล่ะ
เมื่อถ่ายรูปเสร็จ ทุกคนโค้งคำนับอย่างสุภาพเพื่อเป็นการขอบคุณ
ทุกคนส่งท่านผู้นำด้วยความยินดีปรีดาแล้วจากออกมา ท่านผู้นำเดินไปพร้อมคุยกับเย่จิงเหยียนไปด้วย “เพื่อนที่อยู่ในเมืองนี้แนะนำมาว่า เย่ฮวางเป็นผู้เสียภาษีรายใหญ่ในเมืองA และยังเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจของทั้งมณฑล ผมคิดว่าผู้จัดการคนนั้นคงอายุไม่ต่ำกว่าห้าสิบปี คิดไม่ถึงว่าจะยังหนุ่มยังแน่นและพร้อมด้วยความสามารถขนาดนี้”
เย่จิงเหยียนกล่าวอย่างสุภาพ “ท่านชมเกินไปแล้วครับ ผมยังต้องเรียนรู้อะไรอีกมาก”
“ยังหนุ่มๆ แต่มีทัศนคติดีแบบนี้ ดีมากๆ”
“ขอบคุณครับท่าน”
ใกล้ค่ำแล้ว ด้านนอกท้องฟ้าเต็มไปด้วยก้อนเมฆและพระอาทิตย์ค่อยๆ ตกดิน
ท่านผู้นำหันกลับมาก่อนที่จะเข้าไปในรถ “ตอนเย็นมีงานเลี้ยงต้อนรับแบบเป็นกันเอง คุณมาด้วยสิ”
เย่จิงเหยียนรู้สึกประหลาดใจ รีบตอบรับอย่างรวดเร็ว “ครับ”
เจ้าหน้าที่และคณะกรรมการของมณฑลที่อยู่รอบๆ ก็ตกใจเช่นกัน เขาเชิญชายหนุ่มที่ยังไม่มีครอบครัว พวกเขาไม่เคยเห็นเช่นนี้มาก่อน เห็นได้ชัดว่าท่านผู้นำคงชอบเย่จิงเหยียนมาก
สถานที่รองรับแขกที่จองไว้คือโรงแรมมาตรฐานสูงในเมืองA ต้วนอีเหยาทำหน้าที่ปกป้องท่านคุณหญิงทันทีที่เธอก้าวเข้าไปในงานเลี้ยง ด้านในนอกจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยแล้ว ก็ยังมีเจ้าหน้าที่จากมณฑล
อยู่ที่นี่เวลานี้
หลังจากทักทายผู้คน ท่านคุณหญิงก็นั่งลงบนโซฟาในโซนสำหรับพักผ่อน เลขาเข้ามาด้านหน้าแล้วแจ้งว่า “ท่านคุณหญิง ท่านผู้นำจะมาถึงในอีกสิบนาทีค่ะ”
ท่านคุณหญิงพยักหน้า “อืม ฉันทราบแล้ว”
ต้วนอีเหยายืนอยู่ข้างๆ เธอคอยสังเกตการณ์สภาพแวดล้อมด้านนอกหน้าต่าง ห้องจัดเลี้ยงที่นี่ถูกเลือกเป็นเฉพาะ บริเวณรอบๆ ในระยะทางห้าร้อยเมตรไม่มีตึกสูง เช่นนี้จึงไม่มีจุดสูงที่ขึ้นมาได้
เธอนำชามาเสิร์ฟแสดงความเคารพ จากนั้นก็มายืนรอคำสั่งอยู่ข้างๆ
สิบนาทีต่อมา มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นอยู่ไกลๆ ในที่สุดเหล่าผู้หลักผู้ใหญ่ก็มาถึง ประตูถูกผลักออกรายล้อมไปด้วยผู้คนมากมาย ท่านผู้นำเดินนำหน้าเข้ามา
ท่านคุณหญิงเดินไปหาอย่างสง่างาม คนที่เดินตามมาด้านหลังท่านผู้นำก้มแสดงความเคารพ เธอยิ้มและพยักหน้าทักทาย
“พวกคุณกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?” ท่านผู้นำถามขึ้นอย่างเป็นกันเอง ขณะที่เจ้าหน้าที่นำทางพาเดินไปหาเหล่าแขกผู้มีเกียรติ
ท่านคุณหญิงยิ้ม “เพิ่งกลับมาเหมือนกัน”
สายตาเฉียบแหลมของต้วนอีเหยาสังเกตการณ์ไปรอบๆ ทันใดนั้น ตรงประตูก็ปรากฏใบหน้าของใครคนหนึ่งที่ทำให้เธอต้องคิ้วขมวด
บางทีเขาอาจรับรู้ได้ถึงสายตาของเธอ เย่จิงเหยียนหันมามอง ทุกคนอยู่ที่นี่เพื่อมาร่วมแสดงความยินดีกับเหล่าคนใหญ่คนโต เธอ...ทำไมเธอมาอยู่ที่นี่?
กำลังจะเข้าไปพูดคุยด้วย สายตาของต้วนอีเหยาก็มองออกไปราวกับคนไม่รู้จักกัน จากนั้นพูดใส่หูฟัง แล้วรีบออกไปทันที
เย่จิงเหยียนรีบวิ่งตามหลังเธอ เพราะกลัวว่าเธอจะหายไป แต่เมื่อเขาเห็นต้วนอีเหยายืนอยู่กับชายหนุ่มคนหนึ่งตรงหัวมุม ตอนที่ชายหนุ่มกระซิบบางอย่างข้างหูของเธอ หัวใจของเขาราวกับว่าถูกมือของใครบางคนบีบมันอย่างแรง
“ประธานเย่ ทำไมคุณมายืนอยู่ตรงนี้ล่ะครับ? รีบไปกันเถอะ” ไม่รู้ว่าคนที่เตือนอยู่ข้างๆ เป็นใคร
เย่จิงเหยียนได้สติกลับมา ตระหนักได้ว่าตนเองอยู่ในสถานะการณ์แบบไหน และเกรงว่าต้วนอีเหยาอาจกำลังทำงานอยู่ จึงไม่กล้าเดินไปขัดจังหวะ จำใจต้องกลับไปที่งานเลี้ยงหามุมสักมุมแล้วนั่งลง สายตามองตามเธอไปราวกับไม่มีอะไร
เธอไม่ใช่ไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมถึงมาอยู่ที่นี่?
มาปฎิบัติหน้าที่งั้นเหรอ?
ดูเหมือนนี่จะเป็นคำอธิบายที่สมเหตุสมผลที่สุด
ในห้องจัดเลี้ยงมีเพียงสามโต๊ะ นอกจากเย่จิงเหยียนที่ถูกยกเว้นเป็นกรณีพิเศษ ส่วนที่เหลือเป็นของคนของเมืองและมณฑล เขานั่งร่วมโต๊ะกับเจ้าหน้าที่ในเมืองของสองสามคนที่สนิมสนมกันดี
มุมที่ต้วนอีเหยาและเหล่ยหยิ่งยืนอยู่ไม่ได้มองเห็นง่ายๆ แต่ต้วนอีเหยากลับสัมผัสได้ถึงสายตาที่มองมายังตนเอง ไม่ต้องมองกลับไปก็รู้ว่าเป็นใคร
หลังจากประหลาดใจอยู่ชั่วครู่ ต้วนอีเหยาก็สงบลง แม้ว่าเขายังมองอยู่ เธอก็แสร้งทำเป็นไม่เห็น แต่การจ้องมองของเย่จิงเหยียนไม่อาจรอดพ้นสายตาของเหล่ยหยิ่งไปได้
“คนนั้นมองเธอหลายครั้งแล้ว รู้จักกันเหรอ?” เหล่ยหยิ่งถามขึ้นเบาๆ ข้างหูเธอ
ต้วนอีเหยาพยักหน้า “รู้จัก เมื่อก่อนเคยเรียนด้วยกัน”
“ถึงว่าล่ะ”
ต้วนอีเหยาไม่อยากพูดอะไรไปมากกว่านี้ มันเป็นเรื่องในอดีต
มื้อนี้เย่จิงเหยียนรับประทานธานอาหารไปได้เพียงสองสามคำ เมื่อเห็นเธออยู่กับชายอื่นอย่างใกล้ชิด เขาหึงจนอยากจะคว่ำมันทิ้ง มีจิตกะใจกินลงซะที่ไหน?
แต่เมื่อได้มาที่นี่แล้วพบเธอ ครั้งนี้ก็คุ้มค่าเกินพอ คุ้มมากกว่ารับประทานอาหารค่ำกับท่านผู้นำซะอีก
หลังจากรับประธานอาหารเสร็จ ต้วนอีเหยาและเหล่ยหยิ่งนำทั้งสองท่านออกไป ตอนที่เดินผ่านเย่จิงเหยียน เธอไม่ได้เหลือบมองเขาด้วยซ้ำ ในที่สุดเย่จิงเหยียนจึงตระหนักได้ว่าภารกิจเธอในครั้งนี้ของเธอคืออะไร
ในขณะเดียวกันเขาก็นึกขึ้นมาได้ว่า การสำรวจจะเสร็จสิ้นในวันพรุ่งนี้ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือต้วนอีเหยาจะออกจากเมืองA ในบ่ายวันพรุ่งนี้ และครั้งต่อไปจะได้เจอเธออีกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
ไม่ได้ คืนนี้เขาต้องได้เจอเธอ แม้จะกลัวว่าเธอจะทุบตีหรือด่าทอเขา เขาต้องไปพบเธอให้ได้
เขาเดินไปหาเจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่รู้กันเป็นอย่างดี รอจนรอบข้างไม่มีใครอยู่จึงเอ่ยถาม “จ้าวจวี คืนนี้ท่านผู้นำพักที่โรงแรมสินะ”
จ้าวจวีพูด “โรงแรมสำหรับแขกของรัฐบาล โรงแรมซื่อเจาไต้”
“อ่อ”
“ทำไมเหรอ?”
เย่จิงเหยียนหาเหตุผล “ไม่มีอะไร ผมแค่อยากรู้ว่าโรงแรมไหนที่จะได้รับเกียรติเช่นนี้ เราคงต้องเรียนรู้บ้างแล้ว”
จ้าวจวีตบไหล่เขาเบาๆ “วันนี้ทำงานหนักมามากแล้ว รีบกลับเถอะ”
“อืม คุณก็ทำงานหนักเหมือนกันนะ”
เมื่อเดินทางมาถึงโรงแรมสำหรับต้อนรับแขกของรัฐบาลที่อยู่ไม่ไกล ถนนทุกสายถูกปิดกั้นไว้ เย่จิงเหยียนเห็นร้านกาแฟตรงทางแยกจึงเข้าไปนั่ง แล้วสั่งบลูเมาน์เทนรออย่างเงียบๆ
การเข้าไปไม่ใช่เรื่องยาก จะหาเธอให้เจอก็ไม่ใช่เรื่องยากเช่นกัน แต่เมื่อเจอเธอแล้วเขาจะพูดอะไรกับเธอ?
ขอให้เธอยกโทษให้? หรือบอกว่ารักเธอ?
ไม่ แบบนี้ยิ่งจะทำให้ต้วนอีเหยาเกลียดเขา
เขาเพียงแค่อยากมองเธอ เพียงแค่มองเห็นเธออีกสักครั้งเท่านั้น
เวลาหนึ่งผ่านไปนาทีแล้วนาทีเล่า หลังจากดื่มกาแฟไปสามแก้ว พนักงานเสิร์ฟพูดขึ้นอย่างอบอุ่น “ขอโทษนะคะคุณผู้ชาย ร้านเราจะปิดแล้วค่ะ”
เย่จิงเหยียนเรียกเช็กบิล เป็นเวลายี่สิบสามนาฬิกา
เวลานี้ เธอน่าจะยังไม่นอน
รออีกสักหน่อย
ดังนั้นเขาจึงยืนอยู่ในเงามืดเพื่อรอเวลา ไม่ง่ายเลยกว่าเวลาจะเลยผ่านเที่ยงคืน เย่จิงเหยียนมองไปรอบๆ เห็นว่าไม่มีคน แล้วหายตัวไปในเงามืดชั่วพริบตา
สำรวจห้องพักไปได้สองสามห้อง เย่จิงเหยียนก็เจอห้องของหญิงสาว โคมไฟด้านในมืดสนิม กลิ่นหอมของอาหารลอยคลุ้งอยู่ในอากาศ ข้างนอกแสงจันทร์ส่องสว่างเข้ามา กล่องอาหารถูกเปิดแล้ววางไว้บนโต๊ะกาแฟ ด้านในยังมีข้าวเหลืออยู่มากกว่าครึ่ง
เธอเหนื่อยเกินไปจนไม่มีแรงกินต่องั้นเหรอ? เย่จิงเหยียนคิดอย่างเป็นกังวลในใจ
ก้าวไปข้างหน้าเงียบๆ แล้วนั่งลงข้างเตียงของเธอ หญิงสาวกำลังหลับไหล คิ้วขมวดดูเหมือนว่าเธอจะไม่ค่อยสบายตัวสักเท่าไหร่
เย่จิงเหยียนเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าเธอ แต่ยังเอื้อมไปไม่ถึง กริชคมๆ ก็จู่โจมเข้ามาที่ตรงหน้าอกเขาโดยไม่ทันตั้งตัว จากนั้นต้วนอีเหยาก็ลืมตาขึ้น
เมื่อเห็นหน้าคนตรงหน้าอย่างชัดเจน ต้วนอีเหยาก็แปลกใจ “นาย?”
“อีเหยา” เย่จิงเหยียนเรียกชื่อเธออย่างรักใคร่
เธอชักกริชออกจากอกเขา ต้วนอีเหยาลุกขึ้นแล้วถามอย่างเย็นชา “นายมาทำอะไรที่นี่?”
“ผมมาดูคุณ”
สีหน้าของต้วนอีเหยาเฉยชา “ก็เห็นแล้วหนิ กลับไปได้แล้ว”
หัวใจของเย่จิงเหยียนชะงักไปชั่วครู่ เขากระซิบเบาๆ “อีเหยา ขอโทษ…”
“เย่จิงเหยียนนายไม่ต้องขอโทษฉัน เราไม่ได้เป็นอะไรกันตั้งแต่แรก นายจะไปนอนกับใครก็ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน”
“อีเหยา คุณอย่าพูดแบบนี้…”
ความรู้สึกเจ็บปวดในใจของต้วนอีเหยากลับมาอีกครั้ง เมื่อเขาพูดด้วยน้ำเสียงแบบนี้เธอเกลียดมันที่สุด ทำให้ดูเหมือนตนเองทำเรื่องผิดมหันย์ และเธอก็จะอดใจอ่อนกับมันไม่ได้
“เย่จิงเหยียนฉันไม่มีอะไรพูดกับนายแล้ว ฉันอยากนอน นายออกไปเถอะ”
เย่จิงเหยียนนั่งลงข้างๆ เตียงมองไปที่เธออย่างลึกซึ้ง เขาไม่อยากจากไปไหน “คุณนอนเถอะผมจะไม่พูดอะไร”
“นาย... “ เขาทำให้ต้วนอีเหยาโกรธ แต่ทันใดนั้นก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ เธอระงับความโกรธไว้แล้วเอ่ยออกไปว่า “เย่จิงเหยียนนายเลิกมายุ่งวุ่นวายได้แล้ว ฉันมีคนที่ชอบแล้ว”
เย่จิงเหยียนคว้าข้อมือของเธอไว้ แววตาหม่นหมอง “เป็นไปไม่ได้ เราแยกกันอยู่แค่เดือนกว่าๆ เองนะ”
ต้วนอีเหยาหัวเราะเยาะ “มีอะไรเป็นไปไม่ได้? ชายหญิงตกหลุมรักกันใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาที เดือนเดียวก็เกินพอแล้ว”
“ใคร?” เย่จิงเหยียนนึกถึงคนที่อยู่ในห้องจัดเลี้ยงคนนั้น แล้วถามขึ้น “ใช่ผู้ชายคนนั้นที่ยืนอยู่กับคุณวันนี้หรือเปล่า?”
ต้วนอีเหยานึกย้อนกลับไป ดูเหมือนว่าเขาจะหมายถึงเหล่ยหยิ่ง เธอจึงไหลตามน้ำไป “ใช่ เขาเอง”
“ผมไม่เชื่อ!” เย่จิงเหยียนได้ยินเสียงหัวใจตัวเองร่วงหล่นลงพื้นแล้วแตกสลาย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ
ขอบคุณแอดค่ะ...สนุกค่ะ......
สนุก...