“เธออย่าคิดมาก ฉันเห็นเมื่อวานเธอเริ่มแพ้ท้องแล้ว ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่ยากที่สุดของการตั้งท้อง ฉันจะปล่อยให้เธอไปได้ยังไง? เอาล่ะๆ รีบกินเถอะ จะให้คนรถไปส่งเธอที่ทำงาน”
จ้าวเสวียนกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณนะคะคุณป้า”
อีกด้าน ไฟโกรธลุกโชนอยูในท้องของเย่ชูวเสวียไม่มีที่ระบายอารมณ์ เธอขับรถไปด้วยความเร้วสูง สัญญาณไฟแดงอยู่ไม่ไกล เธอกระแทกเบรกอย่างแรง แต่ด้วยเหตุนี้ รถจึงไถลออกไปไกลและชนเข้ากับรถสปอร์ตคันหรูที่จอดอยู่ด้านหน้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“โครม!”
ตัวของเย่ชูวเสวียกระแดกไปข้างหน้าและถูกดึงกลับมาด้วยเข็มขัดนิรภัย ผลจากแรงทำให้ศีรษะเธอกระแทกจนเจ็บไปหมด เป็นไปได้ว่าตนเองอาจจะเป็นแม่มด เพิ่งพูดไปว่าจะชนต้นไม้ ไม่คิดว่าจะรถเข้าชนจริงๆ
คนที่อยู่ในรถคันข้างหน้าลงมาจากรถด้วยความโกรธ เมื่อเดินมาถึงรถของเธอก็เคาะกระจกเสียงดัง
เย่ชูวเสวียส่ายหัวไปมาเพื่อเรียกสติตัวเอง แล้วกดเปิดหน้าต่างรถทันที
“ขับรถห่วยแตกแบบนี้เธอขับรถเป็นไหม? มองไม่เห็นไฟแดงข้างหน้าหรือไง?” ชายหนุ่มไม่พอใจอย่างแรง ถูกชนตั้งแต่เช้าขนาดนี้ใครจะมาอารมณ์ดี
เย่ชูวเสวียรู้ว่าเป็นความผิดของตัวเอง ปั้นหน้ายิ้มแย้มพลางเสยผมขึ้นกำลังพูดว่า “ขอโทษ” แต่ก็ต้องหุบปากลง
แต่คนที่อยู่ด้านนอกกลับตกตะลึง ความโกรธบนใบหน้าพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอย พูดขึ้นด้วยความเป็นห่วง “คุณบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า? ผมจะพาคุณไปโรงพยาบาล”
“ไม่ต้อง ฉันไม่เป็นไร” สีหน้าของเย่ชูวเสวียเย็นชา
“ผมว่าสีหน้าคุณดูไม่ค่อยดีเลยนะ ไปตรวจที่โรงพยาบาลดูสักหน่อยเถอะ”
ชูวเย่เสวียหยิบกระเป๋าในช่องคนขับแล้วดึงเอาบัตรเครดิตในนั้นออกมายื่นไปนอกหน้าต่าง “ค่าซ่อมรถ น่าจะพอนะ”
“เล็กๆ น้อยๆเอง ผมจ่ายได้ คุณลงมาก่อน ผมจะพาคุณไปโรงพยาบาล”
“หนานกงเจา คุณนี่มันน่ารำคาญชะมัด ฉันบอกว่าฉันสบายดีไง”
ไม่ผิด คนที่อยู่นอกรถคือหนานกงเจาที่กำลังเดินทางไปทำงานที่บริษัท
หนานกงเจามองไปที่เข่าของเธอ เพราะแรงกระแทกจากการชน ทำให้เข่าเธอแตก เลือดสีแดงฉาดดูเข้มขึ้นเป็นพิเศษเมื่ออยู่บนผิวขาวราวกับหยก
เวลานี้ไฟแดงเปลี่ยนเป็นไฟเขียวแล้ว รถที่อยู่ด้านหลังเริ่มบีบแตรไล่
หนานกงเจาอ่อนโยนกับเย่ชูวเสวีย แต่สำหรับคนอื่นกลับไม่ใช่ เขาตะโกนกลับไป “บีบหาอะไร? ไม่เห็นรึไงว่ารถชนกันอยู่ตรงนี้!”
เสียงแตรเงียบลง รถคันด้านหลังเลี้ยวขับออกไปถนนอีกเลน
เย่ชูวเสวียมองเห็นบาดแผลที่ตรงหัวเข่า แล้วสูดหายใจเข้า กำลังจะใช้กระดาษทิชชูซับเลือด ประตูรถก็ถูกเปิดออก จากนั้นหนานกงเจาก็ยื่นมือเข้ามาปลดเข็มขัดนิรภัยออก อุ้มเธอออกมาจากรถ และยังสะพายกระเป๋าเธอออกมาอย่างง่ายดาย
“นายจะทำอะไร? ปล่อยฉันลงนะ” เย่ชูวเสวียตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
หนานกงเจาไม่ได้พูดอะไร เตะปิดประตูรถด้วยใบหน้าเย็นชา แล้วอุ้มหญิงสาวเข้าไปในรถของตัวเอง วางเธอลงที่นั่งข้างคนขับคาดเข็มขัดนิรภัยให้ จากนั้นวิ่งไปยังที่นั่งฝั่งคนขับอย่างรวดเร็ว กดปุ่มล็อครถทันทีก่อนที่เธอจะเปิดประตูแล้วหนีไป
“นายคิดจะทำอะไร?” เย่ชูวเสวียหันไปมองเขา คิ้วย่นใบหน้าเย็นชา เธอมักเป็นเช่นนี้เสมอ แต่ถึงอย่างไรเธอก็ยังสวยอยู่ดี
หนานกงเจามองไปข้างหน้าแล้วสตาร์ทรถ “พาคุณไปโรงพยาบาล”
เย่ชูวเสวียกัดฟันพูด “นายหูหนวกรึไง? ฉันบอกว่าไม่เป็นไร ปล่อยฉันลง”
“คำว่าไม่เป็นอะไรคุณหมอต้องเป็นคนพูด”
เย่ชูวเสวียโกรธจนอยากซัดเขาสักที “ฉันมีธุระ”
“ไม่ว่าเรื่องนั้นจะสำคัญแค่ไหนก็ไม่สำคัญเท่าสุขภาพของคุณ” หนานกงเจาพูดขึ้นมาโดยไม่ต้องคิด
เย่ชูวเสวียชะงักไปสองวินาที ใจเธออ่อนโยนลง พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย “หนานกงเจา ฉันมีธุระจริงๆ ปล่อยฉันลงเถอะ”
“มีอะไรสำคัญขนาดนั้น? คุณควรไปทำแผลก่อน”
“ฉันต้องไปส่งอาหารเช้าให้พี่ชาย”
เมื่อหนานกงเจาได้ยินประโยคนี้ ความอิจฉาฉายอยู่ในแววตา เขาเหยียบคันเร่งหนักขึ้น “พี่ชายของคุณเขาไม่มีขาหรือไงถึงไปกินเองไม่ได้?”
เย่ชูวเสวียรับรู้ได้ถึงความไม่พอใจของเขา จ้องมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ “พี่ชายฉันจะกินหรือไม่กิน แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนาย? ฉันส่งข้าวจนเป็นกิจวัตรประจำวันอยู่แล้ว”
หนานกงเจาเม้มริมฝีปากไม่พูดอะไร แต่หญิงสาวยังกลับรับรู้ได้ถึงความโกรธของเขา เธอก็อดโมโหขึ้นมาไม่ได้เช่นกัน เธอถูกเขาอุ้มมาโดยที่ไม่เต็มใจ แล้วยังมาทำสีหน้าแบบนี้ให้เธอเห็นอีก เขาเป็นบ้าไปแล้วรึไง
ยิ่งคิดยิ่งโมโห เย่ชูวเสวียพูดขึ้นอย่างเย็นชา “ฉันจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย หยุดรถ”
“ไม่หยุด ถ้าคุณพูดคำนี้อีกผมจะจูบคุณ ไม่เชื่อใช่ไหม?” หนานกงเจาขู่
“เฮ้! ไม่เห็นยุติธรรมเลย?”
พวงมาลัยรถเลี้ยวเข้าข้างถนน รถหยุดลงตรงข้างทาง เย่ชูวเสวียมึนงง กำลังหันไปมองด้วยความโกรธ ริมฝีปากอุ่นๆ ก็กดลงมาบนริมฝีปากเธออย่างรวดเร็ว จู่โจมในขณะที่เธอกำลังงุนงง
เย่ชูวเสวียไม่คิดว่าเขาจะใจกล้าบ้าบิ่นขนาดนี้ คิดอยากจะผลักเขาออก แต่ถูกเขาจับมือไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
ปลายลิ้นอ่อนนุ่มดุจปุยฝ้าย แต่เป็นอาวุธที่ร้ายกาจที่สุด ทำให้ร่างกายเธอไร้ซึ่งเรี่ยวแรงต่อต้าน
หนานกงเจาเป็นนักรักผู้ชำนาญสนาม เทคนิคการจูบแพรวพราว สาวน้อยไร้เดียงสาอย่างเย่ชูวเสวียที่ไม่เคยมีความรักจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้อย่างไร? เมื่อถูกจูบหลายต่อหลายครั้ง ทั้งร่างกายไร้กำลังวังชาอ่อนลงไปบนเก้าอี้
หนานกงเจาคิดถึงเธอตลอดเวลา ทันทีที่พบเธอครั้งแรกก็รู้ว่าตนเองเสร็จเธอเข้าแล้ว ยังไม่ทันได้ปีนขึ้นมาจากหลุมของเธอก็ตกลงไปครั้งแล้วครั้งเล่า เขาโอมกอดหญิงสาวที่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ลมหายใจหอมหวานของเธอหลอกหลานเขา ทันใดนั้นก็หวนนึกถึงความรักในคืนนั้น
เวลานี้ เมื่อได้ลิ้มลองรสชาติของเธอ หนานกงเจายิ่งหิวกระหายมากขึ้น เขาทนไม่ไหวแทบอยากจะกลืนกินเธอเข้าไป
จูบอันลึกซึ้ง หนานกงเจายังไม่พอใจ เขาละออกจากริมฝีปากไปที่ใบหู...
“อือ…”
เมื่อเสียงอารมณ์ดังออกมาจากปาก เย่ชูวเสวียได้สติทันที สีหน้าที่เต็มไปด้วยความอับอายเธอผลักเขาออก แล้วพูดขึ้นด้วยความโกรธ “หนานกงเจา นายมันสารเลว”
แม้ว่าจะเป็นคำด่า แต่เสียงของเย่ชูวเสวียกลับไม่มีผลอะไรต่อเขา ในทางกลับกันเขายิ่งสัมผัสได้ถึงความนุ่มนวล ได้มองเธองอนเหมือนเด็กๆ ยิ่งทำให้หนานกงเจารู้สึกดี
“ผมเลว แต่ผมก็เลวแค่กับคุณคนเดียวนะ” หนานกงเจามองเธอแล้วยิ้ม แบบนี้ยิ่งทำให้เธอสวยมากขึ้น เขาชอบ
เย่ชูวเสวียเม้มปากที่บวมแดงของเธอ ดวงตาสีม่วงเป็นประกายจ้องมอง แต่ไม่มีอำนาจจะทำอะไรเขาได้ จึงได้แต่เฝ้าดูชายหนุ่มสตาร์ทรถแล้วพุ่งทะยานไปบนท้องถนนด้วยความโกรธ
บรรกายาศในรถตึงเครียด เย่ชูวเสวียหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างเงียบๆ เธอกลัวคนบ้าคนนี้จริงๆ แต่อีกคนกลับยิ้มร่า ไม่ต้องเอ่ยถึงเลยว่าในใจจะมีความสุขขนาดไหน
เมื่อมาถึงโรงพยาบาล หนานกงเจาจอดรถ แล้วมาอุ้มหญิงสาวออกจากที่นั่งข้างคนขับ แต่กลับถูกเธอปฎิเสธ “ไม่ต้องอุ้ม ฉันเดินเองได้”
หนานกงเจาเชื่อฟังซะที่ไหน ไม่ว่าจะถูกตีด้วยกำปั้นของเธอ แต่เมื่ออุ้มเจ้าหญิงออกมาได้ เขาก็กระซิบข้างหูขู่เธอเบาๆ “ถ้ายังสร้างปัญหาอีก ผมจะจูบคุณต่อหน้าคนเยอะๆ”
“ทำไมนายเป็นคนไม่มีเหตุผลแบบนี้?”
“คุณพูดถูก ผมก็เป็นคนไม่มีเหตุผลแบบนี้แหละ”
หนานกงเจาเป็นคนหล่อเหลา ทันทีที่ประตูห้องฉุกเฉินถูกเปิดออกก็ดึงดูดความสนใจของผู้คนจำนวนมาก เย่ชูวเสวียกลัวว่าคนอื่นจะจำเธอได้ จึงรีบหันศีรษะฝังหน้าไว้ในอ้อมแขนของเขา
คนบางคนรับรู้ได้ถึงพฤติกรรมของเธอ ริมฝีปากหนาก็มีรอยยิ้มขึ้น
อ้อมกอดของหนานกงเจาอบอุ่น สบาย และยังมีกลิ่นซิการ์อ่อนๆ หอมมาก
หอมงั้นเหรอ? โอ้พระเจ้า เย่ชูวเสวียเธอกำลังคิดอะไรอยู่? เขาคือหนานกงเจา หอมกลิ่นตดนะสิ เธอรีบสลัดภาพหลอนในใจอย่างเงียบๆ
“เธอเป็นอะไรมาครับ?” ทันทีที่ก้าวเข้าแผนกฉุกเฉิน คุณหมอท่านหนึ่งก็ถามขึ้น
“รถชนครับ เข่าได้รับบาดเจ็บ แล้วก็เวียนหัวนิดหน่อย”
“ไม่มึนค่ะ ตอนนี้ไม่มึนหัวแล้ว” เย่ชูวเสวียหันหน้าออกมา
คุณหมอชะงักไปกับใบหน้างดงามของเธอ กระแอมเล็กน้อยแล้วถามขึ้น “ตอนที่ชนร้ายแรงไหมครับ?”
“ไม่ค่ะ ฉันคาดเข็มขัดนิรภัย แล้วก็ไม่ได้กระแทกพวงมาลัยด้วย”
“งั้นก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรมาก ไปทำแผลที่หัวเข่าก่อน ตามผมมาเลยครับ”
คุณหมอเดินไปข้างหน้า หนานกงเจาอุ้มหญิงสาวแล้วเดินตามไป หญิงสาวกัดฟันกระซิบเบาๆ “คุณไม่ปล่อยฉันลงล่ะ อุ้มอยู่แบบนี้มันยังไงๆ นะ?”
“ผมชอบอุ้ม” หนานกงเจายังคงหน้าด้านต่อไป กว่าจะมีโอกาสเช่นนี้ไม่ง่าย เขาจะยอมปล่อยไปได้อย่างไรล่ะ?
เย่ชูวเสวียโมโห เอื้อมมือไปบิดเอวเขาอย่างแรง เมื่อเห็นว่าสีหน้าของหนานกงเขาเปลี่ยนไปจึงคลายมือออก
“ได้ระบายอารมณ์รึยัง?” หนานกงเจาถามอย่างเอาใจ
“ระบายกับผีนะสิ!” เย่ชูวเสวียสถบ
เลี้ยวเข้ามาในห้องพยาบาล หนานกงเจาวางเธอไว้บนเตียงผู้ป่วย ยิ้มแล้วพูดว่า “เอาล่ะ ผมปล่อยคุณแล้ว”
“เลว!” เย่ชูวเสวียแขวะไปคำหนึ่ง
คุณหมอไม่เห็นท่าทีของคนทั้งสอง พูดเบาๆว่า “พวกคุณรอก่อนนะครับ ผมจะให้พยาบาลมาทำแผลให้”
ในห้องพยาบาลเหลือเพียงสองคน บรรยากาศน่าอึดอัดอย่างอธิบายไม่ได้ เย่ชูวเสวียเห็นเขาเดินมาข้างหน้า จึงถอยหลังไปอย่างอัตโนมัติ พูดขึ้นอย่างจริงจัง “นายจะทำอะไร? ฉันขอโทษที่ลงไม้ลงมือกับนาย”
หนานกงเจาชี้ไปที่ไหล่ของเธอแล้วพูด “เสื้อคุณยับ”
เย่ชูวเสวียก้มมอง คอปกเสื้อของเธอพับเข้าไปอยู่ด้านในเสื้อ ทั้งพูดขณะจัดเสื้อ “ยับไม่ยับก็ไม่เกี่ยวกับนาย พูดมาก”
“ผมว่าอยู่ในนี้แล้วคุณปากเก่งขึ้นนะ” จู่ๆ หนานกงเจาก็ขึ้นมาตรงหน้า วางมือทั้งสองข้างไว้ด้านๆ ขาของเธอ บังคับให้เธอถอยหลังไปด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “หรือว่าอยากลิ้มลองขนมหวาน”
เย่ชูวเสวียไม่เคยถูกแหย่เช่นนี้มาก่อน ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดง จ้องมองเขาอย่างเขินอาย “หนานกงเจานายเชื่อไหมฉันซัดนายจนเข้าห้องผ่าตัดได้เลยนะ”
“เชื่อ แน่นอนว่าผมเชื่อ แต่ถ้าคุณตีผมผมก็รับได้นะ”
“นาย…” ดูเหมือนว่าเย่ชูวเสวียอยากตบเขาสักฉาก “ฉันไม่เคยเห็นใครหน้าหนาเหมือนนายมาก่อน หนานกงเจานายรู้ไหมว่ายางอายเป็นยังไง?”
หนานกงเจาสารภาพ “ผมรู้ แต่ผมชอบคุณ ผมควบคุมตัวเองไม่ได้”
“นายเก็บคนพูดเหล่านี้ไว้ไปบอกคนรักคนที่เจ็ดหรือแปดของนายดีกว่าโอเคไหม? ฉันไม่ต้องการมัน” เย่ชูวเสวียจ้องมอง บังคับในสิ่งที่เขาไม่เต็มใจ
“หลังจากที่อยู่กับคุณ ผมจะไม่อยู่กับพวกเธออีก..”
เย่ชูวเสวียขมวดคิ้ว “เดี๋ยวก่อน ใครจะอยู่กับนาย?”
“ผมประกาศอย่างเป็นทางการอยู่ฝ่ายเเดียว”
“บ้า” เย่ชูวเสวียกลอกตาไปมา
“คุณคือยาของผม”
เย่ชูวเสวียทั้งโกรธทั้งยิ้ม แต่ในสถานการณ์ตอนนี้เธอไม่อาจหัวเราะออกมาได้ จึงยกมือขึ้นยอมแพ้ “โอเค นายเก่งจริงๆฉันยอมแพ้ ตอนนี้ฉันอยู่โรงพยาบาลแล้ว นายจะไปได้หรือยัง?”
“ไม่ได้ ขาคุณยังเจ็บอยู่ ผมเป็นห่วงคุณ”
เย่ชูวเสวียมีปากจึงยากที่จะไม่ให้โต้แย้ง “ฉันว่าไม่จำเป็น นายไม่ต้องมาเป็นห่วง โอเคไหม? นายเป็นตัวอันตรายที่สุดสำหรับฉัน ถ้าพ่อกับแม่ฉันรู้ว่าเราพบกันอีก ครั้งล่าสุดคือฉันถูกทำโทษ แต่คราวนี้ได้ถูกเฆี่ยนด้วยแส้แน่ นายปล่อยฉันไปได้ไหม?”
แววตาของหนานกงเจาหม่นหมองลง แม้รู้ว่าเย่ชูวเสวียพูดเกินความจริง แต่คุณชายและคุณนายเย่ลงโทษเธอจริงๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ
ขอบคุณแอดค่ะ...สนุกค่ะ......
สนุก...