“คุณเอาไปทำไมตั้งมากมาย ?”
หนานกงเจานั่งลงบนโซฟาตรงข้ามเธอ “ก็ถือว่าให้เป็นสวัสดิการพนักงาน”
ในเมื่อมีธุรกิจแล้ว เย่ชูวเสวียก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ทำ โดยพูดกับพนักงานว่า “แค่ทำตามวิธีที่เขาพูด เค้กทุกก้อนต้องเหมือนกัน”
“ตกลง”
เย่ชูวเสวียหันกลับมาพูด “ที่นี่ฉันไม่รับผิดชอบในเรื่องการส่งนะ”
“ไม่เป็นไร อีกเดี๋ยวฉันจะให้ผู้ช่วยมารับ ”หนานกงเจามองเห็นว่าเธอดูเศร้า จึงถามด้วยความเป็นห่วงว่า “คุณเป็นอะไร ? ไม่มีความสุขเหรอ ?”
เย่ชูวเสวียกลอกตาไปมา “เกี่ยวอะไรกับคุณด้วย ?”
“ยังไงก็ว่างอยู่แล้ว คุณก็พูดกับผมป่ะ บางทีผมอาจจะช่วยได้” หนานกงเจาคิดบวกมาที่สุด กว่าเขาจะมาได้ครั้งหนึ่งนั้นไม่ง่ายเลย จะไปทั้งอย่างนี้ไม่ได้
เย่ชูวเสวียเงียบไปครู่หนึ่งและพูดว่า “เรื่องนี้ ใครก็ช่วยไม่ได้”
“ถ้าคุณไม่พูดออกมาจะรู้ได้ยังไงว่าผมช่วยไม่ได้ ?”
ในเวลานี้เย่ชูวเสวียรู้สึกหดหู่ใจเล็กน้อยจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ เจ้ามอนสเตอร์น้อยทั้งสองไปยุโรปอีกแล้ว และตอนนี้ก็ส่งผู้ฟังมาคนหนึ่งแล้ว เธอรู้สึกอดกลั้นไว้ไม่ไหวแล้ว หลังจากคิดสองสามวินาทีก็พูดขึ้นว่า “เรื่องนี้คุณห้ามไปบอกใครเด็ดขาดนะ”
หนานกงเจารู้สึกประหลาดใจและรีบพยักหน้าอย่างแรง “ผมสาบานเลยว่าจะไม่พูดกับใครเด็ดขาด”
เย่ชูวเสวียถอนหายใจยาวก่อนจะพูด “เฮ้ คุณยังจำเรื่องอื้อฉาวของพี่ชายฉันที่ออกมาครั้งก่อนได้ไหม ?”
“แน่นอนสิ ตอนนั้นเขายังจัดงานแถลงข่าวอยู่เลย”
“เขาชอบพี่สาวคนนั้นมาก ชอบมากว่ายี่สิบปีแล้ว ฉันก็ชอบเธอมาก......”เมื่อพูดถึงตรงนี้ตาของเย่ชูวเสวียก็แดงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว จมูกหายใจไม่ออกและพูดต่อว่า “สองวันก่อนมีข่าวว่าหายไป......พี่สาวคนนั้นเธอ.......”
น้ำตาของเย่ชูวเสวียไหลลงมาอย่างควบคุมไม่อยู่ หนานกงเจาเห็นเธอร้องไห้ ในใจก็บีบแน่น รีบหยิบทิชชู่มาเช็ดน้ำตาให้เธอเบาๆและพูดว่า “อย่าเศร้าเลย ค่อยๆพูด”
เย่ชูวเสวียหยิบทิชชู่จากมือของเขา สะอื้นสองสามครั้งและพูดต่อว่า “ในตอนที่พี่สาวคนนั้นกำลังปฎิบัติภารกิจ.....เธอเสียสละ......”
เย่ชูวเสวียก้มศีรษะลงร้องไห้อย่างเงียบๆ หนานกงเจาคิดไม่ถึงว่าเรื่องจะเป็นแบบนี้ เขาทรุดตัวลงนั่งข้างๆเธอด้วยท่าทางงุนงงและกระซิบปลอบเธอว่า “อย่าร้องๆ เป็นความผิดผมเอง ผมไม่ควรถามคุณ อย่าร้องเลย ฮะ ?”
เย่ชูวเสวียสงบลงชั่วขณะแล้วพูดว่า “พี่ชายได้รับผลกระทบอย่างหนัก ผ่านไปหนึ่งเดือนแล้วเขายังไม่ยิ้มเลย แล้วในช่วงนี้เขาก็เริ่มนอนไม่หลับอีกแล้ว ทุกวันต้องพึ่งยานอนหลับถึงได้นอนนอนสองสามชั่วโมง”
“ไม่แปลกใจเลย”หนานกงเจานึกขึ้นได้
เย่ชูวเสวียรู้สึกแปลกใจ “ไม่แปลกใจอะไรเหรอ ?”
“อ่อ ผมได้ยินเพื่อนพูด ตอนนี้พี่ชายคุณแทบเป็นพระแล้ว ไม่เข้าใกล้ผู้หญิงเลย ที่แท้ก็เป็นเพราะเหตุนี้เอง”
“ชื่อเสียงกระจายเร็วขนาดนี้เลย ?”
“นั่นไม่ใช่เหรอ ได้ยินมาว่าลูกสาวที่ร่ำรวยในเมือง ถ้าไม่ถูกเขาทำให้ตกใจจนร้องไห้ ก็ถูกเขาด่ากระเด็นเลย.......”
เย่ชูวเสวียถอนหายใจ “จบแล้วจบแล้ว ฉันว่าต่อไปนี้เขาคงหาภรรยาไม่ได้จริงๆแล้วล่ะ เฮ้อ คุณมีวิธีอะไรบ้างไหม ที่จะทำให้เขาไม่เศร้าขนาดนี้ ?”
หนานกงเจาเอ่ยปาก “ดื่มเหล้าจนเมา เมาแล้วถึงจะหาย.....”
“ไม่มีทาง”เย่ชูวเสวียปฎิเสธข้อเสนอนี้ ครั้งที่แล้วที่เกิดเรื่องก็เป็นเพราะเขาเมาอยู่ที่ร้านเหล้า ตั้งแต่นั้นมาเขาก็สาบานว่าจะไม่ไปดื่มเหล้าที่ร้านเหล้าอีก
“ถ้างั้นก็ไปเที่ยว ไปเที่ยวดูภูเขาแม่น้ำ”
เย่ชูวเสวียส่ายหัว “ฉันก็พูดไปหลายครั้งแล้ว แต่เขาไม่สนใจเลย”
หนานกงเจาลำบากใจหลังจากเขาครุ่นคิดอยู่นานก็พูดว่า “หรือไม่ ก็ให้เขาไปพบจิตแพทย์ ผมคิดว่าเขาหดหู่เกินไปและไม่สามารถแสดงอารมณ์ออกมาได้ เมื่อพบกับจิตแพทย์ เขาอาจจะพูดคุยบางเล็กน้อย”
“ช่างมันเถอะ ฉันรู้จักพี่ชายของฉันดี ถ้าตัวเขาเองไม่อยากพูด ใครก็ง้างปากเขาไม่ได้”
“ถ้างั้นจะยังมีวิธีใดอีก ?”หนานกงเจาขมวดคิ้วคิดอย่างหนัก เขาอยากช่วยเย่ชูวเสวียแก้ไขปัญหานี้จริงๆ
ทั้งสองกำลังใช้สมาธิ จู่ๆก็มีเสียงทุ้มดังขึ้นมา “ทำไมเขาถึงอยู่ที่นี่ ?”
ทั้งสองเงยหน้าขึ้นมอง เย่จิงเหยียนมองพวกเขาด้วยสายตาเย็นชา เย่ชูวเสวียเพิ่งตระหนักได้ว่าหนานกงเจาอยู่ใกล้เธอเกินไป จึงกระโดดออกมาและพูดว่า “เขามาซื้อเค้ก ตอนนี้กำลังทำอยู่ ดังนั้นจึงมารออยู่ที่นี่”
เย่จิงเหยียนดูเหมือนจะไม่สนใจเรื่องของน้องสาว เขาพูดเบาๆว่า “เอาเค้กชิ้นเล็กมาชิ้นหนึ่ง”
คิ้วที่สวยงามของเย่ชูวเสวียขมวดติดกัน “คุณยังไม่ได้กินข้าวเหรอ ?”
“ยังไม่ค่อยหิว”
“ก็พูดแบบนี้ทุกครั้ง ถึงแม้ว่าไม่หิวก็ต้องทานหน่อย จะนับเค้กให้ครบทุกวันได้อย่างไร ?” เย่ชูวเสวียบ่นอย่างทุกข์ใจ และหยิบเค้กที่มีผลไม้เยอะสุดออกมาให้เขาจากตู้กระจก
เย่จิงเหยียนใช้ช้อนตักคำใหญ่เข้าปากไปเคี้ยวแล้วพูดว่า “เธอทำขนมรสเผ็ดตั้งแต่เมื่อไหร่ ”
เย่ชูวเสวียไม่เข้าใจว่าเขากำลังพูดถึงอะไร “ในเมื่อมันเป็นของหวาน จะมีรสเผ็ดได้ยังไง แบบนั้นมันจะรสชาติแย่ขนาดไหนกัน”
เย่จิงเหยียนทานอีกรอบ โดยไม่ตอบเธอ
อีเหยาเป็นคนทานอาหารรสจัด ยังจำตอนเดทครั้งแรกได้ ผู้ชายคนนั้นโดนคัดออกก็เพราะว่าไม่ทานเผ็ด ที่จริงเขาเป็นคนที่ทานเผ็ดได้ ถึงแม้ว่ามู่เวยเวยแม่ของเขาจะไม่ชอบทานเผ็ดเลยก็ตาม
หลังจากทานเค้กเสร็จ เขาก็วางกล่องลงบนโต๊ะ มองไปที่หนานกงเจาแบบเงียบๆ และหันมาพูดกับน้องสาววา “เธอก็รู้หูของพ่อแม่ดี ดังนั้นจงใช้เวลาให้คุ้มค่าซะ”
เย่ชูวเสวียเอามือแตะศีรษะอย่างเขินอายและชี้แจงว่า “พี่ชาย ฉันกับเขาไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันจริงๆ ”
“ฉันก็แค่เตือนเธอ ไปล่ะ ”เย่จิงเหยียนพูดจบก็ออกจากร้านไป ทิ้งให้เย่ชูวเสวียมึนงงอยู่ในร้าน
พี่ชายหมายความว่าอะไร ? ใช้เวลาให้คุ้มค่าอะไร ? เธอกับผู้ชายคนนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกันจริงๆ
“จบแล้ว พี่ชายฉันคงจะไม่ไปบอกพ่อแม่ฉันหรอกนะ” เย่ชูวเสวียพูดอย่างไร้เดียงสา
เธอไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน แต่กลัวแม่จะโกรธ
“เขาไม่ทำหรอก” หนานกงเจาพูดอย่างมั่นใจ
“คุณรู้ได้ยังไง ?”
“ผมดูออกน่ะสิ”
สมองของเย่ชูวเสวียรู้สึกสับสนเล็กน้อย เธอดึงเขาขึ้นมาและผลักออกไปว่า “คุณมาฉันก็เดือดร้อนเลย คุณรีบออกไปเลยนะรีบออกไป”
หนานกงเจาพูดว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ “พวกเราก็ไม่ได้ทำอะไรเลยหนิ”
“คุณยังอยากจะทำอะไรอีก ? พวกเราไม่สามารถอยู่ในเฟรมเดียวกันได้” เฟรมเดียวกันมันผิด เย่ชูวเสวียโบกมือให้เขาอย่างขยะแขยง “รีบไปรีบไปเถอะ”
“เค้กของผม.......”หนานกงเจาพยายามที่จะอยู่ต่ออีกหน่อย
“อีกเดี๋ยวก็ให้ผู้ช่วยคุณมารับ คุณอย่ามาที่นี่อีก ถ้าเกิดว่าพี่ชายฉันเจออีกครั้ง ฉันตายแน่นอน”
หนานกงเจาขึ้นรถไปอย่างช่วยไม่ได้ รถคันนี้เป็นรถเปิดประทุนที่ทันสมัย เขาพูดว่า “ถ้าคุณรู้สึกไม่สบายใจก็โทรหาผม ผมเป็นถังขยะให้คุณได้ทุกที่ทุกเวลา”
เย่ชูวเสวียส่งเขาอย่างกระวนกระวาย โดยพูดออกไปอย่างไม่รู้ตัวว่า “เข้าใจแล้ว” จากนั้นก็หันกลับเข้าร้านขนมหวานไป
วันนี้แปลกจริงๆ ทำไมเธอถึงบอกเรื่องส่วนตัวของครอบครัวกับเขา ?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ
ขอบคุณแอดค่ะ...สนุกค่ะ......
สนุก...