วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ นิยาย บท 351

“คุณใส่อันนี้ดูดีมาก”

ต้วนอีเหยาปล่อยมือเธออย่างขมขื่น และฝืนยิ้มออกมา “ขอบคุณ จิ่นอี้”

“ไม่ต้องขอบคุณฉัน”แววตาของไป๋จิ่นอี้เต็มไปด้วยอารมณ์ที่อธิบายไม่ถูก เขามองลึงลงไปในตาของต้วนอีเหยา ก้มศีรษะลงเพื่อปกปิดไม่ให้เห็น “พวกเราไปทานข้าวเถอะ”

ต้วนอีเหยาพยักหน้าอย่างเงียบๆ เธอรู้ว่าเขาผิดหวัง สิ่งที่คนสารภาพรักหวังมากที่สุดก็คือคำตอบของคนรัก แต่เธอไม่สามารถตอบรับได้ คนที่เธอรักอยู่กับคนอื่น ท้ายที่สุดแล้วไม่ใช่ผู้ชายที่อ่อนโยนตรงหน้า

รถของไป๋จิ่นอี้โดนชน และตรงที่ร้านดอกไม้ก็เรียกรถแท็กซี่ยากมาก พวกเขาจึงทำได้เพียงนั่งอยู่บนรถ

ตั้งแต่ที่ต้วนอีเหยาบอกขอบคุณ ทั้งสองก็อยู่ในบรรยากาศที่อึดอัดแบบนี้มาตลอด ต้วนอีเหยารู้สึกเบื่อจึงหยิบนิตยสารขึ้นมาจากหน้ารถ ทันใดนั้นก็มีนามบัตรหล่นลงมาจากนิตยสาร

บนหัวเข่าของเธอมีนามบัตรสีดำที่คุ้นตาอยู่ ดวงตาของต้วนอีเหยาหรี่ลง เธอหยิบมันขึ้นมาด้วยมือที่สั่น จากนั้นคำสามคำก็ปรากฎขึ้นมา “เย่จิงเหยียน ”

เขา.....รู้จักกับไป๋จิ่นอี้ !

“จิ่นอี้.......”เธอได้ยินเสียงตัวเองเรียกชื่อไป๋จิ่นอี้ด้วยเสียงสั่นเครือ

“มีอะไรเหรอ ?” ไป๋จิ่นอี้หันกลับมาด้วยความสงสัย ทั้งสองยังไม่พูดอะไร เขาคิดว่าอีกเดี๋ยวไปทานข้าวก็จะรักษาท่าทางไว้แบบนี้ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะพูดกับเขาก่อน ทำให้เขารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย

ต้วนอีเหยายื่นนามบัตรไปตรงหน้าเขาและถามว่า “คนนี้.....เป็นใครเหรอ ?”

ไป๋จิ่นอี้กำลังขับรถอย่างตั้งใจ จู่ๆก็มีนามบัตรปรากฎขึ้นตรงหน้าเขา เขามองดู ในหัวก็นึกถึงความทรงจำเกี่ยวกับนามบัตรนี้

“อ่อ อันนี้เหรอ......”

เขาจำได้ว่าเมื่อกี้มีรถมาชนตัวเอง นามบัตรนี้เป็นสิ่งที่ชายสุดหล่อนั้นยื่นให้กับเขา ในตอนนั้นเขาไม่ได้รับ เขาเลยสอดเข้าไปในอะไรสักอย่างแบบลวกๆ

“ผมก็ไม่รู้จัก น่าจะเป็นคนรวยคนหนึ่งแหล่ะ” เพราะว่าเขาขับรถโรลส์รอยซ์รุ่นลิมิเต็ดอิเดชั่น ถึงแม้เขาจะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องรถแต่ก็ยังพอรู้จัก

ต้วนอีเหยาคลายนิ้วออก นามบัตรก็ตกลงไป ไป๋จิ่นอี้เห็นเธอสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จึงถามว่า “ทำไม คุณรู้จักเขาเหรอ ?”

ต้วนอีเหยาเก็บสีหน้าที่สิ้นหวังของเธอ และส่ายหัวว่า “ไม่รู้จัก”

ไม่รู้ว่าทำไม ในตอนที่เธอตัดสินใจจะลืมเขา เขาก็มักมาปรากฎตัวต่อหน้าเธออยู่ตลอด สองสามวันนี้ เรื่องเล็กๆน้อยๆมักจะเกี่ยวข้องกับเขาตลอด มันเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆเหรอ ?

เมื่อเงยหน้าขึ้น ก็ไปสบตากับไป๋จิ่นอี้ เธอหลบสายตาเขาและอธิบายว่า “ฉัน......ฉันแค่คิดว่านามบัตรนี้มันดูพิเศษและน่าสนใจดี”

“เป็นแบบนี้นี่เอง”

ไป๋จิ่นอี้หันกลับไปมองทางม้าลายฝั่งตรงข้าม แววตาแสดงความผิดหวัง เธอยังไม่อยากมองหน้าเขาตรงๆ.......

……

ณ บ้านต้วน

เย่จินเหยียนรับเย่ฉ่าวเฉินและมู่เวยเวยมา เดิมทีจะตรงไปที่โรงแรม แต่แม่ต้วนยืนกรานให้พวกเขาไปทานอาหารเย็นที่บ้านต้วน

เย่จิงเหยียนไม่มีทางเลือกจึงฟังความคิดเห็นของทั้งสาม เมื่อเห็นว่าทุกคนไม่มีความคิดเห็นอะไร จึงขับรถตรงไปที่ชั้นล่างของบ้านต้วน

“บ้านคู่หมั้น !”

เมื่อเย่ฉ่าวเฉินก้าวเข้าประตู ก็มองเห็นคนมาต้อนรับเขา เขาหันไปข้างๆ เอื้อมมือไปอย่างสุภาพ “สวัสดีครับ”

พ่อต้วนถึงกับผงะ จากนั้นยื่นมือไปจับ และพูดกลับไปว่า “สวัสดีครับ”

หลังจากการพบกันที่น่าอึดอัด เย่จิงเหยียนและทั้งสี่คนก็เข้าไปที่ห้องรับแขก ต้วนจื่ออิ๋งที่กำลังอยู่ในครัวได้ยินเสียง ก็รีบวิ่งออกมาและพูดว่า “พี่จิงเหยียน พี่กลับมาแล้ว !”

เย่จิงเหยียนอยากจะถอยหลัง แต่เมื่อคิดถึงคนในห้องนั่งเล่นแล้ว ก็ยืนอยู่ตรงนั้นปล่อยให้เธอกอด

พ่อต้วนหัวเราะอย่างมีความสุข “พวกคุณอย่าแปลกใจเลย จื่ออิ๋งของพวกเราก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เล็กแล้ว”

เย่ฉ่าวเฉินขมวดคิ้ว มู่เวยเวยที่อยู่ข้างๆจับมือเขาไว้แน่น และยิ้มพูดว่า “เด็กผู้หญิง ตรงไปตรงมาและไร้เดียงสาแบบนี้ถึงน่ารักที่สุด”

คำพูดนี้ทำให้ใบหน้าของพ่อต้วนเต็มไปด้วยรอยยิ้ม และพูดกับมู่เวยเวยมากมาย เย่ฉ่าวเฉินอดไม่ได้ที่จะคว้าเอวของมู่เวยเวยมา เพื่อประกาศความเป็นเจ้าของ

รอยยิ้มของพ่อต้วนยังตรึงอยู่บนใบหน้า มู่เวยเวยจึงรีบอธิบายว่า “เขาก็เป็นแบบนี้ ยึดติดมาก คุณอย่าใส่ใจเลย เขาไม่ได้มีความหมายอื่นหรอก”

“เป็นแบบนี้นี่เอง ความสัมพันธ์ของบ้านพวกคุณดีมาก” พ่อต้วนเคอะเขินเอามือถูจมูก นั่งอยู่บนโซฟาและรู้สึกถึงสายตาที่กดดันของเย่ฉ่าวเฉิน

เย่ฉ่าวเฉินก้มไปที่หูของมู่เวยเวยในขณะที่ไม่มีใครเห็น “อย่าหลงใหลชายอื่นให้มันมาก”

หูของมู่เวยเวยแดง มือทั้งสองของเธอผลักคนที่กอดเธออยู่ออก และด่าในใจว่า “เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย”

ได้ยินไปถึงหูของเย่จิงเหยียน เขาอดไม่ได้ที่จะขนลุกไปทั่วร่างกาย นานขนาดนี้แล้ว ไม่คิดเลยว่าพ่อแม่ยังจะรู้สึกขนลุกขนาดนี้

“พี่จิงเหยียนคุณเป็นอะไรไปแล้ว ? ทำไมถึงตัวสั่น ?”

ต้วนจื่ออิ๋งที่กอดเย่จิงเหยียนรู้สึกว่ามีอะไรแปลกไป จึงถามออกไปเสียงดังไปทั่วห้องรับแขก

เดิมทีทุกคนกำลังคิดอะไรอยู่ เมื่อได้ยินต้วนจื่ออิ๋งร้องอุทาน ทุกคนก็หันมาสบตาเย่จิงเหยียน

“ผมไม่เป็นไร ไม่เป็นไร”เย่จิงเหยียนยิ้ม แต่ก็แอบคร่ำครวญ เขาเพียงนั่งฟังความหึงหวงของพ่อแม่ แต่ก็พูดอะไรออกมาไม่ได้

แต่ต้วนจื่ออิ๋งไม่เข้าใจเขา จึงมองไปข้างล่าง “เห็นได้ชัดว่าเมื่อกี้คุณตัวสั่น คุณไม่สบายตรงไหนก็พูดมาสิ !”

เมื่อเห็นดวงตาของเย่ฉ่าวเฉินมองตัวเองเฉียบคมขึ้นเรื่อยๆ ศีรษะของเย่จิงเหยียนก็เหงื่อออก “ผมสบายดี อาจจะเป็นเพราะอากาศเย็นเกินไป เขาไม่ตอบสนองอะไร”

แม้ข้อโต้แย้งนี้จะไม่ค่อยสมเหตุผล แต่ก็ทำให้เย่ฉ่าวเฉินเบนสายตาไปหามู่เวยเวยอย่างอ่อนโยน

เย่จิงเหยียนสูดหายใจเข้าลึกๆ ในที่สุดก็ซ่อนมันไปได้

ในเวลานี้อาหารใกล้จะพร้อมแล้ว เสียงของแม่ต้วนดังมา ทุกคนเลยลุกขึ้นไปนั่งที่โต๊ะอาหาร

.“พี่จิงเหยียน.....”

ต้วนจื่ออิ๋งคีบซี่โครงหมูไว้ชิ้นหนึ่งและกำลังจะใส่ในถ้วยของเย่จิงเหยียน แต่ก็ถูกเขาจ้องมอง เมื่อคิดได้ว่าพ่อแม่ของเย่จิงเหยียนก็อยู่ที่โต๊ะอาหาร จึงรีบดึงตะเกียบกลับไป

เมื่อเย่ชูวเสวียเห็น เธอก็กลอกตาไปมาและพูดว่า “พี่ชาย ฉันอยากินซี่โครงหมู แต่มันอยู่ไกลเกินไป ฉันคีบไม่ได้ !”

เย่จิงเหยียนมองเธอ ไม่พูดอะไรและคีบให้เธอชิ้นหนึ่ง เย่ชูวเสวียก้มหน้าทานไปสักพัก ก็เงยหน้าขึ้น “ฉันอยากกินมะเขือยาว”

“มะเขือเทศผัดไข่”

“ตีนหมู”

……

โต๊ะเต็มไปด้วยเสียงของเย่ชูวเสวียที่สั่งเย่จิงเหยียน ทางด้านเย่ฉ่าวเฉินและมู่เวยเวยล้วนชินกันแล้ว แต่หน้าของพ่อต้วนกลับมืดมนลง

นี่คือไม่เห็นด้วย ? ลูกสาวของเขายังไม่ทันได้แต่ง ก็เจอเข้ากับน้องสะใภ้ที่ยุ่งยากขนาดนี้ งั้นต่อไปจะเป็นยังไง ? ท้ายที่สุดก็คือคนที่อยู่ด้วยไปตลอดชีวิต เขาจะต้องเช็คแทนเธอให้ดี

เมื่อคิดอย่างนี้ พ่อต้วนก็วางตะเกียบลง และมองดูเย่ชูวเสวียอย่างเงียบๆ แต่ยังไงก็ตาม เย่ชูวเสวียไม่ทันได้สังเกต ยังคงพูดพล่อยๆต่อไป

พ่อต้วนทนไม่ได้ยกมือปิดปากประแอม ความเคลื่อนไหวบนโต๊ะหยุดลง ต้วนจื่ออิ๋งหายใจไม่ออก เมื่อครู่ทำอะไรไม่ได้ แต่เมื่อมีพ่อสนับสนุนแล้ว เธอก็เบิกตาโพลงจ้องมองไปที่เย่ชูวเสวีย

เธอไม่คาดคิดเลยว่าเย่ชูวเสวียเดิมทีที่ดีกับเธอทำไมวันนี้จู่ๆถึงเปลี่ยนไปเป็นแบบนี้

เย่จิงเหยียนก็รู้สึกได้ว่าบรรยากาศบนโต๊ะแปลกๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าผิดปกติตรงไหน ตั้งแต่เล็กจนโตเขาถูกสอนให้ดูแลน้องสาวให้ดี เขารู้สึกชินกับเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว จึงไม่คิดว่ามีอะไรผิดปกติ

พ่อต้วนมองไปที่เย่ฉ่าวเฉิน ก็เห็นเขาท่าทางเย็นชาไม่แยแส แต่เมื่อมองไปที่มู่เวยเวย แววตาของเขาก็ผ่อนคลายลง และในใจก็ไม่รู้สึกโกรธ

แต่เมื่อคิดได้ว่าลูกสาวตัวเองชอบเย่จิงเหยียนมาก เขาจึงทำได้เพียงระงับความโกรธและถามด้วยน้ำเสียงที่พอใจว่า “จิงเหยียน คุณติดสินใจเรื่องที่อยู่ให้พวกเรารึยัง ?”

เย่จิงเหยียนไม่คืดว่าเขาจะถามคำถามแบบนี้ เขาตกตะลึง “จองไว้แล้ว เป็นโรงแรมที่ผมพักอยู่”

พ่อต้วนคร่ำครวญ “จะพักอยู่ที่โรงแรมได้ยังไง พวกเรามีคอนโดอยู่ในเมือง ให้คนมาทำความสะอาด แล้วพักอยู่ชั่วคราวที่นั่น ?”

“ไม่ล่ะ”

เย่จิงเหยียนกำลังจะพูด แต่ก็ถูกเย่ฉ่าวเฉินขัดจังหวะ “เมื่อก่อนผมซื้อคฤหาสน์ไว้ที่รอบนอก ได้ใช้ประโยชน์ตอนนี้พอดีเลย”

พ่อต้วนตกตะลึง เวลาผ่านไปสักพักก่อนเขาจะยิ้มอย่างฝืดเคือง

อย่างไรก็ตามทำธุรกิจมาตั้งนาน คอนโดและรถก็มีครบหมดแล้ว และคอนโดในเมืองก็ไม่ถูกเลย

ว่าแต่ ตระกูลเย่ร่ำรวยขนาดนี้เลยเหรอ ? ถึงขนาดมีคฤหาสน์ ?

มู่เวยเวยเห็นว่าบรรยากาศครึ้มๆจะรีบพูดขึ้นมาว่า “ถ้าเทียบไปเรื่องนี้เล็กน้อย พวกเราควรจะปรึกษากันว่าจะเลือกวันไหนดีไหม ?”

หัวข้อนี้ดึงดูดแม่ต้วนที่ตลอดเวลาไม่ได้พูดอะไร เธอพูดเบาๆว่า “วันที่ฉันดูมาสองสามครั้งแล้ว แต่ตัวเลขที่ดีที่สุดคือต้นเดือนหน้าเท่านั้น”

“ต้นเดือนหน้า ?”มู่เวยเวยอุทาน “นั่นมันเร็วเกินไปรึเปล่า ?”

แม่ต้วนส่ายหัว “ถ้าหากว่าเริ่มเตรียมตั้งแต่ตอนนี้ ก็ไม่เร็วไปหรอก”

มู่เวยเวยหันไปมองลูกชาย นี่เป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตเขา เธอไม่อยากบังคับเขาเกินไป

เดิมทีเย่จิงเหยียนก็เออออไปกับการแต่งงาน เขาจึงไม่ค่อยกระตือรือร้นกับเรื่องแบบนี้ แต่ต้วนจื่ออิ๋งที่อยู่ข้างเขาดูกระตือรือร้น เมื่อเห็นมู่เวยเวยมองมาที่เธอ เธอก็คิดว่าคงกำลังขอความคิดเห็นจากเธอ

จึงรีบเงยหน้าขึ้นและส่ายหัว แต่แบบนี้ดูเหมือนว่าจะยังไม่พอ จึงเปิดปากพูดว่า “ฉันกับพี่จิงเหยียนไม่ขัดข้อง !”

มู่เวยเวยขมวดคิ้ว เด็กผู้หญิงคนนี้เสนอหน้ามากเกินไปแล้ว เธอถามลูกชายตัวเอง ทำไมถึงกลายเป็นเธอ ยังไม่ทันแต่งงานก็....

มู่เวยเวยและเย่ฉ่าวเฉินมองตากัน และเห็นความไม่พอใจจากดวงตาของฝ่ายตรงข้าม แต่ก็ไม่ง่ายเลยที่จะเอ่ยปากพูด จึงทำได้เพียงยิ้มยอมรับไป

เมื่อทั้งสองบ้านแยกจากกัน ต้วนจื่ออิ๋งก็ดึงชายเสื้อของเย่จิงเหยียนไว้อย่างไม่เต็มใจ จนกระทั่งไปส่งเขาถึงประตูลิฟต์ ถึงค่อยๆคลายชายเสื้อเขาออก

เมื่อกลับถึงรถ มู่เวยเวยก็ถามเย่ชูวเสวียที่ฮัมเพลงป๊อปว่า “ทำไมวันนี้เธอเรื่องเยอะจัง ? ฉันจำได้ว่าเธอไม่ชอบทานตีนหมู ”

เสียงของเย่ชูวเสวียหยุดลงชั่วขณะ และหันหน้าไปประจบ “แหะแหะ.....คุณแม่ คุณก็เห็นเหรอ พ่อของต้วนจื่อิ๋งเป็นแบบนั้น มันทนไม่ได้จริงๆ!”

“ใครบอกให้เธอพูดเกี่ยวกับผู้อาวุโสกว่าแบบนั้น ?” มู่เวยเวยขมวดคิ้วและถามด้วยเสียงทุ้ม

เธอไม่เคยพูดแบบนี้กับเย่ชูวเสวียมาก่อน ในเวลานี้ เย่ชูวเสวียยิ้มไม่ออกแล้ว เธอแตะจมูกและกลับไปที่นั่งข้างคนขับ น้ำตาเอ่อล้นที่มุมตาของเธอ

มู่เวยเวยก็ตระหนักได้ว่าตัวเองพูดหนักไปหน่อย จึงอ้าปาก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

เย่จิงเหยียนที่กำลังขับรถอยู่ แต่ความสนใจเขากลับไปอยู่ที่เย่ชูวเสวีย เมื่อเห็นว่าเธอจะร้องไห้ ก็อดไม่ได้ถอนหายใจ และยื่นกระดาษทิชชู่ให้กับเธอ

“เอาออกไป ฉันไม่ได้ร้องไห้ !”เย่ชูวเสวียพลักทิชชู่ที่อยู่ข้างหน้าออก และในตอนที่เขาไม่ทันได้สังเกตน้ำตาก็ไหลลงมา

เย่ฉ่าวเฉินที่กำลังหลับตาพักผ่อนอยู่ค่อยๆลืมตาขึ้นมา ขมวดคิ้วและถามว่า “เกิดอะไรขึ้นอีกแล้ว ?”

เขามองไปรอบๆก่อนจะหยุดสายตาลงที่เย่จิงเหยียน เย่จิงเหยียนที่กำลังขับรถ ทันใดนั้นก็รู้สึกหนาวๆร้อนๆอยู่ข้างหลัง จึงรีบปฎิเสธว่า “ไม่ใช่ผม !”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ