เมื่อเห็นอาการโกรธของเย่ชูวเสวีย หนานกงเจาก็ทําอะไรไม่ได้ "ก็ได้ ทำตามที่คุณพูด พวกเราไปกันเลยก็แล้วกัน!"
"แล้วยังจะรออะไรอีกล่ะ ไปกันเถอะ!"
เธอเลิกผ้าห่มขึ้นและลุกขึ้นจากเตียงทันที แต่ถูกหนานกงเจารีบหยุดไว้ "ตอนนี้อาการบาดเจ็บของคุณยังไม่หายดี ผมจะอุ้มคุณเอง!"
ทันทีที่สิ้นเสียง เย่ชูวเสวียก็รู้สึกราวท้องฟ้ากำลังหมุน เมื่อได้สติกลับคืนมาเธอก็อยู่ในอ้อมแขนของหนานกงเจาเสียแล้ว เมื่อเงยหน้าขึ้นก็มองเห็นคางที่เด็ดเดี่ยวของเขา ในห้วงนั้นเธอรู้สึกว่าเขาเป็นผู้ชายมาก!
"ชูวเสวีย......"
"หืม?"
"อย่าเอาแต่จ้องผมอย่างนั้นสิ"
ขณะที่หนานกงเจาพูดคํานี้ออกมาเขาก็เบือนหน้าไปอีกทางหนึ่ง แต่เย่ชูวเสวียยังคงไม่ละสายตา ดวงตาคมจับได้ว่าเขาดูไม่เป็นตัวของตัวเอง และเมื่อเห็นใบหูของเขาแดงก่ำก็อดไม่ได้ที่จะแอบหัวเราะออกมา
คิดไม่ถึงว่าตาทึ่มนี่จะขี้อายได้ขนาดนี้ ช่างสนุกเสียจริง
......
ทักษะการขับรถของหนานกงเจานั้นดีมาก เขาขับพาไปถึงที่หมายโดยแทบจะไม่มีการกระแทกอะไรเลย เขาเปิดประตูรถและอุ้มเย่ชูวเสวียไว้ในอ้อมแขนอีกครั้ง
"ที่นี่คุณปล่อยฉันลงได้แล้วล่ะ มีรถเข็นอยู่ไม่ใช่เหรอ?" อันที่จริงยังมีคําพูดที่ยังพูดไม่จบ แต่การอยู่ต่อหน้าสายตาผู้คนมากมาย ก็ทําให้รู้สึกเขินอายอยู่ไม่น้อย
หนานกงเจายกริมฝีปากขึ้นยิ้มอย่างมีเลศนัย "ถ้าเข็นรถเข็นของคุณเข้าไปในลิฟต์แล้วคนอื่นจะเข้ามาด้วยได้ยังไง? ทำอะไรต้องคิดถึงคนอื่นด้วย ใช่ไหม?"
"นี่คุณ......" เย่ชูวเสวียกลอกตาใส่เขา แล้วการอุ้มไว้แบบนี้จะช่วยประหยัดพื้นที่ได้มากหรือไง?
แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไร ในเมื่อเขาต้องการที่จะอุ้มเธอไว้ ก็ให้เขาอุ้มต่อไป ยังไงเธอก็ไม่ได้เสียหายอะไรอยู่แล้ว
เมื่อพวกเขาเดินเข้าไปในร้าน ทุกคนต่างก็จ้องมองมาที่พวกเขาด้วยสายตาสงสัย ชายหนุ่มรูปหล่อที่กำลังอุ้มหญิงสาวในชุดผู้ป่วย จินตนาการได้เลยว่าภาพนี้ทำให้ผู้คนช็อกได้ขนาดไหน
เย่ชูวเสวียตบไปที่แขนของเขา "เอาที่ตรงนั้น ข้างหน้าต่าง คุณปล่อยฉันลงก่อนเถอะ"
หนานกงเจาก็เห็นแล้วเช่นกัน จึงอุ้มเธอเดินเข้าไปโดยไม่ลังเล ยังไม่ทันที่เย่ชูวเสวี่ยจะนั่งลงเรียบร้อย บริกรก็เดินมาพร้อมกับเมนูอาหาร
"ไม่ทราบว่าพวกคุณต้องการรับชาแบบไหน?"
ที่นี่เป็นร้านอาหารจีน เครื่องดื่มในร้านนอกจากน้ำเปล่าแล้วก็คือน้ำชา เครื่องดื่มประเภทไวน์นั้นหาไม่ได้ที่นี่
หนานกงเจาเหลือบมองไปที่เย่ชูวเสวี่ยแวบหนึ่ง "เสิร์ฟชาที่แนะนำก็แล้วกัน"
บริกรตอบรับ จากนั้นก็ทิ้งเมนูไว้แล้วเดินจากไป หนานกงเจาไม่แม้แต่จะพลิกดูด้วยซ้ำ แต่กลับยื่นเมนูอาหารให้เย่ชูวเสวียทันที
เย่ชูวเสวียเองก็ไม่เกรงใจ เธอหยิบปากกาขึ้นมาขีด ๆ เขียน ๆ อยู่ไม่นานก็เสร็จ หลังจากนั้นเธอก็ยื่นมันให้กับบริกรที่เดินผ่านมาโดยไม่แม้แต่จะถามหนานกงเจา
อย่างไรเสียที่มาที่นี่ก็เพราะว่าเธออยากกิน หนานกงเจาก็แค่มากินเป็นเพื่อน คงไม่อยากสั่งอาหารอะไรหรอก
หลังจากที่ทั้งสองสั่งอาหารเสร็จก็ไม่มีอะไรให้ทําอีก ทั้งสองไม่มีอะไรจะคุยกัน เย่ชูวเสวียทําได้เพียงมองผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมานอกหน้าต่างเท่านั้น
ขณะที่เธอกําลังมองเพลิน ๆ อยู่นั้น ทันใดนั้นก็มีร่างของคนที่คุ้นเคยสองคนเดินผ่านไปต่อหน้าเธอ เธอเพ่งมองอย่างตั้งใจ นั่นไม่ใช่ต้วนอีเหยากับเย่จิงเหยียนหรอกเหรอ?
เย่ชูวเสวียรีบเคาะกระจก "พี่ใหญ่ พี่ใหญ่! ”
หนานกงเจาไม่รู้ว่าทําไมจู่ ๆ เธอก็ตื่นเต้นขนาดนี้ จึงมองตามเธอออกไปนอกหน้าต่าง เมื่อเห็นเย่จิงเหยียนถึงได้เข้าใจ
"ชูวเสวีย คุณอย่าเพิ่งรีบร้อน คุณมีอะไรจะพูดกับเขาใช่ไหม? ผมจะออกไปช่วยคุณเรียกเขากลับมาเอง"
"เอ๋......?"
ยังไม่ทันที่เย่ชูวเสวียจะพูดอะไร หนานกงเจาก็ก้าวเท้าออกไปแล้ว
ไม่กี่นาทีต่อมา เย่จิงเหยียนกับต้วนอีเหยาก็ได้เดินตามหลังหนานกงเจาเข้ามาอย่างช้า ๆ และด้วยเหตุนี้ พวกเขาที่เป็นจุดโฟกัสอยู่แล้วก็ยิ่งดึงดูดสายตาผู้คนมากยิ่งขึ้น
เย่ชูวเสวียกุมหน้าผากของเธอไว้ เจ้าทึ่มหนานกงเจานี่ เธอก็แค่อยากทักทายพี่ชายผ่านกระจก ใครบอกให้เขาไปพาพวกเขาเข้ามากัน?
"ได้ยินว่า เธอมีธุระกับพี่?" หลังจากนั้นไม่นาน เย่จิงเหยียนก็ยืนอยู่ตรงข้ามกับเย่ชูวเสวีย เขามองลงมาที่เธอ จากนั้นก็เลื่อนสายตาไปยังเท้าที่ได้รับบาดเจ็บของเธอ ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
"ใครอนุญาตให้เธอออกมากัน?" จากความเข้าใจของเขา พ่อกับแม่ไม่มีทางที่จะใจกว้างปล่อยให้เธอออกมาได้ ดูจากสถานการณ์แล้วเธอคงจะหลอกหนานกงเจาให้แอบพาเธอหนีออกมาแน่นอน
"โธ่ พี่คะ ฉันอยู่ในนั้นเบื่อจนจะตายอยู่แล้ว ก็แค่อยากจะออกมาสูดอากาศบ้าง พี่อย่าบอกพ่อกับแม่นะคะ กินข้าวเสร็จฉันก็จะกลับไปทันที!"
เมื่อเย่ชูวเสวียเห็นแววตาของเย่จิงเหยียน ก็รู้ทันทีว่าเขากําลังคิดที่จะบอกมู่เวยเวยอยู่เป็นแน่ เธอจึงหงายการ์ดทำเป็นน่าสงสาร "ฉันยังหิวอยู่เลย ยังไงพี่ก็ต้องให้ฉันกินข้าวให้เสร็จก่อนแล้วค่อยไปสินะ!"
"ใครจะไปรู้ว่าเธอจะมีลูกไม้อะไรอีก?"
เย่จิงเหยียนหันกลับมาเผชิญสายตากับหนานกงเจา "ต่อไปนายไม่จำเป็นต้องทำตามคำร้องขอของเธอทั้งหมดก็ได้ นายต้องแยกแยะด้วยตัวเองเสียบ้าง"
หนานกงเจาพูดอะไรไม่ออก ท่าทีนี้ของเขาเหมือนผู้อาวุโสกําลังสั่งสอนเด็ก ๆ ในใจมีความรู้สึกไม่ค่อยพอใจอยู่บ้าง แต่ก็ทําอะไรไม่ได้ เพราะเขาเป็นพี่ชายของชูวเสวีย
เมื่อเห็นโอกาส เย่ชูวเสวียก็รีบทักทายต้วนอีเหยา "พี่อีเหยา พวกพี่ยังไม่ได้กินข้าวกันสินะ รีบนั่งลงกินด้วยกันค่ะ!"
เธอรู้ดีว่าถ้าชวนเย่จิงเหยียนโดยตรงจะต้องถูกปฏิเสธอย่างแน่นอน แต่ต้วนอีเหยานั้นไม่เหมือนกัน เธอปฏิเสธคนไม่ค่อยเก่ง
เมื่อต้วนอีเหยาได้ยินเธอพูดเช่นนี้ก็คิดจะปฏิเสธ แต่เย่ชูวเสวียกลับส่งสายตาไปที่หนานกงเจาเสียก่อน
หนานกงเจาเข้าใจในทันที "จะยืนให้เหนื่อยไปทำไมกันครับ นั่งลงพูดคุยกันเถอะ!"
เขาไม่กล้าแตะต้องต้วนอีเหยา เพียงแต่เข้าไปใกล้ขึ้นอีกก้าวหนึ่ง ต้วนอีเหยาก็นั่งลงอย่างจนปัญญา ในเมื่อผู้หญิงของตัวเองก็ได้นั่งลงแล้ว เย่จิงเหยียนก็ไม่มีความเห็นอะไร
พวกเขาเพิ่งจะกินไปเอง ดังนั้นเมื่อเห็นอาหารมันเยิ้มที่ถูกเสิร์ฟขึ้นมา ก็ไม่มีความปรารถนาที่จะแตะ
"กินสิคะ อร่อยมากเลยนะ!" เมื่อเย่ชูวเสวียเห็นว่าต้วนอีเหยาไม่ขยับ ก็คิดว่าเธอเกรงใจ ดังนั้นจึงตักอาหารให้เธอ
ต้วนอีเหยารีบโบกมืออย่างรวดเร็ว "ไม่ต้องหรอก! พวกเราเพิ่งกินกันมาน่ะ!"
"อา!"
ทันใดนั้นเย่ชูวเสวียก็อุทานออกมาด้วยความตกใจ "อย่าขยับ!"
ต้วนอีเหยาไม่รู้ว่าเธอจะทําอะไรอีก มือที่ยกค้างไว้ก็นิ่งไม่ขยับ
เธอดึงมือของต้วนอีเหยามาและมองไปที่มือของเธอ "เพชรเม็ดนี้ดูสวยมากจริง ๆ!"
มุมปากของต้วนอีเหยากระตุก ที่แท้ก็เพราะเรื่องนี้นี่เอง เล่นร้องซะเสียงดังไม่กลัวว่าคนอื่นจะได้ยินเสียเลย
"ซื้อมาจากไหนคะ?" จู่ ๆ เย่ชูวเสวียก็เงยหน้าขึ้น ดวงตาของเธอเปล่งประกาย เธอเป็นพวกชื่นชอบเครื่องประดับเช่นนี้มาก
"อย่าได้คิดเลย มันมีเพียงหนึ่งเดียว ไม่มีที่ไหนมีอีกแล้ว" เย่จิงเหยียนตบมือของเย่ชูวเสวียพลางพูดอย่างเย็นชา
เมื่อเย่ชูวเสวียได้ยินเขาบอกว่ามีแค่เพียงเม็ดเดียว ก็รู้สึกหมดความสนใจในทันที "ชิ ก็แค่เพชรเม็ดเดียว โลกนี้กว้างใหญ่ไพศาล ฉันไม่เชื่อหรอกว่าจะหาที่ดีกว่านี้ไม่ได้!"
เย่จิงเหยียนเลิกคิ้วขึ้น สีหน้าของเขาดูเหมือนกำลังพูดว่า งั้นก็เชิญเธอไปเถอะ ยังไงเธอก็หาแบบนี้ไม่เจออยู่ดี
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ เย่ชูวเสวียก็รู้สึกหดหู่ เมื่อถึงเวลาแต่งงานของเธอ เธอควรซื้อแหวนแบบไหนกันนะ? ทั้งแม่กับพี่อีเหยาต่างมีแหวนแบบหนึ่งเดียวที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร แล้วของเธอจะให้ซื้อแบบสุ่มสี่สุ่มห้าอย่างนั้นเหรอ?
หนานกงเจาสังเกตเห็นว่าเย่ชูวเสวียกำลังเหม่อลอย แต่กลับไม่ได้พูดอะไร เขาก้มหน้าก้มตาเคี้ยวอาหารในปากต่อไป
หลังจากทานอาหารเสร็จ เย่จิงเหยียนก็ไม่ทิ้งความหวังไว้ให้เธอเลยจริง ๆ เขาโทรหามู่เวยเวยทันที เพื่อป้องกันไม่ให้เธอหนีไปอีก ทั้งยังนั่งรอจนมู่เวยเวยมาถึงจึงได้แยกตัวไป
"ผมขอตัวก่อนนะครับ" หลังจากพูดคุยกับเย่ฉ่าวเฉินไปเล็กน้อย เย่จิงเหยียนก็หันกลับมาและโบกมือให้มู่เวยเวย
เย่ชูวเสวียที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขาก็ถลึงตาและแลบลิ้นใส่เขา ทําไมต้องไปก่อนล่ะ? ถ้าแน่จริง ก็อยู่กับเธอจนกว่าจะออกจากโรงพยาบาลเลยสิ!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ
ขอบคุณแอดค่ะ...สนุกค่ะ......
สนุก...