แต่เย่จิงเหยียนกลับไม่ชอบที่ต้วนอีเหยาเป็นอย่างนี้ เธอแข็งแกร่งเกินไป แข็งแกร่งจนทำให้เขารู้สึกปวดใจ
“คุณพักผ่อนเถอะ เรื่องพวกนี้ผมจัดการเอง”
“แค่นั่งเครื่องบินมาเอง ทำไมต้องพักผ่อนด้วย อย่าเสียเวลาเลย ทุกคนกำลังรอเราอยู่ พวกเราต้องหามาตรการรับมือออกมาให้เหมาะสม”
เมื่อเห็นเย่จิงเหยียนพยักหน้า เสี่ยวอวี้หลินก็เล่าเรื่องทั้งหมดที่เขารู้แก่เย่จิงเหยียนและต้วนอีเหยา
ต้วนอีเหยาตั้งใจฟังจากนั้นก็เงยหน้าและพูดว่า “พาฉันไปเจอชายมีหนวดนั่นหน่อย”
เสี่ยวอวี้หลินเดินนำทุกคนเข้าไปในห้องลับ
ชายมีหนวดยังมีแผลตามร่างกาย ตอนนี้เขากำลังนอนหลับตาอยู่บนเตียง
เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู
เขาก็ลืมตาขึ้นมามอง
จากนั้นเขาก็เห็นผู้หญิงชาวตะวันออกเดินเข้ามาช้าๆ
เธอสวยมาก ราวกับเทพธิดา
แต่ดวงตาของเธอคมราวกับมีดที่สามารถเฉือนเนื้อออกเป็นชิ้นๆ
ชายมีหนวดสั่นขึ้นมาทันที เขาพยายามพยุงตัวเองขึ้น
แต่เพราะเขาได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก ดังนั้นจึงได้ล้มลงไปอีกครั้ง
ต้วนอีเหยานั่งยองๆข้างชายมีหนวด และสั่งอย่างรวบรัด “บอกเจ้านายของแกว่าเย่จิงเหยียนมาอังกฤษแล้ว พวกเราอยากคุยกับเย่ชูวเสวี่ยเพื่อยืนยันว่าเธอไม่ได้เป็นอะไร จากนั้นถึงจะยอมเจอกับนายของแก”
น้ำเสียงของเธอเฉียบขาด ทำให้คนฟังไม่กล้าขัด
ผู้หญิงคนนี้ไม่เหมือนกับคนอื่นๆก่อนหน้านี้ เธอคือใคร
เมื่อเห็นชายมีหนวดจ้องตัวเองด้วยความงง ต้วนอีเหยาก็หมดความอดทน เธอยกมือขึ้นบีบบาดแผลของเขาอย่างรุนแรงและพูดว่า “คิดอะไรอยู่ ทำไมไม่รีบโทรอีก”
คิดไม่ถึงว่าตอนแรกยังเป็นเหมือนเทพธิดาอยู่ แค่เพียงพริบตาก็เปลี่ยนเป็นปีศาจ
ชายมีหนวดไม่กล้าคิดไปเรื่อยเปื่อยอีก เขากองอยู่บนพื้นส่งเสียงโหยหวน
ฉากน้องเลือดนั้นทำให้เซี่ยอันน่าต้องหันหน้าหนี เสี่ยวอวี้หลินจึงตบแขนเธอเบาๆเพื่อปลอบโยน
เสียงกรีดร้องค่อยๆหายไป ชายมีหนวดใบหน้าซีดเผือด ร่างกายสั่นเทา
ชายมีหนวดก้มหน้ามองโทรศัพท์ที่อยู่ที่เท้า และยกขึ้นมากดเบอร์ทันทีอย่างไม่เต็มใจ
เพราะมีต้วนอีเหยาอยู่เขาจึงไม่กล้าเล่นลิ้น เขาทำได้แค่ทำตามอย่างอ่อนน้อม
เมื่อเห็นชายมีหนวดเป็นอย่างนี้ มู่ยู่วฉีก็พูดออกมาว่า “ไม่ต้องกังวลรอบนี้เราจะไม่แย่งโทรศัพท์แก แกค่อยๆคุยได้”
เมื่อปลายสายรับสาย ชายมีหนวดก็พูดสั้นๆสองสามคำ จากนั้นก็ส่งโทรศัพท์มาถามว่า “ใครจะคุยกับเย่ชูวเสวี่ย”
หนานกงเจาและเย่จิงเหยียนต่างเข้าไปเอาโทรศัพท์ แต่เมื่อทั้งสองคนสบตากัน หนานกงเจาก็ต้องยอมถอยไป
มู่ยู่วฉีตบไหล่ให้กำลังใจเขา
เย่จิงเหยียนหยิบโทรศัพท์มาพูดด้วยเสียงต่ำ “ชูวเสวี่ย”
“พี่อยู่ที่ไหน มาช่วยฉันเร็ว”
เมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ของเย่ชูวเสวี่ย เย่จิงเหยียนก็เบาใจลงบ้าง
“ชูวเสวี่ย ไม่ต้องร้อง ตอนนี้พวกเราอยู่อังกฤษทั้งหมด พวกเราจะไปช่วยเธอกลับมาบ้านแน่นอน ตอนนี้เธอสบายดีไหม พวกนั้นทำอะไรเธอหรือเปล่า”
“เปล่า พวกเขาขังฉันไว้ห้องเล็กๆห้องหนึ่งเหมือนกับคุกไม่มีผิด แต่มักจะมีกลิ่นขี้ม้าอยู่ตลอดเวลา น่ารังเกียจมาก พี่รีบมารับฉันเร็ว ไม่ว่าพวกเขาจะขออะไรก็ให้ไปซะ ฉันรับไม่ได้แล้ว”
เย่จิงเหยียนกำมือแน่นพูดว่า “รู้แล้ว เธอ....”
ยังไม่ทันพูดจบเย่จิงเหยียนก็ได้ยินเสียงร้องของเย่ชูวเสวี่ยดังผ่านสายเข้ามา
เสียงแหลมค่อยๆไกลออกไปเรื่อยๆ ก่อนจะมีเสียงเย็นยะเยือกดังขึ้นมาแทน
“เย่จิงเหยียนไม่ได้เจอกันนานเลย”
เสียงแปลกๆนั้นราวกับคุ้นเคยกับเย่จิงเหยียนเป็นอย่างดี
“ไอ้สาระเลวแกอย่าทำอะไรน้องฉันนะ”
ฝั่งตรงข้ามหัวเราะอย่างพอใจและพูดช้าๆว่า “จะทำยังไงกับน้องของแกก็ต้องดูที่การกระทำของแกแล้ว เย่จิงเหยียนแกกล้าเจอกับฉันตรมลำพังไหมล่ะ”
เย่จิงเหยียนพูดเหยียด “บอกสถานที่และเวลามา”
“พรุ่งนี้เช้าแปดโมงครึ่ง เจอกันที่ท่าเรือ จำไว้ว่าแกต้องมาคนเดียว ไม่อย่างนั้นฉันจะฆ่าน้องแก”
“ฉันไปเจอแกได้ แต่ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าแกปล่อยน้องฉันหรือยัง”
“สบายใจได้เป้าหมายของฉันคือแก ถ้าฉันได้เจอแกแล้วฉันจะปล่อยน้องแกกลับไป”
“คำพูดของแกไม่มีหลักประกันใดๆ ฉันเชื่อไม่ได้”
อีกฝ่ายหัวเราะเสียงเย็น และพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแหบและโหดร้าย “แกไม่มีสิทธิ์มาตั้งเงื่อนไขกับฉัน เย่จิงเหยียน แค่แกมาเหยียบอังกฤษแกก็แพ้แล้ว ฉันแค่ต่อเวลาให้แค่นั้น”
เมื่อพูดจบไปสายก็ตัดสายไป
ชาติชั่ว!
เย่จิงเหยียนโยนโทรศัพท์ไว้ข้างๆด้วยสายตาดุร้าย
เมื่อเห็นเย่จิงเหยียนโยนโทรศัพท์ทิ้ง ทุกคนก็รีบล้อมเข้ามาถาม “เป็นยังไงบ้าง ทางนั้นว่ายังไง”
เย่จิงเหยียนหรี่ตาลง รังสีอำมหิตแผ่ออกมาทั่วร่างกายของเขา
คนที่สนิทกับเขาต่างรู้แล้วว่าเขากำลังโกรธอยู่
การทำให้เย่จิงเหยียนโกรธเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก
เย่จิงเหยียนพยายามข่มตัวเอง และตอบทุกคนว่า “ให้คนไปตรวจสอบฟาร์มม้าทั้งหมดในลอนดอน”
“ฟาร์มม้าหรอ”
“ใช่”เย่จิงเหยียนสงบลงเขาพูดอย่างเย็นชา “เมื่อกี้ตอนคุยโทรศัพท์ ชูวเสวี่ยส่งสัญญาณให้ฉันหนึ่งอย่าง เธอบอกว่ามีกลิ่นขี้ม้าอยู่รอบๆ แสดงว่าเธอถูกขังอยู่ในฟาร์มม้า ไม่น่าจะไกลจากท่าเรือมาก”
เมื่อมู่ยู่วฉีได้ยินอย่างนั้นก็รีบบอกว่า “ผมค่อนข้างคุ้นเคยกับลอนดอน เรื่องนี้ให้ผมจัดการเอง”
“จำไว้ว่านายมีเวลาแค่คืนเดียว หาเจอแล้วอย่าวู่วาม รอกำลังไปสมทบก่อนค่อยลงมือ”
มู่ยู่วฉีพยักหน้าพูด “ครั้งนี้ผมจะช่วยชูวเสวี่ยให้ได้ แต่เสียดายที่ไม่สามารถจับคนที่อยู่เบื้องหลังได้”
“ทำไมถึงทำไม่ได้”
คำพูดของเย่จิงเหยียนทำให้มู่ยู่วฉีตะลึง “ถ้าพวกเราไปช่วยชูวเสวี่ยออกมาได้ ฝั่งตรงข้ามก็ต้องรู้ข่าว แล้วจะยอมไปเจอพี่ได้ยังไง”
“หึ แกคิดว่ามันจะใช้ชูวเสวี่ยตัวจริงไปเจอฉันหรอ นี่เป็นกลลวง”
“อะไรนะ”
เมื่อนึกถึงเสียงนั้นขึ้นมาได้ เย่จิงเหยียนก็พูดว่า “เสียงของผู้ชายคนนั้นแปลกมาก แต่ฉันก็ฟังออกว่าน้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ในเมื่อเกลียดฉัน แล้วจะเป็นคนดีได้ยังไง”
“ผู้ชายคนนี้มีความแค้นอะไรกับพวกเธอกันแน่ ทำไมถึงผูกใจเจ็บขนาดนี้”
“ถ้าจับได้มันค่อยทรมานถาม หลังจากที่พวกนายช่วยชูวเสวี่ยแล้ว ให้จัดการทุกคนทันที อย่าให้พวกมันมีโอกาสได้ส่งข่าว”
มู่ยู่วฉีพยักหน้า “ไม่ต้องห่วง ผมรู้ว่าต้องทำยังไง”
“ตอนนี้เราแบ่งคนออกเป็นสองกลุ่ม หนานกงเจานำคนไปซุ่มโจมตีรอบๆท่าเรือ ส่วนเสี่ยวอวี้หลินกับมู่ยู่วฉีรับผิดชอบการช่วยเหลือชูวเสวี่ย”
ระหว่างที่เย่จิงเหยียนแบ่งคน ก็ไม่ได้พูดถึงตัวเอง และก็ไม่ให้ต้วนอีเหยาทำด้วย
“ฉันก็จะไปที่ท่าเรือ”
“ไม่ได้ พวกเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าศัตรูเป็นใคร นี่อันตรายเกินไป”
ต้วนอีเหยาไม่กลัวเลย เธอพูดว่า “เพราะไม่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่งแค่ไหน จึงต้องเตรียมการอย่างดีที่สุด ฉันเห็นว่าที่พวกคุณเตรียมกันเมื่อกี้มันไม่พอ”
พูดจบเธอก็เปิดกระเป๋าเดินทางของเธอ ข้างในเต็มไปด้วยอาวุธสงครามมากมาย
มู่ยู่วฉีเดาะลิ้นทันที ไม่แปลกใจว่าทำไมตอนที่เขาช่วยขนกระเป๋าเดินทางถึงได้หนักขนาดนั้น เอวเขาแทบหัก ที่แท้ก็มีของพวกนี้อยู่ข้างใน
เมื่อเห็นของพวกนี้เย่จิงเหยียนก็พูดไม่ออก
“คุณเตรียมตั้งแต่ตอนไหน”
“ก่อนออกมา”
ไม่มีใครจะสามารถเตรียมอาวุธได้เร็วขนาดนี้แล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ
ขอบคุณแอดค่ะ...สนุกค่ะ......
สนุก...