หลังจากได้ยินสิ่งนี้ ดวงตาของพี่หกก็หรี่ลง
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็พูดออกมาอย่างแผ่วเบา: "พูดต่อสิ"
เมื่อเห็นว่าเริ่มได้การแล้ว ต้วนอีเหยาจึงรีบพูดต่อ: “ถ้าแกแค้นตระกูลเย่ แล้วมาตามชำระที่พี่น้องตระกูลเย่ มันช่วยแก้ไม่ได้หรอก ต่อให้แกจะทำอะไรลงไปพวกเขาก็ไม่เข้าใจ ต่างจาก ถ้าแกไปเผชิญหน้ากับผู้ใหญ่ของตระกูล เมื่อทันทีที่พวกเขาเห็นแก พวกเขาอาจจะเข้าใจและรับรู้ถึงเรื่องทั้งหมด”
“ การแก้แค้น คือการทำให้ศัตรูเจ็บปวดทุกข์ ฆ่าคนในตระกูล พวกมันต้องเจ็บปวดมากแน่นอน ต้องให้พวกมันทรมานลึกถึงข้างใน ให้รู้ว่านรกบนดินมันเป็นยังไง ทุกข์ไปตลอดชีวิต”
ในขณะที่ต้วนอีเหยาพูด เธอไม่ได้แสดงอาการสีหน้าอะไรเลย มันอึดอัดมากทั้งๆที่คนที่พวกเขากำลังพูดถึงคือคนใกล้ชิดของเธอ
แต่ปฏิกิริยาของเธอทำให้พี่หกสงสัยและถามว่า: "เท่าที่ฉันรู้ ความสัมพันธ์ของแกกับตระกูลเย่ก็ดีนี่ ถ้าทำแบบนี้แล้วแกจะได้อะไร?"
"ฉันพูดของฉัน แกทำของแก เป็นสองสิ่งที่แตกต่างกัน ยิ่งไปกว่านั้นฉันต้องใช้โอกาสนี้พาอันนาหนีออกไป นี่เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด"
คำพูดของต้วนอีเหยาทำให้พี่หกประหลาดใจและพึมพำ: "ยังอุตส่าบอกฉัน ซื่อตรงจริงๆ"
ต้วนอีเหยายิ้มอย่างเฉยเมยและพูดว่า: "ไม่ผิดหรอก ฉันมั่นใจมาก แถมยังกล้าบอกแกตรงๆ แกจะห้ามฉันก็ได้นะ มาดูกันว่าใครจะมีปัญญามากกว่ากัน”
“แกนี่ใจกล้าจริงๆ”
ต้วนอีเหยาขมวดคิ้ว มองไปที่พี่หกอย่างยั่วเย้า: "ฉันพูดจบแล้ว ตอนนี้แกก็ลองคิดๆดูนะ ว่ากล้าลองความท้าทายนี้หรือเปล่า"
"ถ้าฉันไม่เห็นด้วยก็คงจะดูน่าเกลียดสินะ"
"ใช่แล้ว ฉันอธิบายไปหมดแล้ว ถ้าแกยังไม่เอาด้วย ฉันก็หมดคำพูดแล้วจริงๆ"
มองไปที่ต้วนอีเหยา พี่หกพูดขึ้นว่า: "ดูเหมือนว่าฉันจะมีตัวเลือกเดียว"
“ ถูกต้อง”
เมื่อเห็นว่าทุกอย่างกำลังดำเนินไปตามแผนทีละขั้น ต้วนอีเหยาก็โล่งใจเล็กน้อย
ตอนนี้ขึ้นอยู่กับการเตรียมการของเย่จิงเหยียน
......
เย่ฉ่าวเฉินและมู่เวยเวยเดินทางมาถึงอังกฤษอย่างมีความสุข เพื่อมาเที่ยวหาลูกๆในวันวันหยุด
แต่ไม่คิดว่าเมื่อพวกเขามาถึงก็ได้ยินข่าวที่น่าตะลึง
หลังจากได้ยินสิ่งที่เย่จิงเหยียนเล่า เย่ฉ่าวเฉินโมโหมาก
มู่เวยเวยรีบลูบหน้าอกของเย่ฉ่าวเฉิน เพื่อให้เขาสงบสติอารมณ์
แต่ได้ยินแบบนี้แล้ว จะให้สงบสติอารมณ์ได้ยังไง?
เย่ฉ่าวเฉินหายใจแรง จ้องมองไปที่เย่จิงเหยียนและถามว่า: "พวกแกน่าตีจริงๆ เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น แต่กลับปิดบังพ่อกับแม่!"
เย่จิงเหยียนก้มศีรษะลงและพูดว่า "ผมขอโทษ ผมคิดไม่ออกจริงๆ "
หลังจากหายใจเข้าลึกๆ เย่ฉ่าวเฉินก็สงบลงแล้วถามว่า: "สถานการณ์ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง อีเหยากับผู้หญิงอันนาคนนั้น อยู่ในมือของอีกฝ่ายใช่ไหม?"
"ใช่”
“ แล้วแกไม่คิดจะออกไปหาพวกเธอหรอ?”
“ พี่หกคนนี้ดูเหมือนจะคุ้นเคยกับความแข็งแกร่งของตระกูลเย่ของพวกเรา ส่งคนออกไปกี่คนก็ไม่มีใครได้กลับมา”
เป็นเวลาหลายปีแล้วที่ไม่มีใครกล้าหาเรื่องตระกูลเย่
ชายหนุ่มคนนี้กระตุ้นความโกรธในใจของเย่เฉ่าเฉินได้สำเร็จ
"หึ ก็เป็นแค่วัยรุ่นคนหนึ่ง จะเก่งแค่ไหนกันเชียว"
เย่จิงเหยียนเงยหน้าขึ้นมองเย่ฉ่าวเฉินแล้วพูดขึ้นว่า: "พ่อ ผมคิดว่าคนๆนี้ดูเหมือนว่าจะมีความแค้นกับตระกูลเรา"
“ อืม พูดว่าไง?”
“เขาเกลียดตระกูลเย่เรามาก”
เมื่อดวงตาของเขาหรี่ลง เย่ฉ่าวเฉินถามว่า: "แกกำลังหมายถึงเขาเป็นศัตรูกับตระกูลเย่งั้นหรอ?"
“ มันก็ไม่ใช่ทั้งหมด ถ้าจะพูดว่าเป็นศัตรู แต่ตอนที่เขาจับชวูเสวียไป เขาไม่ได้ทำร้ายเธอเลย แต่ดูแลเธอเป็นอย่างดี พฤติกรรมของเขาก่อนและหลังค่อนข้างขัดแย้งกัน ผมไม่เข้าใจคนๆนี้เลย”
"ถ้าแกไม่เข้าใจ งั้นก็ให้ฉันลองดูละกัน!"
"ผู้ชายคนนี้อันตรายมาก เราต้องระวัง"
“จะไม่ระวังได้ไง ภรรยาของแกก็อยู่ในมือมันไม่ใช่หรอ!?" เย่ฉ่าวเฉินโกรธมากเมื่อเขาพูดถึงเรื่องนี้ "แกนี่มันจริงๆเลย ปล่อยให้ผู้หญิงของตัวเองไปเจออันตรายเพราะตระกูลเราได้ยังไง! "
หลังจากได้ยินสิ่งนี้ เย่จิงเหยียนก็ไม่พูดอะไร ก้มหัวลงเพื่อปิดความคิดที่อยู่ในดวงตาของเขา
เมื่อมองมาที่เขา มู่เวยเวยก็รู้ว่าเขากำลังเจ็บปวดแค่ไหน
ถอนหายใจเบาๆ มู่เวยเวยพูดกับเย่ฉ่าวเฉิน: "ช่างมันเถอะฉ่าวเฉิน ฉันว่าในใจของจิงเหยียนเองก็ทุกข์มากเช่นกัน ถ้ามีวิธีอื่น เขาคงไม่มีวันปล่อยให้อีเหยาไปเจออันตราย ต่อให้เธอจะด่าลูกให้ตายก็ไม่มีประโยชน์ ตอนนี้มาหาวิธีช่วยอีเหยากับอันนาเถอะ”
"รอช่วยพวกเธอออกมาให้ได้ก่อน ฉันค่อยมาคิดบัญชีกับแก!"
เมื่อเห็นว่าพ่อยังคงโกรธมาก เย่ชวูเสวียจึงมองไปที่พ่อแม่ของเธอและพูดว่า: "พ่อกับแม่เพิ่งมาถึงอังกฤษเหนื่อยๆ ไปหาอะไรกิน พักผ่อนก่อนค่อยมาคิดเรื่องนี้เถอะ”
มู่เวยเวยก็ถือโอกาสนี้พูดขึ้นว่า: "ใช่สิ เรามาลองคิดดูดีๆ ในบรรดาคนที่เรารู้จัก มีใครบ้างที่เป็นศัตรูกับเรา"
“ฉันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องธุรกิจมาหลายปีแล้ว เดาว่าคงเป็นความข้องใจเมื่อหลายปีก่อน” เย่ฉ่าวเฉินขมวดคิ้วและคิด แล้วสั่งเย่จิงเหยียน: “แกไปหาข้อมูลของพี่หกคนนี้มา เดี๋ยวพ่อจะลองดูดีๆอีกที "
“ ได้ครับพ่อ”
หลังจากสั่งเสร็จ เย่ฉ่าวและมู่เวยเวยก็กลับไปที่ห้อง เย่ชวูเสวียก็ให้พ่อครัวทำอาหารอร่อยๆรอ
เมื่ออาหารพร้อม ครอบครัวใหญ่ก็มารวมตัวกัน แต่ก็ไม่เห็นเย่จิงเหยียนและเสี่ยวอวี้หลิน
เย่ชวูเสวียไปที่ห้องของเย่จิงเหยียน
เคาะประตูเดินเข้าไปถามว่า "พี่ ไม่กินข้าวหรอ?"
เย่จิงเหยียนนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ "ไม่กิน"
"กินสักหน่อยเหอะ อย่าให้พ่อกับแม่เป็นห่วง"
“เวลานี้ฉันต้องหาข้อมูลให้ได้มากที่สุด ไม่มีเวลาไปกินหรอก”
"แต่ว่า……"
"เรียกคนยกอาหารขึ้นมาให้ฉัน เดี๋ยวฉันค่อยกิน แบบนี้โอเคหรือยัง"
เดี๋ยว? คำว่าเดี๋ยวนี้ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหน
เย่ชวูเสวียถอนหายใจเบาๆ จากนั้นเดินออกจากห้องและกลับไปที่ห้องอาหาร
มู่เวยเวยเห็นเธอเดินลงมาคนเดียวจึงถามว่า: “ พี่แกล่ะ?"
เย่ชวูเสวียส่ายหัวเบาๆด้วยความเศร้าโศก
หนานกงเจาถอนหายใจเบาๆแล้วพูดว่า "เฮ้อ ทุกคนในนี้ คนที่ทุกข์ใจที่สุดก็คงเป็นพี่"
มู่ยู่วฉีมองไปที่ที่ว่างข้างๆเขา ถอนหายใจและพูดว่า: "พูดแบบนี้ก็ไม่ถูก ยังมีเสี่ยวเซ่าของเราอีกคนนะ"
หลังจากได้ยินคำนี้หัวใจของทุกคนก็จมลง
ในขณะนี้ เสี่ยวอวี้หลินทำให้ทุกคนเป็นห่วงมาก นั่งอยู่ต่อหน้าเจ้านายของลูซี่ สีหน้าดูแย่มาก
"เรื่องที่ให้แกไปทำ เตรียมไปถึงไหนแล้ว?"
เจ้านายหยิบแผนที่วางไว้ตรงหน้าเสี่ยวอวี้หลินและพูดขึ้นว่า: "แน่ชัดแล้วว่าอิทธิพลของพี่หกในอังกฤษส่วนใหญ่อยู่ในสามภูมิภาคนี้"
ในขณะที่พูด เจ้านายวาดวงกลมสามบนแผนที่เพื่อเป็นสัญลักษณ์
แม้ว่าจะมีพื้นที่หลักแค่สามแห่ง แต่ก็ครอบคลุมย่านโคมแดงที่มีเศรษฐกิจรุ่งเรืองที่สุดและยังเป็นถิ่นของเขา
เมื่อนึกถึงเช่นนี้ เจ้านายรู้สึกเกลียดขึ้นมาในใจ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ
ขอบคุณแอดค่ะ...สนุกค่ะ......
สนุก...