ซีซีมองไปรอบๆ และเห็นว่ามู่ยู่วฉีไม่อยู่
ถึงแม้เธอจะไม่อยากเจอหน้าเขา แต่ก็รู้แปลกๆที่เวลามีสถานการณ์ครึกครื้นแบบนี้แล้วเขาไม่มา?
เธอวางกระเป๋าลง และถามว่า "มากันหมดแล้วเหรอคะ?"
เย่ชวูเสวียไม่รู้สิ่งที่ซีซีต้องการจะสื่อ จึงหยิบเมนูออกมาและตอบว่า "ใช่ๆ สั่งอาหารได้แล้ว ฉันดูก่อนว่าสั่งอะไรดี"
ในขณะที่ทุกคนกำลังดูเมนูอยู่นั้น ซีซีเอาแต่มองไปรอบๆ
จากนั้นเซี่ยอันน่าก็มากระซิบข้างหูซีซีว่า "ไม่ต้องมองแล้ว วันนี้มู่ยู่วฉีไม่มา"
"ฉันไม่ได้มองหาเขาซะหน่อย" จากนั้นซีซีก็หันไปมองต้วนอีเหยา ยิ้มให้เธอและพูดว่า "พี่อีเหยาคะ ท้องใหญ่แล้ว ตั้งชื่อน้องแล้วหรือยังคะ?"
ต้วนอีเหยาท้องแก่มากแล้ว เมื่อพูดถึงลูกในท้องก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
"ยังเลย ไม่รีบน่ะ ค่อยๆคิดไปก่อน"
"อ่อๆใช่ค่ะ คิดให้ดีก่อนดีกว่า เพราะชื่อต้องอยู่กับเราไปตลอดชีวิต"
เมื่อเห็นคนข้างๆกำลังคุยกัน เย่ชวูเสวียก็พูดขึ้นว่า "เอาล่ะพวกเราสั่งอาหารกันเถอะ ฉันหิวจะแย่แล้ว ได้ยินมาว่าขาแกะย่างร้านนี้อร่อยมาก หนังนี่กรอบเชียว แถมกลิ่นยังหอมสุดๆ พวกเราลองกันดีไหม?"
เย่ชวูเสวียพูดด้วยสายตาเป็นประกาย
เสี่ยวอวี้หลินขำเล็กน้อยก่อนจะพูดว่า "เธอรู้ว่าอะไรอร่อย งั้นเราก็สั่งอันนั้นแหละ"
"เย้ๆ งั้นฉันไม่เกรงใจแล้วนะ"
จากนั้นเย่ชวูเสวียก็เรียกบริกรมาสั่งอาหาร อย่างคล่องแคล่ว
เมื่อเห็นท่าทีคล่องแคล่วของเย่ชวูเสวีย ต้วนอีเหยาก็ถามขำๆว่า "พวกเธอแน่ใจนะ ว่านี่ไม่ใช่ธุระกิจใหม่ของชวูเสวีย?"
เย่ชวูเสวียพูดต่อว่า "เอาจริงๆฉันว่าตอนนี้แค่ร้านขนมไม่พอตอบสนองความต้องการของฉันแล้ว ฉันอยากพัฒนาธุรกิจไปอีก เปิดร้านปิ้งย่างอีกสักร้านก็ไม่เลวเลย ต่อไปทุกคนสามารถมานัดรวมตัวสังสรรค์ที่นี่เลย มู่ยู่วฉีจะได้ไม่บ่นว่าไปที่นั่นแล้วกินไม่อิ่ม"
จากบรรยากาศดีๆ เปลี่ยนเป็นเงียบ
เย่ชวูเสวียพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดขึ้นมาแล้วล่ะซิ
แต่เมื่อเย่ชวูเสวียรู้ว่าตัวเองเผลอพูดขึ้นแล้ว งั้นก็พูดต่ออีกหน่อยแล้วกัน
เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหามู่ยู่วฉี โดยไม่สนใจสายตาของคนอื่นเลย
"ฮัลโหล มู่ยู่วฉีนายยังประชุมอยู่เหรอ? อ่า พวกฉันเพิ่งถึงกันเอง เตรียมจะเริ่มกินกันแล้ว ยังมาไม่ได้เหรอ? อยากรู้ว่านายยุ่งอะไรนักหนา ซีซีเลี้ยงทั้งทีแต่กลับไม่มา อ่อ งั้นโอเค นายทำธุระต่อเถอะ"
จากนั้นเธอก็วางสาย หยักไหล่เล็ฏน้อยและพูดต่อว่า "ตานี่ทำไมอยู่ๆก็ขยันขึ้นมา ขนาดมากินข้าวด้วยกันยังไม่มา เหมือนไม่ใช่นิสัยเขาเลย"
ทุกคนมองด้วยสายตาไม่รู้จะพูดอย่างไรต่อ
เซี่ยอันน่าพยายามส่งสายตาเตือนเธอ และพูดต่อว่า "ทุกคนมีการเติบโต และมักจะมีความรับผิดชอบมากขึ้น"
แต่ว่าเย่ชวูเสวียทำเป็นไม่สนใจสายตาปรามนั่น "เห้อ รอบๆตัวเรายังมีคนบ้างานไม่พออีกเหรอ?"
ซีซีรู้สึกว่าถ้าทุกคนจะพูดถึงมู่ยู่วฉีก้ไม่เป็นไร ไม่ต้องเครียดและกังวลขนาดนั้น
ทุกคนแอบมองอาการของเธอ และถ้าเห็นท่าไม่ดีก็พร้อมจะรีบเข้ามาปลอบ
แต่ซีซีไม่ได้ต้องการให้คนปลอบ และไม่ต้องการสายตาสงสารจากทุกคน เธอจึงลุกขึ้น และพูดว่า "ที่นี่ดูไม่เลว ฉันอยากออกไปเดินดูรอบๆหน่อย มีใครอยากไปด้วยกันไหม?"
ต้วนอีเหยาลุกขึ้นและพูดว่า "ฉันก็อยากออกไปเดินเล่น สูดอากาศเสียหน่อย"
"ที่รักระวังด้วยนะ"
"สบายใจได้"
ต้วนอีเหยาหันมายิ้มให้ซีซี ก่อนที่ทั้งสองจะเดินออกไป
ทันทีที่ซีซีเดินออกไป เซี่ยอันน่าก็หันไปจ้องเย่ชวูเสวียตาถลึง และถามว่า "ชวูเสวีย มันจะดีอยู่แล้ว เธอจะพูดเรื่องมู่ยู่วฉีขึ้นมาทำไม?"
เย่ชวูเสวียยักไหล่ "ทำไมพูดถึงไม่ได้?"
"ซีซีไม่อยากพูดถึง พวกเราก็อย่าทำเลย"
"อันน่า ความคิดเธอแบบนี้คือไม่ถูกนะ"
เซี่ยอันน่าอึ้งไปชั่วครู่ และถามกลับว่า "ผิดตรงไหน?"
"นี่เรียกว่าพวกโรคชอบปกปิดความในใจ ไม่อยากให้คนรู้ ทั้งที่รู้ว่าซีซีเป็นอะไร แต่ก็ยังทำเป็นมองไม่เห็น แบบนี้ไม่ได้เรียกว่าช่วยเธอเลย"
เย่ชวูเสวียพูดอย่างตั้งใจ จากนั้นเซี่ยอันน่าพูดต่อว่า "ฉันรู้สึกว่าเดี๋ยวนี้เธอพูดอะไรนับวันยิ่งมีหลักการมาก"
"ช่วงนี้ฉันกำลีงอ่านประวัติศาสตร์ปรัชญาอยู่ รู้สึกว่าช่วยได้เยอะ"
เซี่ยอันน่าหันไปทางหนานกงเจา และถามขึ้น "ไม่ยุ่งเรื่องงานแต่งแล้วเหรอ ทำไมชวูเสวียมีเวลาอ่านหนังสือ?"
หนานกงเจาตอบว่า "ที่พวกเราต้องจัดการ ก็จัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ที่เหลือจะมีคนไปจัดการต่อ ตั้งแต่ตอนนี้จนถึงก่อนงานแต่ง พวกเราเลยว่างมาก"
"เห้อ นี่มันไม่ใช่ข่าวดีเลย"
คำพูดของเซี่ยอันน่าทำเย่ชวูเสวียไม่ชอบใจ "อันน่า หมายความว่าไง?"
"ฉันเศร้าใจแทนหนานกงเจาน่ะ"
"ทำไมต้องเศร้าใจ ต้องดีใจแทนเขาซิถึงจะถูก ได้เจอภรรยาที่เพอร์เฟ็คแบบฉัน เขาต้องคอยแอบดีใจแน่"
หนานกงเจารักษาหน้าภรรยามา รีบพูดต่อว่า "ใช่ๆๆๆ ฉันแอบยิ้มทุกวันเลย"
จากนั้นเย่ชวูเสวียก็พูดต่อว่า "ใครถามนายไม่ทราบ"
"เธอถามหรือไม่ถามฉัน ฉันก็แอบยิ้มอยู่แล้ว ใครให้ฉันได้เจอกับภรรยาที่เลิศเลอแบบนี้ล่ะ"
หนานกงเจาพูดไป สายตาก็มองเธอไปด้วยความหลงใหล
เซี่ยอันน่ากับเสี่ยวอวี้หลินทนมองทั้งสองต่อไปไม่ได้แล้ว เธอก้มหัวและแอบถอนหายใจ
จากนั้นเสี่ยวอวี้หลิน ก็พูดแทรกขึ้น "มู่ยู่วฉีไม่มาจริงๆเหรอ?"
"อื้ม"
"เขาเป็นคนเก็บความรู้สึกแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน"
"คนเราก็แบบนี้แหละ ต้องเติบโต หวังว่าเขาจะค่อยๆโตเป็นผู้ใหญ่ซะีนะ"
"ใช่ ค่อยๆเติบโต ถ้าอยู่ๆก็โตเป็นผู้ใหญ่ คนอื่นคงตกใจมาก" เซี่ยอันน่าถอยหายใจเบาๆ จากนั้นลุกขึ้นและมองออกไปทางข้างนอก "วิวข้างนอกก็เหมือนจะไม่เลว ฉันก็อยากออกไปสัมผัสบ้าง"
ดูวิวอะไรล่ะ ก็แค่เป็นห่วงซีซี
เมื่อเห็นท่าทีของเซี่ยอันน่า ก็ทำให้เสี่ยวอวี้หลินสงสาร "เธอน่ะ ก็อย่าเอาแต่เป็นห่วงมาก ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาตินั่นแหละ"
"ปล่อยไปตามธรรมชาติ? ไม่รู้เรื่องนั้นจะดำเนินไปถึงตอนไหนด้วยซ้ำนะ"
เซี่ยอันน่าพูดจบ และเดินออกไป
วิวริมน้ำสวยงามมาก และทุกๆคนก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องของมู่ยู่วฉีอีก ทำให้บรรยากาศดีขึ้น
ทุกคนๆ กิน ดื่ม พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน เหมือนย้อนกลับไปในช่วงที่ไม่มีอะไรให้กังวล
แต่ก็แค่ดูเหมือนเท่านั้น
เพราะทุกคนรู้ดีว่ามีบางอย่างกลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว ทุกคนเลือกที่จะพูดถึงใครบางคน เพราะไม่อยากให้เสียบรรยากาศ
ซีซีก็เหมือนกัน เธอใช้รอยยิ้มเป็นเครื่องพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าตัวเธอเองไม่เป็นอะไร
เธอเอาแต่พร่ำบอกตัวเองว่า เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว ดีแล้วจริงๆ
......
ช่วงใกล้จะเรียนจบ นักศึกษาบางคนก็หางานทำได้แล้ว บางคนก็กำลังรอเปิดเรียนป.โทต่อ ซึ่งส่วนมากก็ค่อนข้างว่าง
ซีซีก็เช่นกัน ด้วยที่เธอเป็นคนยุ่งมาตลอด พอว่างมากๆแบบนี้ ทำให้เธอไม่รุ้ว่าจะทำอะไรดี
มีเพื่อนคนหนึ่งเสนอไอเดียว่า ให้จัดทริปจบ และให้ทุกคนเข้าร่วม
อย่างไรซะก็ไม่มีอะไรทำ งั้นก็เข้าร่วมแล้วกัน
แต่เซี่ยอันน่าค่อนข้างยุ่ง ทั้งถ่ายละคร ทั้งต้องทำหน้าที่โฆษก ทั้งต้องวิ่งโปรโมทนู้นนี่ ตารางงานของเธอแน่นเอี๊ยด
เพราะฉะนั้นซีซีจึงทำได้แค่ไปเที่ยวกับเพื่อนร่วมห้องคนอื่นๆ
เซี่ยอันน่าไม่ได้ออกไปเที่ยวแบบนี้นานแล้ว ทำให้เธอได้แต่อิจฉาตาร้อน
เพื่อเป็นการปลอบใจเซี่ยอันน่า เสี่ยวอวี้หลินสัญญากับเธอไว้ว่า ถ้างานทุกอย่างเสร็จหมดแล้ว จะพาเธอไปเที่ยวรอบโลกเพื่อผ่อนคลายเสียหน่อย
แต่การปลอบใจแบบนี้ ไม่ได้ทำให้เซี่ยอันน่าดีใจมากเท่าไหร่ เพราะงานแน่ไปจนถึงปีนี้ปีหน้าๆ และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้ไปเที่ยว
เมื่อเห็นเซี่ยอันน่าดูไม่มีความสุข เสี่ยวอวี้หลินก็รู้สึกสงสาร ขณะเดียวกันก็คิดว่าทำไมภรรยาเขาต้องเหนื่อยขนาดนี้
ทุกๆครั้งที่เห็นเธอทำหน้าตาเซ็งๆ
เขาก็คิดว่าเขาต้องทำอะไรสักอย่างให้เซี่ยอันน่าอย่ากดดันตัวเองขนาดนี้
มู่ยู่วฉีเห็นท่าทีของเขา จึงถามขึ้นว่า "นี่ มาดื่มกับฉันนี่มีอะไรทุกข์ใจขนาดนั้นเลยเหรอ?"
"ฉันกำลังคิดเรื่อบางอย่างอยู่ ไม่เกี่ยวกับนาย"
"ต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับแฟนนายแน่ บอกมาเถอะเซี่ยอันน่าทำอะไรให้นายอีก"
"เธอทำงานหนักเกินไป ฉันเห็นแล้วสงสาร"
มุ่ยู่วฉียกแก้วดื่มและพูดต่อว่า "เห้อคำพูดนายไม่มีน้ำหนัก พูดก็เหมือนไม่ได้พูด"
"เลิกพูดจาประชดประชัน ถ้าไม่ใช่เพราะซีซีไปอวดอันน่าว่าได้ไปเที่ยวทริปจบกับเพื่อนๆ อันน่าคงจะไม่มาจิตตกแบบนี้หรอก เธอเพิ่งจะอายุ20กว่าๆเอง เห็นคนอื่นได้เที่ยวเล่น เธอก็ต้องอิจฉาบ้าง"
ได้ยินคำที่เสี่ยวอวี้หลินพูดรัวๆ ทำเอามู่ยู่วฉีอึ้ง
เสี่ยวอวี้หลินก็อึ้ง
ตอนนี้เขาไม่รู้ว่ามู่ยู่วฉีสภาพจิตใจเป็นอย่างไร เขาจึงหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงเรื่องของซีซีต่อหน้าเขา
แต่เมื่อครู่เขาเผลอพูดถึงเรื่องซีซีออกมา ทำให้เขาค่อยๆแอบสังเกตอาการของมู่ยู่วฉีว่าเป็นอย่างไร
นัยตาของมู่ยู่วฉีสั่นเล็กน้อย
แต่ก็แค่ชั่วแวบเดียว ก็หายไป
จากนั้นมู่ยู่วฉียกแก้วเหล้าขึ้น และถามเสียงเรียบว่า "เมื่อกี้นายบอกว่าซีซีกำลังจะไปเที่ยวทริปจบ?"
"ใช่" เสี่ยวอวี้หลินขมวดคิ้วถามต่อว่า "นายกำลังคิดจะทำอะไร?"
เสียงของเขายังเรียบเหมือนเดิมแต่สิ่งที่เขาพูดทำเอาเสี่ยวอวี้หลินช็อก "คิดจะตามให้ซีซีกลับมา"
"นายไม่เคยคิดยอมแพ้เรื่องซีซีเหรอ"
"ไม่เคยแน่นอน"
เมื่อรู้สิ่งที่มู่ยู่วฉีคิด เสี่ยวอวี้หลินก็รู้สึกสบายใจ
"ในเมื่อนายไม่ได้ยอม แล้วทำไมพักนี้ดูเงียบๆ พวกฉันคิดไปแล้วว่านายพอแล้ว"
"นั่นเรียกว่าถอยทัพตั้งหลักก่อน ถ้าไม่มีวิธีที่เหมาะสม ฉันจะไม่ลงมือทำอะไร"
"ตอนนี้มีวิธีแล้ว?"
ตาของมู่ยู่วฉีเป็นประกาย "ใช่"
"วิธีอะไร?"
"พูดไม่ได้"
เสี่ยวอวี้หลินเอี้ยวหูไป เพื่อให้มู่ยู่วฉีกระซิบ แต่เขาก็ไม่ยอมบอก "ซับซ้อนซ่อนเงื่อนมาก ระวังจะแห้วนะ"
"ครั้งนี้ไม่มีทาง ฉันจะตามซีซีกลับมาให้ได้ ถ้าไม่ถึงจุดมุ่งหมาย ฉันจะไม่กลับมา"
เมื่อเห็นท่าทีไม่ยอมแพ้ของมู่ยู่วฉี เสี่ยวอวี้หลินจึงตัดสินใจถามขึ้น "นายเคยคิดไหม ว่าที่นายอดทนกับซีซีแบบนี้ เพราะนายชอบเธอจริงๆ หรือแค่รับไม่ได้ที่ถูกปฏิเสธ?"
คำถามนี้ทำให้มู่ยู่วฉีอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นตอบกลับว่า "เพราะว่าชอบซิ"
มู่ยู่วหลินอยากจะแสดงความในใจของเขาต่อ แต่ก็ไม่ได้พูด เสี่ยวอวี้หลินก็พูดขึ้นว่า "นายมั่นใจก็โอเค"
แม้เสี่ยวอวี้หลินจะไม่ได้พูดอะไรมาก แต่ก็ทำเอามู่ยู่วฉีขาดความมั่นใจ
เขากระดกขึ้นดื่มอีกแก้วแล้วพูดว่า "พูดมากจริงๆ ถ้าว่างมากก็ไปคิดว่าจะจัดการเรื่องผู้หญิงของตัวเองอย่างไรดีกว่า"
พูดจบ เขาก็หันหลัง เตรียมจะเดินออกไป
"ไม่ดื่มแล้ว?"
"ไม่แล้ว กลับบ้านนอน!"
และแล้วก็ถึงวันออกเดินทาง
นักศึกษาทุกคนยืนรอที่หน้าประตูมหาวิทยาลัย เพื่อรอให้ถึงเวลาออกเดินทาง
ซีซีอออกจากห้องสายไปหน่อย ในมือถือซาลาเปากับน้ำเต้าหู้ และรีบวิ่งมาขึ้นรถ
หัวหน้าทีมเห็นเธอก็ถามว่า "ซีซี แค่เธอคนเดียวเหรอ?"
เมื่อซีซีเห็นว่าเธอไม่ได้มาสาย ก็ถอนหายใจโล่งอก "ใช่ค่ะ แค่ฉันคนเดียว"
"ครั้งนี้พาครอบครัวมาได้ ทำไมเธอไม่พาแฟนเธอไปด้วยล่ะ?"
เอาอีกแล้ว
ซีซีพูดอย่างเซ็งๆว่า "บอกไปแล้วไงว่ามู่ยู่วฉีไม่ใช่แฟนฉัน พวกนายเลิกพูดมั่วๆเถอะ"
"เธอนี่ถ่อมตัวจริงๆนะ เอาล่ะๆช่างมัน ไม่พูดก็ไม่พูด รีบวางของ เตรียมตัวออกเดินทาง"
"ฉันไม่มีของอะไรค่ะ มีแค่กระเป๋าสะพายใบเดียว"
เขามองไปที่กระเป๋าสะพายของซีซีและพูดขึ้นว่า "ดูเหมือนครั้งนี้เธอจะเบาๆนะ ปะขึ้นรถ"
ซีซีเดินขึ้นรถมา ก็เห็นว่าบนรถมากันเป็นคู่ๆ ไม่เป็นคู่เพื่อนสนิทก็เป็นคู่รัก มีเธอคนเดียวที่มาเดี่ยวๆ
เธอจับกระเป๋าและเดินหาที่นั่ง จากนั้นก็เริ่มกินซาลาเปา
วันนี้ซีซีตื่นค่อนข้างสาย ทำให้เธอยังไม่ได้กินข้าวเช้า เธอจึงตั้งใจรีบไปซื้อซาลาเปาของชอบที่โรงอาหารก่อน
จากนั้นหัวหน้าทีมก็เดินขึ้นมาบนรถ และนับจำนวนคนบนรถ จากนั้นตบไหล่คนขับเบาๆเพื่อเป็นสัญญานให้ออกเดินทางได้
"รอเดี๋ยว!"
ขณะที่รถกำลังจะออก ก็มีคนเรียกรถให้หยุด
ซีซีที่กำลังดื่มน้ำเต้าหู้อยู่นั้น เมื่อได้ยินเสียงเรียกนั้น ก็แทบจะพ่นน้ำเต้าหู้ออกมา
มู่ยู่วฉีเดินถือกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ขึ้นรถ และมองไปรอบๆ ไม่นานก็หาซีซีเจอ
"ไฮ ซีซี"
พวกเขาไม่ได้ติดต่อกันนานแล้ว และซีซียังคิดว่าเขากับเธอไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก คิดไม่ถึงเลยว่าจะเจอเขาในสถานการณ์แบบนี้
ซีซีพูดอะไรไม่ออก จากนั้นมุ่ยู่วฉีก็ค่อยๆเดินมาหาเธอ และพูดว่า "เป็นอะไร ดีใจที่เจอหน้าฉันจนพูดไม่ออกเลยเหรอ?"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ
ขอบคุณแอดค่ะ...สนุกค่ะ......
สนุก...