“ฉันจะโทรหาเขาตอนนี้และถามว่าเขาอยู่ที่ไหน!”
เสี่ยวอวี้หลินรีบหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหามู่ยู่วฉี
หลังรอสายอยู่สักพักกว่าจะถูกรับ เสี่ยวอวี้หลินรีบถามอย่างหยาบคาย: “ไอ้บ้า แกไปไหนวะ?”
มู่ยู่วฉีพูดออกมาตามตรง: “พวกแกไม่ช่วยฉันหาฉีฉี ฉันก็เลยจะไปหาเธอเอง”
ล้อเล่นหรือเปล่าเนี้ย นี่เขาไปจริงๆเหรอ?”
คิ้วของเสี่ยวอวี้หลินขมวดขึ้นอย่างประหม่าและถามขึ้นว่า: “ตกลงตอนนี้นายอยู่ไหน?”
“ไม่ต้องยุ่ง ฉันจะหาวิธีเอง”
“มู่ยู่วฉี นายอย่าทำอะไรบุ่มบ่ามนะ มีเรื่องอะไรก็มาเจอกัน นายทำอะไรบ้าๆลงไปเรื่องมันจะเลวร้ายเอาได้นะ และร่างกายนายยังไม่หายดี มันจะ….”
เสี่ยวอวี้หลินพูดยังไม่ทันจบ มู่ยู่วฉีก็วางสายไป ในสายได้ยินแต่เสียง ตู๊ด ตู๊ด
เสี่ยวอวี้หลินมองเซี่ยอันน่าอย่างระวังตัวและหัวเราะแฮะๆแล้วพูดว่า: “วางไปล่ะ”
สีหน้าของเซี่ยอันน่าน่ากลัวมากเธอถลึงตาใส่เสี่ยวอวี้หลินด้วยความโมโหและอยากจะด่าเขาจริงๆ
แต่เวลาในตอนนี้มีค่า ไว้ค่อยสั่งสอนเสี่ยวอวี้หลินทีหลัง
ตอนนี้เธอยังมีเรื่องที่สำคัญกว่าต้องไปทำ
เซี่ยอันน่าหันไปมองเย่ชูวเสวียแล้วพูดว่า: “อยู่ๆฉันก็รู้สึกว่ามีลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่าง”
เย่ชูวเสวียขมวดคิ้วแล้วถามว่า: “ฉันก็รู้สึกแบบนั้น พวกเราไม่คิดที่จะไปข้างนอกเหรอ?”
เซี่ยอันน่าเม้มริมฝีปากและพูดอย่างเด็ดขาดว่า: “ไปกันเถอะ ไปบ้านเกิดของฉีฉีกัน!”
……
ร่างกายมู่ยู่วฉียังไม่แข็งแรงดีฝืนนั่งเครื่องบินทั้งที่ร่างกายยังรับไม่ไหว
หลังจากลงเครื่องบิน มู่ยู่วฉีก็ขอให้แพทย์ส่วนตัวฉีดยาให้ตัวเองและใช้เวลาช่วงบ่ายพักให้ร่างกายมีแรงขึ้นสักหน่อย
พอได้เวลา มู่ยู่วฉีก็ไปบ้านฉีฉีอย่างร้อนใจ แต่เมื่อถึงทางเข้าหมู่บ้านกลับถูกกลุ่มคนขวางไว้
เซี่ยอันน่าและคนอื่นๆก็เดาว่ามู่ยู่วฉีต้องมาที่นี่ จึงมาเฝ้าทางเข้าหมู่บ้านไว้และสกัดเขาไว้ได้จริงๆ
หลายคนจ้องมองมู่ยู่วฉีด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร ทั้งมู่ยู่วฉีก็เชิดหน้าพร้อมแสดงท่าทางที่ไม่ยอมเช่นกัน
“พวกแกอย่ามาขวางฉันนะ วันนี้ฉันต้องไปถามให้มันชัดเจน!”
“ถ้าไม่ขวางนายไว้ ก็ทำให้นายไปทำเรื่องที่ผิดไหมล่ะ! อย่าเอาพ่อแม่ฉีฉีเข้ามาเกี่ยว ฉีฉีต้องเสียใจแน่”
“แต่พวกเขาต้องรู้แน่ๆว่าฉีฉีอยู่ที่ไหน ฉันจะต้องหาฉีฉีให้เจอ!”
“นายตามหาฉีฉี เพื่อจุดประสงค์อะไร?”
“แน่ล่ะว่าต้องถามเธอให้ชัดว่าจริงๆแล้วคืออะไรทำไมต้องหลบหน้าฉัน”
“ถามให้ชัดแล้วหลังจากนั้นล่ะ?”
“แก้ไขความใจผิดแล้วอยู่ด้วยกันน่ะสิ”
“แต่นายดูท่าทางนายตอนนี้สิ พูดแล้วก็เหมือนนายจะไปทวงหนี้ซะมากกว่า ถ้าพ่อแม่ฉีฉีถูกนายทำให้กลัวจะทำอย่างไร?”
“ฉันระวังท่าทีของตัวเองที่ไม่ดีอยู่แล้ว”
ขณะพูด มู่ยู่วฉีก็ลูบหน้าตัวเองและยิ้มแหยออกมา
“สรุปแล้วพวกเธอใครก็ช่างอย่างมารั้งฉันไว้ วันนี้ฉันไม่ยอมหยุดจนกว่าจะสำเร็จหรอกนะ!”
การปะทะกับมู่ยู่วฉีที่ดื้อรั้นเช่นนี้ทำให้หลายคนนั้นรู้สึกปวดหัว
เซี่ยอันน่าหันไปมองเสี่ยวอวี้หลินแล้วทำหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่ ท่าทางที่ชัดเจนนั้นก็คือสิ่งที่กำลังจะพูด—— “ดูสิ่งที่นายหาเรื่องไว้สิ!”
เสี่ยวอวี้หลินก็รู้สึกผิด จึงพูดโน้มน้าวด้วยตัวเองว่า: “นายใจเย็น ๆ อดทนสักหน่อยนะ นายใจร้อนเข้าไปอย่างนี้ ถ้าหากฉีฉีตกใจกลัวจะทำอย่างไร? เชื่อพวกเราเถอะ พวกเรามาช่วยนายนะและแน่นอนว่าจะช่วยนายคิดหาทางออกที่ดีที่สุดให้ได้”
ใครจะไปรู้ว่ามู่ยู่วฉีนั้นไม่เคยเห็นค่าเลยและพูดอย่างฮึดฮัดว่า: “ก่อนหน้านี้พวกเธอก็บอกว่าจะช่วยฉันคิดหาวิธี แล้วผลเป็นไงล่ะ? ไม่ใช่ว่าถูกฉีฉีทิ้งแล้วหรือไง”
ท่าทีของมู่ยู่วฉียั่วให้เย่ชูวเสวียโกรธ เดิมทีเธอก็หงุดหงิดมากอยู่แล้วยิ่งได้ฟังคำพูดเขาตอนนี้ ยิ่งพูดเสียงดังลั่นขึ้น: “พวกเราช่วยนาย หรือช่วยให้นายทำพลาดงั้นเหรอ? เห็นๆอยู่ว่านายทำให้เรื่องมันยุ่ง แก้ปัญหาได้ไม่ดีแล้วมาโทษพวกเรา โคตรไม่มีเหตุผลเลย!”
“ถ้าฉันจะไม่มีเหตุผล งั้นพวกเธอก็อย่ามายุ่งกับฉัน!”
“ไม่ยุ่งก็ไม่ยุ่ง พวกเราปล่อยวางได้อย่างสบายใจอยู่แล้ว ไปกัน พวกเราทุกคนไปกันเถอะ!”
ขณะเย่ชูวเสวียพูดก็ลากทุกคนกลับไปด้วย
“ชูวเสวีย เธอ……”
เซี่ยอันน่าอยากยื้อเย่ชูวเสวียไว้ แต่ไม่คิดเลยว่ามู่ยู่วฉีจะฉวยโอกาสเดินหนีไป ชั่วพริบตาเดียวที่เรียกว่าเร็วมาก
เห็นแผ่นหลังที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วของเขา เย่ชูวเสวียก็ตกใจจนตาค้าง
“เขา ไม่ใช่ว่าเพิ่งฟื้นขึ้นมาเหรอ ทำไมวิ่งเร็วขนาดนั้น?”
“ไม่อยากมีชีวิตอยู่หรือไง!” เสี่ยวอวี้หลินมีท่าทางที่ดูเป็นกังวล “ไอ้บ้านี้ทำให้คนอื่นเป็นห่วงจริงๆ ฉันจะตามไปดูสักหน่อยละกัน!”
เสี่ยวอวี้หลินวิ่งเข้าไป คนอื่นๆก็ตามมาเพราะกลัวว่ามู่ยู่วฉีจะไปสร้างปัญหาอีก
วันนี้พ่อแม่ฉีฉีพักผ่อนอยู่ที่บ้าน กำลังดูละครอยู่ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังลั่น
ผู้ใหญ่ทั้งสองเดินออกมาที่ประตูแล้วเปิดประตูก็เห็นคนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตูและกำลังผลักประตูแรงๆอยู่
ผู้ใหญ่ทั้งคู่ตกใจไม่เข้าใจว่าจริงๆแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้น
มู่ยู่วฉีอยู่ข้างหน้าผลักเสี่ยวอวี้หลินที่อยู่ข้างๆออกไปและถามอย่างสุภาพว่า: “คุณอาคุณน้าครับ ขอถามหน่อยนะครับว่าฉีฉีอยู่หรือเปล่าครับ?”
“อ้อ ฉีฉีไปฝึกงานน่ะ”
“เธอยังไม่กลับมาเหรอครับ?”
“ยังนะ”
“แล้วเธอกลับไอ้เลวนั่น…..”
เมื่อเห็นมู่ยู่วฉีกำลังจะพูดอะไรผิดไป เสี่ยวอวี้หลินจึงดึงเขาไปด้านหลัง และพูดด้วยรอยยิ้มว่า: “แฮะ เขาป่วยน่ะครับ ก่อนออกมาก็ไม่ได้กินยา พวกท่านอย่าใส่ใจเลยครับ จริงๆนะครับ”
มองมู่ยู่วฉีสลับกับมองเสี่ยวอวี้หลินไปมา แม่ของฉีฉีก็ถามอย่างสงสัยว่า: “ พวกเธอทั้งคู่เป็นแฝดกันเหรอ?”
“ ครับ ผมเป็นน้อง เขาเป็นพี่”
“อ้อ มิน่าล่ะพวกเธอถึงได้ดูเหมือนกันขนาดนี้”
ตอนนี้มู่ยู่วฉีไม่ได้มีอารมณ์มาอธิบายเรื่องคำถามของพี่ชายน้องชายหรอกนะ เขาแค่อยากรู้เบาะแสของฉีฉี
แต่ถ้าแม้แต่พ่อแม่เธอไม่รู้แล้วใครจะรู้ล่ะ?
แม่ฉีฉีเห็นมู่ยู่ฉีทำหน้าเครียดก็ขมวดคิ้วนิดๆแล้วถามว่า: “แล้ว เกิดอะไรขึ้นกับฉีฉีหรือเปล่า?”
เซี่ยอันน่าโบกมือไปมาและพูดอย่างปลอบ: “ไม่มีค่ะไม่มี คุณน้าไม่ต้องกังวลไปค่ะ พวกเราแค่เดินทางมาที่นี่แล้วอยากเจอกับฉีฉีเฉยๆค่ะ ในเมื่อเธอไม่ได้อยู่บ้าน งั้นพวกเราก็ขอตัวนะคะ”
พูดจบก็พากันลากมู่ยู่วฉีออกมาทิ้งไว้ให้แต่พ่อแม่ฉีฉีมองหน้ากันไปมา
“ที่รัก เราไม่โทรถามฉีฉีหน่อยเหรอว่าเป็นอะไรหรือเปล่า?”
“ได้ เดี๋ยวฉันถามเธอ”
กลุ่มคนที่จากไปก่อนหน้านี้ไม่ได้ยินสิ่งที่พ่อแม่ฉีฉีพูด ทั้งสองรีบติดต่อฉีฉีและเล่าเรื่องที่เพิ่งเกิดให้ฟัง
ฉีฉีเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้นว่า: “คนรวยน่ะเขามีเวลาว่างเยอะ แม่ไม่ต้องไปยุ่งกับเขาหรอก”
“อ้อ โอเค”
ฉีฉีคุยกับแม่อีกสองประโยคก็วางสายไปแล้วก้มหน้านิ่งเงียบ
ด้านมู่ยู่วฉีป่านนี้ชีวิตคงมีชีวิตชีวามากขึ้นสินะ
เมื่อลากมาถึงหน้าหมู่บ้านก็พากันเริ่มว่ามู่ยู่วฉีต่างๆนาๆ
“มู่ยู่วฉี นายจะทำอะไรช่วยเอาสมองคิดก่อนสักหน่อยได้ไหม? ทำอะไรไม่คิด ยิ่งทำให้ฉีฉีหนีไปไกล”
“ชัดเจนมากแล้ว่าฉีฉีไม่ได้บอกเรื่องที่เกิดขึ้นกับพ่อแม่เธอ ถ้านายนายพลั้งปากพูดไปจะทำให้พ่อแม่เป็นห่วง ฉีฉีต้องเกลียดนายจนตายแน่ ทะเลาะกันก็ยิ่งปรับความเข้าใจกันไม่ได้”
“นั่นน่ะสิ มีพวกเราอยู่นายจะรีบร้อนอะไร ทุกคนช่วยนายพาเธอกลับมาหาได้แน่นอน”
มู่ยู่วฉีนิ่งเงียบฟังคำพูดของทุกคน ใบหน้าไม่ได้แสดงอารมณ์อะไร
“พวกเราพูดขนาดนี้ ตกลงนายจะฟังได้หรือยัง?”
มู่ยู่วฉีพยักหน้าและถามว่า: “จับเธอไว้ได้ครั้งนี้จะต้องมัดเธอไว้แน่นอน ไม่ทำให้เธอหนีไปอีกแน่!”
เสี่ยวอวี้หลินตบไหลของเขาและพูดว่า: “หลังจากที่พูดไปนายต้องรักษาตัวให้ดีก่อน คุณหมอให้นายพักผ่อน ดูนายสินายวิ่งมาถึงไหนเนี้ย”
มู่ยู่วฉีขยี้หัวอย่างหงุดหงิดและพูดว่า: “พักผ่อน? ฉันจะทรมาณตายเพราะยัยตัวดีนั่นนะ”
“อดทนรอใช้เวลานี้รักษาตัวนายพอดีกับให้ฉีฉีอยู่เงียบๆคนเดียว รอให้เธอคิดออกเดี๋ยวก็กลับมา”
“แต่ฉันรอไม่ไหว”
“รอไม่ไหวก็ต้องรอ นายต้องเชื่อใจฉีฉี เธอมีนายอยู่ในใจแล้วเดี๋ยวก็มาหานายเอง”
จะมีวันนั้นจริงๆเหรอ?
อยู่ๆมู่ยู่วฉีก็ไม่มีความมั่นใจ
สามเดือนต่อมา——
เก็บกระเป๋าตัวเองเรียบร้อยแล้ว ฉีฉีก็ตบมือและลุกขึ้นอื่นแล้วมองไปรอบๆคอนโดเล็กๆที่ตัวเองอยู่มาสามเดือน
ข้างนอกประตูมีหัวเล็กๆสองหัวโผล่เข้ามาทำปากขมุบขมิบราวกับว่าไม่มีความสุข
เมื่อฉีฉีเห็นพวกเขาก็โบกมือและยิ้มให้ทันที
“อันอัน เถียนเถียน มายืนทำอะไรกันอยู่หน้าห้องเข้ามาเร็ว”
เด็กทั้งสองคนผลักประตูเข้ามาและมายืนซ้ายขวาข้างๆฉีฉีทำหน้าไม่เต็มใจ
“พี่ฉีฉี พี่จะไปจริงๆเหรอ?”
ฉีฉีพยักหน้าและพูดด้วยรอยยิ้มว่า: “ใช่จ้ะ พี่ต้องกลับไปมหาลัยแล้ว”
“พวกเราจะคิดถึงพี่”
ฉีฉีขยี้ผมของเด็กทั้งสองและพูดว่า: “คิดถึงพี่ก็โทรหาพี่และส่งวีแชทหาพี่ได้’
“แล้วหลังจากนี้พี่จะกลับมาเยี่ยมพวกเราไหม?”
“แน่นอน รอพี่ปิดเทอมแล้วพี่ก็จะมาเยี่ยมพวกเธอนะ ถึงตอนนั้นพี่จะเอาของอร่อยและของเล่นกลับมาด้วย”
เมื่อฉีฉีรับปาก หน้าของเด็กทั้งสองก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นอีกครั้ง
ฉีฉีหยิบหนังสือออกมาจากกระเป๋าสองเล่มส่งให้เด็กทั้งสองและพูดว่า: “นี่เป็นของขวัญอำลาที่จะมอบให้พวกเธอ ตั้งใจเรียนนะ ตอนรอพี่กลับมา พวกเธอต้องท่องจำคำศัพท์ในหนังสือสองเล่มนี้ เข้าใจไหม?”
“เข้าใจครับ”
ฉีฉียิ้มให้เด็กทั้งสองแล้วยืนขึ้นและเดินไปที่หน้าประตูก็พบว่ามีเพื่อนมาหาตัวเอง
“รถมารับมาถึงแล้วเหรอ?”
“เปล่า มีคนมาหาเธอน่ะ”
“หาฉัน?”
แปลกจัง เดี๋ยวฉันก็ต้องกลับแล้ว ใครกันนะ?”
“อะ แม้ว่าอีกฝ่ายจะสวมแว่นตากันแดดและยังสวมหมวกอีก แต่ก็ดูออกว่าเธอเป็นคนที่สวยมาก หุ่นก็ดี แต่งตัวมีรสนิยม ฉีฉี เธอมีเพื่อนแบบนี้ทำไมไม่แต่งตัวให้สวยบ้าง?”
ฉีฉีและอีกฝ่ายมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน หลังได้ยินคำพูดล้อเลียนของเขาก็มองค้อนใส่เขา จากนั้นก็เดินออกประตูไปที่ห้องรับแขก
อยู่ห่างกันตั้งไกล แต่ฉีฉีก็ยังได้กลิ่นน้ำหอมที่คุ้นเคย
เมื่อฉีฉีเดินมาถึงตัวเซี่ยอันน่าก็ยกยิ้มที่มุมปากให้เธอ
“พอฉันได้ยินคนอื่นบอกว่าเป็นคนที่สวยมากฉันก็นึกถึงเธอเลย”
“เซี่ยอันน่าหันหลับมาและถอดแว่นกันแดดออกแล้วมองฉีฉีอย่างพินิจพิเคราะห์จากบนลงล่าง
สามเดือนที่ไม่เจอ ฉีฉีเปลี่ยนไปไม่น้อย
ผมของเธอเปลี่ยนมาเป็นยาวและมัดสั้นเป็นหางม้า ผมหน้าม้าระที่แก้มทั้งสองทำให้สีคิ้วของเธอดูอ่อนลง สีหน้าอ่อนโยนและความรู้สึกที่นิ่งลงไม่น้อย
“ดูเหมือนว่าสภาพแวดล้อมที่นี่จะดีนะถึงทำให้สีหน้าของเธอดูเปล่งปลั่งและเปลี่ยนมาสวยได้”
“ถึงจะสวยแค่ไหนก็มาบดบังหน้าหน้าซีดๆเธอ” ฉีฉีตบที่เบาะและพูดว่า: “นั่งลงสิ ที่นี่ไม่มีคนที่ชอบสอดรู้สอดเห็นและไม่มาสนใจเธอหรอกสบายใจได้”
เซี่ยอันน่าถอดหมวดออกและถอนหายใจเบาๆแล้วพูดว่า: “อยากเห็นหน้าเธอนี่ไม่ง่ายเลยจริงๆนะอย่างกับปีนสันเขา เธอก็ตั้งสติได้และนี่ก็เงียบจนผ่านมาสามเดือนแล้ว ถ้าฉันไม่มาหาเธอ เธอก็คงจะไม่สนใจฉันเลยใช่ไหม?”
“ไม่ใช่ว่าฉันเคยบอกพวกเธอแล้วเหรอว่าฉันต้องมาฝึกงานน่ะ พวกเธอก็รู้แล้วหนิ”
“อืมอืม เธอมาฝึกงาน แล้วตอนนี้จิตใจสงบลงแล้ว?”
ฉีฉีพยักหน้าแล้วพูดว่า: “อืม ดีมากแล้ว”
“งั้นตอนนี้คุยกันได้แล้วใช่ไหม?”
ฉีฉีส่งแก้วน้ำให้เซี่ยอันน่าและถามว่า: “อยากคุยเรื่องอะไร”
“ก็พูดไปเรื่อย สามเดือนนี้เธออยู่ที่ไหน ทำอะไรไง”
ฉีฉียิ้มที่มุมปากบางๆและน้ำเสียงที่ดูห่างเหินนิดหน่อย เธอพูดว่า: “ฉันอยู่ไหน ทำอะไร ไม่ใช่ว่าพวกเธอรู้อยู่หรอกเหรอ ไม่อย่างนั้น เธอก็คงไม่มาอยู่ที่นี่หรอก”
ฉีฉีที่เมื่อกี้นี้ยังคงเหมือนเดิมอยู่มากและเหมือนกับเมื่อก่อน เรานั่งคุยเล่นกันอย่างเงียบๆ
แต่ประโยคสุดท้ายของเธอนั้น ราวกับคนแปลกหน้าที่อยู่ตรงหน้ากัน สิ่งนี้ทำให้เซี่ยอันน่าประหลาดใจ
เดิมคิดว่าเวลาสามเดือนนี้จะทำให้ฉีฉีคิดอะไรออกแต่กลับคิดไม่ถึงว่าผลจะออกมาอย่างนี้
เซี่ยอันน่าขมวดคิ้วแน่นแล้วมองไปยังฉีฉีและพูดว่า: “ฉีฉี ทำไมพูดอย่างนี้ ถ้าพวกเรารู้เราจะไม่ไปหาเธอได้เหรอ? แน่นอนว่าความสามารถของพวกเรา ถ้าอยากมาหาเธอจริงๆมันก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่ในเมื่อเธอหลบหน้าพวกเรา พวกเราก็ให้เวลากับเธอให้เธอได้อยู่เงียบๆ เธอเป็นเพื่อนที่สำคัญมากของพวกเรา พวกเราเป็นห่วงเธอจริงๆนะ”
ฉีฉีพยักหน้าเบาๆให้กับความจริงใจของเซี่ยอันน่าที่อยู่ตรงหน้าและพูดว่า: “อ๋อ”
คำง่ายๆ เผยให้เห็นใจที่เหม่อลอยของเธอ
เซี่ยอันน่ารีบเอ่ย: “ฉีฉี ดูเหมือนว่าเธอจะเข้าใจเราผิดนะ”
แววตาฉีฉีคู่นั่นมองไปยังที่แสนไกล เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงบางเบาว่า: “ไม่ใช่ว่าเข้าใจผิด อยู่ๆก็เห็นบางอย่างชัดเจนขึ้นและรู้สึกว่าระหว่างฉันและพวกเธอมีช่องว่างที่ใหญ่มากๆ”
“หลังจากนั้น เพราะช่องว่างพวกนี้ แม้แต่เป็นเพื่อนพวกเราก็ทำไม่ได้งั้นเหรอ?”
“พวกเรายังเป็นเพื่อนกัน แต่ ไม่มีทางที่จะกลับไปแล้ว”
เซี่ยอันน่าพยายามใช้น้ำเสียงที่นุ่มนวลพูด: “เธอบอกกับฉันได้ไหมว่ากำลังคิดอะไรอยู่ หรือว่าเธออยากจะบอกอะไร”
เซี่ยอันน่าปฏิบัติตัวอย่างจริงใจเพื่อเธอจะได้พูดคุยสิ่งที่อยู่ในใจกับฉีฉี
ฉีฉีกอดเข่าและหรี่ตามองแล้วพูดว่า: “ระหว่างเพื่อนก็ควรเท่าเทียมกัน แต่ระหว่างเราไม่เท่ากัน”
“ไม่เท่ากันอย่างไร?”
“พวกเธอบงการชีวิตของฉันจากมุมมองของความคิดและตัดสินใจในแบบชีวิตของพวกเธอ ตัดสินใจเรื่องสำคัญแทนฉันแต่กลับไม่นึกถึงว่านั่นคือสิ่งที่ฉันต้องการจริงๆหรือไม่ พวกเธอเป็นอย่างนี้ทำให้ฉันไม่อาจใฝ่สูงคบหาด้วย”
ยิ่งฉีฉียิ่งพูดเซี่ยอันน่ายิ่งขมวดคิ้วแน่น
“นี่คือผลลัพธ์ที่เธอคิดได้ในช่วงสามเดือนนี้”
ฉีฉีหัวเราะเยาะตัวเองและพูดว่า: “สำหรับจิตใจฉัน มันไม่ง่ายเลย ใช่ไหมล่ะ?”
“ใช่ ไม่ง่ายเลยที่จะเปลี่ยนจากฉลาดนิดๆมาเป็นโง่”
ในเมื่อคุยกันมาถึงจุดนี้แล้ว เซี่ยอันน่าก็ตัดสินใจสารภาพทุกอย่าง
“ฉันยอมรับสำหรับเรื่องมู่ยู่วฉี พวกเราปกปิดเรื่องไว้ส่วนหนึ่ง ตอนที่พวกเรารีบมาโรงพยาบาล เขาหมดสติ คุณหมอบอกว่าเขาอาจกลายเป็นเจ้าชายนิทรา ต่อมาเขาก็ถูกช่วยชีวิตให้กลับมาได้แต่กลับไม่ได้สติสักที”
“พวกเราทุกคนคิดว่าอีกฝ่ายบอกกับเธอเรื่องนี้แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะไม่มีใครพูดถึงเลย ตอนพวกเรารู้สึกผิดกับปัญหานี้ แต่ละวันแต่ละคืนเธอก็มัวเอาแต่ดูแลมู่ยู่วฉี เห็นพวกเธออยู่ด้วยกันทุกวัน ผูกพันกันมากขึ้น พวกเราก็เลยปิดความจริงไว้ก่อน”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ
ขอบคุณแอดค่ะ...สนุกค่ะ......
สนุก...