เซี่ยอันนาหาเวลามาคุยกับฉีฉีอยู่พักหนึ่งก็จะต้องไปแล้ว
ช่วงนี้ เธอเป็นห่วงสาวน้อยคนนี้มาก เมื่อสบายดีจึงมาเยี่ยมดูสภาพเธอ
และเป็นอย่างที่เธอนึกเป็นห่วง นับวันฉีฉียิ่งนิ่งเงียบไม่พูดจาอะไร ท่าทางที่ฝืนยิ้มของเธอนั้นทำให้คนอื่นนั้นยิ่งเจ็บปวด
เพราะฉีฉีได้รับบาดแผลทางจิตใจ เซี่ยอันน่ากลัวมากว่าเรื่องนี้จะสะเทือนใจฉีฉีจนเกิดโรคภัยได้
ถ้าหากเป็นเช่นนั้น…..
เซี่ยอันน่ารู้สึกมืดบอด เธอตัดสินใจไปหาเย่ชูวเสวียเพื่อพูดคุยกัน
นึกถึงเย่ชูวเสวีย เซี่ยอันน่าเพิ่งนึกได้ว่าหลังจากที่มาโรงพยาบาลก็ยังไม่ได้เห็นเธออีกเลย
“ใช่แล่ว ชูวเสวียล่ะยังไม่มาเหรอ?”
“มาแล้ว แต่มาแปปเดียวก็ไป บอกว่าร้านขนมมีเรื่องเร่งด่วนน่ะจึงรีบร้อนออกไป อันน่า ถ้าพวกเธอมีธุระก็ไม่ต้องมาก็ได้ ที่นี่ยังมีฉัน”
สำหรับเรื่องนี้ เซี่ยอันน่าไม่ได้ตอบกลับแต่อย่างใด
เธอลุกขึ้นยืนแล้วสวมแว่นกันแดดและพูดว่า: “โอเค ต่อไปนี้โลกของเธอทั้งสองเธอกับมู่ยู่วฉี ฉันจะไม่ยุ่งกับพวกเธออีกแล้ว”
“ฉันไปส่งเธอนะ”
“ส่งอะไร ฉันเป็นแขกเหรอ เห็นว่าเป็นคนอื่นซะจริง”
เซี่ยอันน่ามองฉีฉีอย่างเบื่อหน่ายแล้วหมุนตัวเดินออกจากห้องผู้ป่วยไป
ภายในห้องเงียบขึ้นอีกครั้ง ฉีฉีหันกลับมามองมู่ยู่วฉีแล้วถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน
ตอนพลบค่ำ คุณหมอเข้ามาตรวจสุขภาพมู่ยู่วฉีเป็นประจำ
เวลานี้ฉีฉีจะออกไปสูดอากาศและปรับสภาพอารมณ์
เพราะเมื่อวานนอนไม่ค่อยหลับ ตอนนี้เปลือกตาฉีฉีกำลังต่อสู้กันอยู่ เพื่อให้ตัวเองสดชื่นขึ้นอีกหน่อย ฉีฉีจึงเดินไปซื้อกาแฟสักแก้วที่ร้านกาแฟ
ขณะเดินถือกาแฟกลับมา ฉีฉียิ่งเดินยิ่งรู้สึกแปลกๆ
ในหัวทำไมถึงรู้สึกมึนๆอย่างนี้นะ? ก้าวเท้าแต่ละทีหนักขึ้นเรื่อยๆราวกับว่ามีตะกั่วมาถ่วงไว้อย่างไรอย่างนั้น
ฉีฉีเอื้อมมือไปจับผนังห้องไว้และหลับตาลงพยายามอดกลั้นไว้
มีพยาบาลเดินผ่านมาเห็นฉีฉีมีท่าทางเช่นนี้จึงรีบเข้ามาพยุงเธอและเอ่ยถาม: “คุณผู้หญิง คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ?”
ฉีฉีหายใจเข้าลึกๆและลืมตาขึ้นและพูดด้วยแววตาล่องลอยว่า: “ฉันไม่เป็นไรค่ะ”
พยาบาลขมวดคิ้วและพูดว่า: “แต่สีหน้าเธอดูแย่มากเลยนะ ฉันแนะนำให้เธอไปตรวจดูสักหน่อยเถอะ”
‘ไม่หรอกค่ะ ไม่เป็นไรจริงๆ”
ตรวจร่างกายมู่ยู่วฉีคงจะเสร็จแล้ว ตอนนี้เธอต้องกลับไปอยู่เป็นเพื่อนเขา
ฉีฉีพยายามก้าวเท้าไปข้างหน้าแต่ยังไม่ถึงสองก้าวก็เป็นลมล้มไป
“คุณผู้หญิง!”
กาแฟที่อยู่ในมือหกกระเด็นไปทั่ว ฉีฉีนอนหมดสติอย่างสิ้นเชิงลงบนพื้นเย็น
ช่วงนี้เธอเหนื่อยมากจริงๆ เหนื่อยใจแล้วกายยิ่งเหนื่อย
เพราะงั้นถึงเป็นลมได้ เธอนอนหลับจนฟ้ามืด
ระหว่างที่หลับฝัน เธอฝันเรื่องแล้วเรื่องเล่าจริงหรือเท็จปะปนกันไป
บางครั้ง ฉีฉีที่นอนหลับสนิทกลับได้ยินเสียงทะเลาะกัน
เสียงนั้นฟังดูคุ้นเคยมาก เนื้อหาที่ทะเลาะกันก็เหมือนว่ามีตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้อง
แต่ฉีฉีไม่อยากได้ยิน เธอแค่อยากนอนหลับสบายๆ
เธออยากลุกไปบอกให้คนเหล่านั้นหุบปาก แต่ร่างกายเธอไม่อาจควบคุมได้ แขนขานั้นขยับไม่ได้
รอบข้างค่อยๆกลับคืนสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง ฉีฉีพอใจและหลับต่ออย่างสบายใจ
แต่เมื่อหลับต่อได้สักพัก ฉีฉีก็พบกับปัญหานิดหน่อย
เธอรู้สึกเหมือนว่ายังมีเรื่องสำคัญที่เธอต้องทำ คือ….คือ…...
คืออะไรกันนะ?
ฉีฉีพยายามคิดแล้วคิดอีก ในที่สุดก็มีชื่อหนึ่งผุดขึ้นมาในสมองของเธอ
มู่ยู่วฉี!?
พอคิดถึงเขา ไม่คาดคิดว่าฉีฉีจะลืมตาขึ้นมา ตากลมโตมองไปรอบๆอย่างงงงวย
สีหน้าผ่อนคลายลง เมื่อฉีฉีพบว่าตัวเองยังคงอยู่ที่โรงพยาบาล
ทว่า ตัวเองมาหลับอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?
ตอนฉีฉีกำลังรู้สึกงุนงงอยู่นั้นก็มีคนเดินเข้ามา
“คุณฟื้นแล้ว”
คนที่พูดเป็นพยาบาลและฉีฉีไม่ได้รู้จักเธอ
“ฉันเป็นอะไรไปเหรอคะ?”
“คุณเครียดและนอนไม่พอ ทั้งขาดสารอาหารอีกเลยเป็นลมน่ะ”
ฉีฉีแข็งแรงมากมาโดยตลอด เกิดเรื่องขนาดนี้ได้อย่างไร?
ฉีฉีเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งจึงเอ่ยถามขึ้นอีก: “แล้วฉันหลับไปนานแค่ไหน?”
“สี่วันแล้ว”
พอได้ยินคำตอบนี้ ฉีฉีก็เบิกตากว้างและถามว่า: “นานขนาดนั้นเลยเหรอ!?”
“ใช่ค่ะ คุณพักผ่อนไม่เพียงพอทั้งยังมีประวัติการป่วย ถ้าให้ยานอนหลับกับคุณ จะทำให้คุณพักผ่อนอย่างเต็มที่ค่ะ”
“แต่ฉันยังมีคนที่ต้องไปดูแลนะคะ”
ฉีฉีรีบร้อนดึงผ้าห่มออกเพื่อที่จะออกไป
“คุณกลับมาก่อค่ะ! ตอนนี้คุณเป็นคนไข้ แล้วจะไปดูแลใครได้ค่ะ นอนลงอย่างเชื่อฟังเถอะค่ะ”
พยาบาลบังคับฉีฉีให้กลับไป
ไม่รู้ว่าทำไมพยาบาลคนนี้ถึงมีแรงมากมายหรือตอนนี้ฉีฉีอ่อนแอเกินไป เธอไม่มีแม้แต่โอกาสจะต่อต้าน อย่างกับลูกไก่ถูกกดลงไป
ฉีฉีรู้ตัวว่าไม่มีทางสู้ฝ่ายนั้นได้จึงพร่ำขอร้องว่า: “ถ้างั้นให้ฉันไปเยี่ยมเขานะ เขาก็อยู่โรงพยาบาลนี้ ได้ไหม?”
“เอ่อ….”
“ถ้าคุณไม่เห็นด้วย งั้นฉันไม่กินข้าว ไม่ให้ความร่วมมือในการตรวจและก็จะออกจากโรงพยาบาลตอนนี้!”
การข่มขู่ของฉีฉีทำให้พยาบาลไม่มีทางเลี่ยงทั้งยังรู้สึกลำบากใจ สุดท้ายก็ถอนหายใจออกมาและพูดว่า: “เฮ้อ เปลี่ยนใจคุณไม่ได้จริงๆ งั้นฉันจะพาคุณไปแล้วกัน เตือนไว้ก่อนเลยนะคะว่าเยี่ยมเสร็จแล้ว คุณก็ต้องกลับมาพักผ่อนกับฉันอย่างว่าง่าย”
ฉีฉีตาวาวแล้วพยักหน้าซ้ำๆและเอ่ยว่า: “โอเคอย่างแน่นอนเลยค่ะ”
พยาบาลพาฉีฉีไปที่ห้องผู้ป่วยของมู่ยู่วฉีและระยะห่างมันไกลมากฉีฉีจึงรู้สึกกังวลเล็กน้อย
ผลักประตูห้องผู้ป่วยที่คุ้นเคย ฉีฉีกลับพบว่าคนที่อยู่บนเตียงผู้ป่วยนั้นไม่อยู่แล้ว
ฉีฉีตะลึงจนตาค้าง หันไปมองพยาบาลที่อยู่ข้างหลังและเอ่ยถามว่า: “คนไข้ล่ะ?”
พยาบาลส่ายหัวแสดงท่าทีที่ไม่รู้
“งั้นก็ไปหาคนที่รู้มาสิ!”
อารมณ์ของฉีฉีเปลี่ยนไปเป็นโมโหร้าย ช่างแตกต่างจากเด็กน้อยน่ารักคนเมื่อกี้ราวกับเป็นคนละคน
พยาบาลตัวสั่นแล้วหุนหันวิ่งออกไป
ไม่นานเธอก็พาคุณหมอเดินเข้ามา ตอนเดินมายังแอบอยู่ข้างหลังคุณหมอ เกิดกลัวว่าอยู่ๆฉีฉีจะเปลี่ยนไปอีก
เมื่อเห็นคุณหมอ ฉีฉีก็รีบถาม: “คุณหมอคะ คนไข้ที่อยู่ห้องนี้ล่ะคะ?”
ท่าทางของคุณหมอดูน่าเกรงขามมองฉีฉีแล้วถามว่า: “คุณเกี่ยวข้องอะไรกับคนไข้?”
ท่าทางของฝ่ายนั้นทำให้ฉีฉีรู้สึกสะอึก เธอเลียริมฝีปากและพูดว่า: “ฉัน…..เป็นเพื่อนของเขา”
คุณหมอมองฉีฉีอย่างเห็นใจแล้วพูดว่า: “ถ้างั้น ขอแสดงความเสียใจด้วย”
ประโยคนี้ทำให้ฉีฉีถึงกับตัวเซ สีหน้าแสดงออกอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ร่างกายของฉีฉีสั่นเทา เธอพูดพึมพำไม่หยุด: “เป็นอย่างนี้ได้อย่างไร เป็นอย่างนี้ได้อย่างไร…..”
เห็นฉีฉีเป็นเช่นนี้จนพยาบาลต้องเข้ามาพยุงฉีฉีไว้
แต่ฉีฉีกลับจ้องตาถลนทันทีและร้องขับไล่ออกไป: “อย่าแตะต้องฉัน พวกคุณออกไปให้หมด!”
ฉีฉีทำท่าอย่างกับจะกัดคนอย่างไรอย่างนั้น พยาบาลนิ่งงันอยู่ที่เดิมเพราะไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
เธอมองไปที่คุณหมอ แต่คุณหมอกลับโบกมือให้เธอและพูดว่า: “คนไข้อารมณ์ไม่คงที่ พวกเราปล่อยให้เธออยู่คนเดียวไปก่อนเถอะ”
“แต่…….”
“ฟังฉัน ไปเถอะ”
คุณหมอและพยาบาลเดินออกไปจากห้องผู้ป่วย และฉีฉีก็หมดแรงล้มลงที่พื้น มองไปรอบๆด้วยสีหน้าที่ไม่อยากรับรู้อะไร
ของในห้องถูกทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อยและก็ไม่มีกลิ่นอายของมู่ยู่วฉีอยู่เลย
เธออยากเก็บของบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับมู่ยู่วฉี แต่กลับพบว่าทุกๆอย่างที่เกี่ยวข้องกับมู่ยู่วฉีในชีวิตของฉีฉีนั้นถูกเก็บไปหมดแล้ว
ความเจ็บปวดที่อยู่ภายในใจค่อยๆแล่นผ่านไปทั่วทั้งกายทำให้ฉีฉีตายทั้งเป็น
ฉีฉียกมือขึ้นปิดตาและสะอื้นไห้แล้วพูดว่า: “มู่ยู่วฉี นายไปไหนไม่ได้นะ นายกลับมาได้ไหม ฉันคิดถึงนายมาก ฉันอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีนาย”
“ถ้าอย่างนั้นแล้วคุณเป็นแฟนผมได้ไหม?”
อยู่ๆก็มีเสียงหนึ่งดังออกมาจากข้างหลังทำให้ฉีฉีตกใจ
เมื่อหันกลับไปมองฉีฉีก็เห็นมู่ยู่วฉียืนอมยิ้มอยู่ข้างหลัง แม้บนใบหน้าจะยังมีรอยแผลแต่รอยยิ้มนั้นอบอุ่นมาก
ฉีฉีค่อยๆยื่นมือออกไปสัมผัสมู่ยู่วฉีอย่างระมัดระวัง
ความอบอุ่นจากปลายนิ้วทำให้เธอรู้ว่ามู่ยู่วฉียังมีชีวิตอยู่จริงๆ
“มู่ยู่วฉี นายยังมีชีวิตอยู่”
มู่ยู่วฉียิ้มอย่างสดใสและหัวเราะลั่นจนแผลที่มุมปากแตก ทำให้เขามีสีหน้าดูบิดเบี้ยว
หน้าตาที่บิดเบี้ยวค่อยๆคลายลง มู่ยู่วฉีจึงพูดว่า: “คุณพูดอย่างนี้ คุณอยากให้ผมมีชีวิตอยู่ต่อหรืออยากให้ผมตายไปกันแน่?”
ฉีฉีไม่ได้ตอบกลับคำพูดของมู่ยู่วฉีแต่กระโจนเข้าหาอ้อมกอดของเขา และไม่นานน้ำตาที่ไหลก็ทำให้เสื้อผ้าของมู่ยู่วฉีเปียกชุ่ม
ฉีฉีรู้สึกว่าอ้อมกอดมู่ยู่วฉีในครั้งนี้นั้นต่างออกไป
ถ้าเป็นไปได้ เธออยากจะขอให้เวลาหยุดได้จริงๆปล่อยให้ทุกสิ่งนั่นหยุดนิ่งไว้ชั่วคราว
มู่ยู่วฉียกมือขึ้นลูบผมฉีฉีและใช้คางถูเบาๆด้านบนของศรีษะฉีฉีด้วยความรักเอ็นดู
นานมากกว่ามู่ยู่วฉีจะเอ่ยขึ้น: “ที่คุณเพิ่งพูดไปเมื่อกี้ ผมได้ยินหมดแล้ว”
ที่เพิ่งพูดไป…...
ฉีฉีมีอาการหน้าแดงยืนตัวแข็งทื่อและเริ่มไม่ยอมรับ
“พูดอะไร ทำไมฉันจำไม่ได้”
“คุณจำไม่ได้? แต่ผมจำได้นะ ผมพูดให้คุณฟังได้นะ คุณบอกว่าอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีผมและคิดถึงผมมากด้วย แล้ว….”
“พอแล้วพอแล้ว นายหยุดพูดเลย นายฟังผิดแล้ว เมื่อกี้ฉันไม่ได้พูดอะไร”
ฉีฉีคิดถึงคำพูดพวกนั้นว่าเป็นคำพูดของตัวเองจริงๆก็หน้าแดง
มู่ยู่วฉีเห็นท่าทางเธอเช่นนี้ก็กระตุกยิ้มที่มุมปากแล้วพูดว่า: “ปฏิเสธเหรอ? ไม่ได้หรอกนะ”
“ถ้าฉันไม่ยอมรับ นายจะทำอย่างไร?”
ฉีฉีหมุนตัวแล้ววิ่งหนี
มู่ยู่วฉีอยากตามไปแต่ร่างกายเขายังอ่อนแอมากอย่าได้พูดถึงวิ่งเลย แค่เดินไม่กี่ก้าวก็มีปัญหาแล้ว
เมื่อเห็นฉีฉีค่อยๆหายไปจากสายตา มู่ยู่วฉีก็โมโหและตะโกนเสียงดังว่า: “ฉีฉีหยุดนะ!”
แต่เหมือนว่าฉีฉีไม่ได้ยิน ยังคงวิ่งไป
“ฉันบอกว่าให้เธอหยุด! ถ้าเธอไม่หยุด ฉันจะกระโดดจากตรงนี้ลงไป!”
มู่ยู่วฉีพูดแล้วเดินไปทางหน้าต่างที่อยู่ใกล้ๆแล้วกำลังจะกระโดดลงไป
ฉีฉีหันกลับมาเห็น หน้าเธอซีด “มู่ยู่วฉีนายจะบ้าเหรอ กลับมาเดี๋ยวนี้นะ!”
มู่ยู่วฉีมีท่าทีที่สิ้นหวัง เขาเอ่ย: “คุณไม่ได้รอให้ผมตายหรอกเหรอ ถึงจะได้รู้ว่าผมสำคัญกับคุณมากแค่ไหน? งั้นดีเลย ผมจะได้ไปตายเดี๋ยวนี้!”
ตัวมู่ยู่วฉีห้อยไปมาราวกับว่าจะตกลงไปได้ทุกเมื่อ
ฉีฉีรู้สึกหวาดกลัวและเป็นกังวลมากจึงรีบพูดว่า: “เลิกก่อเรื่องได้แล้ว นายรีบมานี้เลยยืนอยู่ตรงนั้นมันอันตรายนะ!”
มู่ยู่วฉีพูดอย่างเศร้าสร้อยว่า: “คุณไม่ชอบผม ชีวิตผมก็ไม่มีความหมายอะไร ตายไปเลยยังดีกว่าอย่างน้อยก็ยังได้อยู่ในใจคุณ”
“ใครบอกว่าฉันไม่ชอบนาย ถ้าฉันไม่ชอบนาย จะคอยดูแลนายทุกวันไหม?”
“แต่คุณก็ดูแลรุ่นพี่คุณทุกวัน”
“กับเขา ฉันแค่รู้สึกชื่นชม แต่กับนายไม่เหมือนกัน ฉันชอบนาย!”
มู่ยู่วฉีหันไปมองฉีฉีและถามว่า: “จริงเหรอ?”
ฉีฉีพยักหน้าซ้ำๆและพูดว่า: “จริงสิ เชื่อฉันนะ นายรีบลงมาเร็วๆเถอะ”
“งั้น คุณเป็นแฟนผมนะ”
“ได้ได้ได้ นายพูดอะไรก็ทำได้หมดเลย”
ได้ยินเช่นนี้ มู่ยู่วฉีก็ฉีกยิ้มขึ้นทันที
“ทุกคนได้ยินแล้วใช่ไหม เป็นพยานให้ฉันด้วยนะ”
สิ้นเสียง เย่ชูวเสวีย เซี่ยอันน่าและคนอื่นๆก็เดินออกมายิ้มแล้วมองไปที่ฉีฉี
ฉีฉีมึนงงกับฉากตรงหน้าและมองทุกคนอย่างงงงวยแล้วถามว่า: “เกิดอะไรขึ้น พวกเธอทำไมอยู่ที่นี่?”
ในหัวของฉีฉีคิดวกไปวนมาและเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออก เธอหรี่ตามองและถามด้วยน้ำเสียงตำหนิ: “พวกเธอร่วมมือกันหลอกฉันเหรอ!?”
มู่ยู่วฉีรีบอธิบาย: “พวกเขาไม่ได้หลอกคุณ แค่มีบางคนที่ยังไม่รู้เรื่องดีก็เอาไปพูดมั่ว ผมโคม่าอยู่พักหนึ่งและมันไม่ได้เกินจริงจากที่พวกเขาพูดเลย”
“แล้วเมื่อกี้นี้ทำไมคุณหมอต้องแสดงความเสียใจกับฉันด้วย?”
“ใครจะรู้ บางทีเขาอาจจะคิดว่าผมเป็นตัวซวยก็ได้ อยู่ต่อไปก็คงไม่ใช่เรื่องดี”
ฉีฉีมองเพื่อนที่อยู่รอบตัวและถามขึ้นอีกว่า: “แล้วทุกคนล่ะ ทำไมต้องซ่อนไม่ให้ฉันรู้ด้วย?”
“ผมรู้ว่าคุณจะต้องเปลี่ยนใจเลยต้องให้ทุกคนมาเป็นพยานให้กับผม ถึงคุณจะอยากเปลี่ยนใจแต่ก็เปลี่ยนใจไม่ได้แล้วนะ”
ฉีฉีรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่สมเหตุสมผล เธอส่ายหน้าไปมาและพูดว่า: “นี่ยังไม่นับรวมกันกับที่พวกคุณกำลังหลอกลวงความรู้สึกของฉันนะ!”
เซี่ยอันน่าเดินเข้าไปยืนข้างๆฉีฉีแล้วพูดว่า: “ไม่ว่าพวกเราจะทำอะไรทุกอย่างก็เพื่ออยากให้เธอรู้ใจตัวเอง หรือว่านี่ไม่ใช่เรื่องดี?”
ฉีฉีหลบมือของเซี่ยอันน่าแล้วพูดว่า; “ฉันเข้าใจความรู้สึกของฉันดี ไม่จำเป็นต้องให้พวกเธอมาช่วยฉัน”
“ในเมื่อเธอรู้ดีแล้วทำไมไม่เผชิญหน้ากับมันล่ะ?”
“เพราะ….ฉัน…...เอ่อ คนที่ฉันชอบคือรุ่นพี่!”
หลังจากได้ยินประโยคนี้เย่ชูวเสวียก็ตะคอกขึ้นว่า: “นี่ยังจะใช้เขาเป็นข้ออ้างอีกหรอ? แต่น่าเสียดาย ข้ออ้างนี้มันไม่มีประโยชน์แล้ว”
“หมายความว่าอะไร?”
“พวกเราสืบมาชัดเจนแล้ว คนที่ทำร้ายเขาไม่ใช่มู่ยู่วฉี แต่เป็นเขาเองที่เล่นละคร แม้แต่ปัญหาของร้านขนมในช่วงก่อนหน้านี้ ก็เป็นฝีมือเขา จุดประสงค์ก็เพื่อจะก่อกวนฉัน อย่าไปว่าเขาเลยนะ”
คำตอบนี้ทำให้ฉีฉีอึ้งจนตาค้างอยู่นานก็ยังดึงสติกลับมาไม่ได้
“เป็นไปได้อย่างไร!?”
“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ ลูกน้องมันสารภาพหมดแล้ว คนบงการก็เป็นรุ่นพี่ของเธอนั่นแหละ ถ้าไม่เชื่อเธอไปดูบันทึกการแจ้งความที่สถานีตำรวจเลยก็ได้และเขาเองก็เป็นขั้นเทพของมวยจีนเจอนักเลงกระจอกแบบนั้นแต่กลับไม่กล้าสู้ นั่นเพราะกลัวว่าคุณจะรู้อะไรเข้ายังไงล่ะ”
ฉีฉีมึนงงไปหมด ข้อมูลมากมายหลังไหลออกมาทำให้เธอรับมือไม่ทันนิดหน่อย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ
ขอบคุณแอดค่ะ...สนุกค่ะ......
สนุก...