พูดแล้ว ฉีฉีก็กดปุ่มเริ่ม เสียงเพลงค่อยๆ บรรเลงรินไหลไปทั่วทุกมุมห้อง
เสียงเพลงที่ดังขึ้นมา ทำให้ฉีฉีนึกถึงคืนที่ทำให้เธอประทับใจไม่รู้ลืม
ถ้าหากตอนนั้นเธอตกลงตามคำขอของมู่ยู่วฉี อาจจะหลีกเลี่ยงทุกอย่างในวันนี้ได้ใช่หรือไม่?”
ถ้าหากได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ฉีฉีจะไม่เลือกทางเลือกที่ฝืนใจตัวเองอีก เธอต้องกล้าหาญ กล้าทำตามหัวใจตนเอง ไม่ต้องคอยคำนึกถึงสายตาของคนอื่น
แต่น่าเสียดาย เรื่องที่เกิดขึ้นคงไม่อาจเริ่มต้นใหม่ได้ ความผิดพลาดทั้งหมดทุกอย่างสายเกินไปแล้ว
คิดถึงเรื่องราวต่างๆระหว่างเธอกับมู่ยู่วฉี ฉีฉีหลับตาลงอย่างหดหู่
ฉีฉีกำลังร้องไห้อยู่ด้านในห้อง รุ่นพี่ที่ยืนอยู่ด้านนอกห้องจ้องมองดูเธออยู่อย่างนั้น
รุ่นพี่ไม่ชอบเห็นฉีฉีร้องไห้ เขาจะทำทุกวิถีทางให้เธอมีความสุข
น่าเสียดายที่เรื่องไม่ได้เป็นไปอย่างใจหวัง ฉีฉีในขณะนี้ไม่มีความสุขเลยสักนิด
เช่นนั้น ที่ตนเองทำมันไม่ดีแล้วงั้นเหรอ?
“ไม่ปล่อยเวลาได้ฉีฉีได้หายใจคอยแอบดูไม่ห่าง นี่คือสิ่งที่นายเรียกว่าดีแล้วงั้นเหรอ?”
ทันใดนั้นก็มีเสียงเยาะเย้ยดังมาจากด้านหลัง ทำให้สายตาของรุ่นพี่เปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที
เมื่อเห็นว่ารุ่นพี่ไม่สนใจตนเอง เย่ชูวเสวียก็พูดขึ้น “เฮ้ ฉันกำลังพูดกับนายอยู่นะ ทำไมนายไม่ตอบฉัน!”
“กับเธอไม่มีอะไรจะคุย”
“ฮ่าๆ เหมือนฉันเต็มใจพูดกับนายนักหรือไง ฉันก็แค่อยากทำให้นายเห็น ทุกคนเป็นกุมารทองและกุมารีหยก ที่แข่งขันกันเพื่อให้ได้จุติบนสรวงสวรรค์ นายคิดว่านายเป็นขุนพลวางแผนการรบ แต่เป็นได้แค่ทหารที่ตายในสนาม ดังนั้นอย่าเสียเวลาอีกเลย”
รุ่นพี่หันกลับมามองเย่ชูวเสวียด้วยใบหน้าที่ปราศจากรอยยิ้ม ใบหน้าที่เคยอ่อนโยนและอบอุ่น เปลี่ยนเป็นเย็นชา
“เมื่อเทียบกับพวกคุณแล้ว ผมคงไม่ใช่ขุนพลจริงๆ ที่ไม่รู้ว่า รอให้ถึงตอนที่ฉีฉีรู้ความจริง และยังจะเป็นเพื่อนกับพวกคุณอยู่ไหม”
สายตาที่รู้แจ้งทุกอย่างของรุ่นพี่ ทำให้เย่ชูวเสวียต้องหลีกเลี่ยงการจ้องมองโดยไม่รู้ตัว
“ฉันไม่รู้ว่านายพูดถึงเรื่องอะไร”
เย่ชูวเสวียระงับความโกรธลง แต่สายตาของรุ่นพี่เฉียบแหลม พูดขึ้นอย่างไร้ความปราณี “เรื่องบางเรื่อง แค่ให้ถึงเวลาสิ้นสุดลงก็พอ มิฉะนั้นเรื่องคงไม่ได้เป็นอย่างที่ใจหวัง”
เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มกำลังลองดี ดวงตาของเย่ชูวเสวียก็ลุกโชนด้วยไฟโกรธ
โอหัง อวดดี เธออยากจะตีหัวผู้ชายคนให้แหลกคามือจริงๆ!
แววตาของรุ่นพี่นิ่งสงบ ริมฝีปากโค้งขึ้นเล็กน้อย แล้วเอ่ยถาม “ทำไม อยากตีผมเหรอ? ผมเดาว่าเพื่อนของคุณคงจะเคยบอกคุณแล้ว อย่าใช้ความรุนแรงกับผม ไม่งั้นก็เป็นการช่วยผมดีๆนี่เอง”
เย่ชูวเสวียกัดฟันแน่น “นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันถูกคุกคาม ดี ดีมาก นายกระตุ้นความสนใจของฉันได้สำเร็จ ฉันก็อยากเห็นเหมือนกัน นายจะทำอะไรได้!”
พูดจบ เย่ชูวเสวียก็หันหลังแล้วเดินจากไป
หนานกงเจาเพิ่งจอดรถเสร็จ กำลังจะเข้าไปหาเย่ชูวเสวียก็พบเธอเข้าพอดี
“ชูว…”
“เอาข้อมูลที่ไปสืบผู้ชายคนที่อยู่กับฉีฉีมาให้ฉัน ยิ่งละเอียดยิ่งดี!”
ก่อนที่หนานกงเจาจะพูดอะไร เย่ชูวเสวียก็สั่งออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
การแสดงออกของเย่ชูวเสวียดูน่ากลัว หนานกงเจาจึงเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “คุณจะทำอะไ?”
“ในเมื่อกล้ายั่วโมโหฉัน งั้นฉันก็จะเล่นเป็นเพื่อนเขาสักหน่อย!”
“แล้วที่คุณให้ทุกคนสืบมาจะเอาข้อมูลอะไรบ้าง?”
“ฉันไม่เชื่อว่านายคนนี้จะไม่มีอะไรด่างพร้อยเลย แค่จับพิรุธได้ ก็เปิดเผยธาตุแท้ของเขาออกมาได้แล้ว!”
เย่ชูวเสวียมั่นใจ แต่ผลสุดท้ายกลับทำให้เย่ชูวเสวียต้องผิดหวัง
ตั้งแต่เด็กจนโต เขาไม่เคยมีเรื่องไม่ดีเลยจริงๆ เป็นนักเรียนดีเด่นมาโดยตลอด ได้รับรางวัลนับไม่ถ้วน
คนที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้ ง่ายๆก็คือเป็นเด็กจากบ้านคนอื่น คิดอยากจะหาจุดด่างพร้อยช่างยากจริงๆ
เย่ชูวเสวียกวาดสายตาดูข้อมูลในมือ
หนานกงเจาเอื้อมมือไปหยิบเอกสาร แล้วเอ่ยว่า “คุณอย่าดูเลย ชีวิตเขาสมบูรณ์แบบ ไม่มีจุดด่างพร้อย”
เย่ชูวเสวียพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ “ไม่มีจุดด่างพร้อยนั้นแหละปัญหาใหญ่ที่สุด! ฉันรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้เจ้าเล่ห์เกินไป เรียกได้ว่าขั้นยอดเยี่ยมเลยล่ะ ต้องซ่อนอะไรบางอย่างเอาไว้แน่”
หนานกงเจาส่ายศีรษะ “คุณน่ะ คนอื่นทำอะไรก็ขัดหูขัดตาไปหมด เรื่องดีๆ ก็กลายเป็นว่าผิดปกติ”
เย่ชูวเสวียไม่ชอบฟังคำพูดพวกนี้ เธอขมวดคิ้วแล้วมองไปที่หนานกงเจา “นายเป็นใครมาจากไหน มีสิทธิ์อะไรมากล่าวโทษฉัน?”
เมื่อเห็นว่าเย่ชูวเสวียชี้นิ้วมาที่ตัวเอง หนานกงเจาก็รีบยกมือขึ้น แล้วพูดว่า “เอาล่ะๆ ผมไม่พูดแล้ว โอเคไหม”
เย่ชูวเสวียเม้มริมฝีปากสีแดงสดของเธอ แล้วเอื้อมไปหยิบเอกสารกลับมา
แต่ระหว่างที่กำลังยื้อแย่ง มีเอกสารหน้าหนึ่งตกลงพื้น เย่ชูวเสวียก้มลงไปหยิบขึ้นมา จากนั้นสายตาก็ถูกดึงดูดด้วยเนื้อหาบนนั้น
“นี่คืออะไร?”
หนานกงเจาโน้มตัวเข้าไปดู “ประสบการณ์การเรียนสานต่า*” (*เป็นศิลปะการป้องกันตัวและกีฬามวยใช้เท้าอย่างหนึ่งของจีน)
แววตาของเย่ชูวเสวียฉายแววสนใจขึ้นมาทันที “เรียนสานต่ามาสามปี จะถูกตีจนยับเยินขนาดนั้นเลยเหรอ?”
หนานกงเจายิ้มอย่างจนปัญญา “ขอร้องล่ะ เขาเรียนตั้งแต่อยู่ประถม หลังจากโตมาก็คงทิ้งไปหมดแล้ว มันไม่ปกติเหรอ?”
“นายบ้านั้น เรียนแยะขนาดนี้คงไม่ทิ้งไปเฉยๆหรอก” พูดแล้ว เย่ชูวเสวียก็หยิบเอารูปถ่ายสองสามรูปออกมา “เรียนไวโอลินมาตั้งแต่เด็กๆ ตอนนี้ก็กลายเป็นงานอดิเรกไปแล้ว ตอนประถมเคยเรียนประดิษฐ์ตัวอักษร ตอนนี้ก็ได้เป็นสมาชิกของสมาคมการประดิษฐ์ตัวอักษร ตอนอายุสิบขวบเขาเข้าร่วมค่ายฤดูร้อนที่จัดขึ้นโดยสถานทูตสหรัฐฯ ได้ใกล้ชิดกับการใช้กล้องโทรทรรน์ ตั้งแต่นั้นมาก็เรียกคืนไม่ได้ รักษาไม่หาย เขาศึกษาดวงดาวต่อกับเพื่อนอีกสองสามคน และได้รับการจดสิทธิบัตรเรียบร้อยแล้ว นายดูสิ ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการศึกษาเล็กๆน้อยๆ แต่มันไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งที่เรียนหลังจากที่โตขึ้นเลยงั้นเหรอ”
หนานกงเจาเลิกคิ้วถาม “แล้วคุณหมายความถึงอะไร?”
เย่ชูวเสวียหรี่ตาลง กล่าวขึ้นอย่างมั่นใจ “สืบต่อไป ฉันเดาว่าผู้ชายคนนี้ต้องเป็นสมาชิกในสโมสรสานต่าแน่ๆ”
“ครับ” หนานกงเจาตอบ แต่ชั่วครู่ เขามองไปที่เย่ชูวเสวียด้วยความสับสน “แต่ ถึงแม้เขาจะเป็นสมาชิกของกลุ่มสานต่าก็ตาม มันพิสูจน์อะไรได้?”
“นั้นก็หมายความว่า เรื่องที่เขาถูกโจมตีก็เป็นเรื่องแต่งขึ้น”
ดูเหมือนว่าคำพูดนี้จะสมเหตุสมผล แต่ก็ยังมีช่องโหว่ขนาดใหญ่
หนานกงเจาวางนิ้วมือไว้ตรงแก้ม แล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อเขามีพื้นฐานการต่อสู้ ก็จงใจพ่ายแพ้แต่ฝ่ายตรงข้ามได้ ใช้ความเจ็บปวดเพื่อเอาชนะความเห็นอกเห็นใจจากฉีฉี เขาเอะอะเรื่องนี้ได้ เราพูดอะไรไม่ได้”
“เขาวางแผนทำร้ายตัวเอง เราไม่ได้ทำ?”
ทันใดนั้นดวงตาของเย่ชูวเสวียก็เป็นประกายขึ้นมาจนน่าตกใจ
เมื่อเห็นแววตานั้นของเธอ หนานกงเจารับรู้ได้ทันทีว่ามีคนต้องเดือดร้อนแน่นอน
……
ฉีฉีลุกขึ้นขยับร่างกายที่แข็งทื่อ มองไปยังท้องฟ้าข้างนอก ท้องก็เริ่มส่งเสียงร้องออกมา
เธอหิวแล้ว
ก้มมองไปที่มู่ยู่วฉี ฉีฉีพูดขึ้นเบาๆ “ฉันกำลังจะไปกินอะไรอร่อยๆ นายหมูขี้เกียจ ถ้านายอยากไปกับฉันก็ลุกขึ้นมาเร็ว”
หลักจากที่รออยู่สักครู่ มู่ยู่วฉียังนิ่งสงบ ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
ฉีฉีถอนหายใจ “ดูเหมือนว่านายยังอยากนอนอีกสักหน่อยสินะ เจ้าหมูขี้เกียจ”
ฉีฉีหันหลังแล้วเดินออกไปจากห้อง พร้อมกับเสื้อคลุมด้วยสีหน้าหดหู่
เข้าลิฟท์และลงไปยังล็อบบี้ แวบแรกที่ฉีฉีมองเห็นรุ่นพี่ เธอก็อดตกใจเสียไม่ได้
ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืนและนะ ทำไมรุ่นพี่ยังอยู่ที่นี่ล่ะ?
ฉีฉีสาวเท้าก้าวเข้าไปหารุ่นพี่อย่างรวดเร็ว “ฉันให้คุณกลับไปแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมยังอยู่ที่นี่?”
“ฉันกลัวว่าตอนที่เธอหิวจะไม่มีใครกินข้าวเป็นเพื่อน เธอจะเบื่อเอาน่ะ”
ความรักของรุ่นพี่ เกินที่ใครคนหนึ่งจะรับไหวจริงๆ
ฉีฉีก้มหน้าลง ไม่รู้จะพูดอะไร
รุ่นพี่ไม่สนใจกับท่าทีของเธอ เขาลูบผมฉีฉี แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย “หิวแล้ว เดี๋ยวพาไปกินของอร่อยๆ”
ฉีฉีหิวมาก แต่เมื่อมองจากภายนอกสีหน้ากลับดูกลัดกลุ้มใจ
“ตอนนี้ร้านอาหารปิดหมดแล้ว ไม่ว่าซาลาเปา เสียบไม้ทอด ขนมจีบ ก็ไม่มีแล้ว”
“ใครบอก ฉันไปดูมาแล้ว แถวๆนี้มีร้านอาหารอยู่ใกล้ๆ เปิดตลอดยี่สิบชั่วโมง ซาลาเปาที่เธอเพิ่งพูดถึง เสียบไม้ทอด ขนมจีบ ก็มีหมดนั้นแหละ”
ฉีฉีเม้มริมฝีปาก แล้วเอ่ยถาม “จริงเหรอ?”
“แน่นอนสิ ไปไหม?”
ฉีฉีพยักหน้า “ไปสิ กินอิ่มแล้ว จะได้ดูแลมู่ยู่วฉีได้ดีขึ้น”
“งั้นก็ไปสิป่ะ”
ตามที่รุ่นพี่พูดไว้ ร้านอาหารนั้นเปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง อาหารมีทุกอย่าง และยังมีลูกค้าอีกไม่น้อย
ฉีฉีเลือกรายการโปรด นั่งลงที่นั่ง แต่กินไปได้ไม่กี่คำก็รู้สึกกินไม่ลงแล้ว
ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉีฉีคงสังหารให้สิ้น แต่ตอนนี้ แม้ใช้อุดฟันยังไม่พอ
ตอนนี้เธอรู้สึกหิว แต่กลับกินไม่ลง
รุ่นพี่ดันเสียบไม้ทอดไปข้างหน้า “กินอีกสิ”
ฉีฉีกลับส่ายหัว “ฉันอิ่มแล้ว”
“กินไปแค่นิดเดียวเอง จะอิ่มได้ยังไง? หรือว่าของพวกนี้ไม่ถูกปากเหรอ? งั้นเดี๋ยวฉันพาเธอไปที่อื่น”
“ไม่ใช่ไม่ใช่ อาหารที่นี่อร่อยมาก แต่ฉันกินต่อไปไม่ไหวแล้ว”
พูดแล้วฉีฉีก็ลูบท้องตนเอง แสดงให้เห็นว่าเธออิ่มแล้วจริงๆ
รุ่นพี่มองไปที่ใบหน้าของฉีฉี พูดขึ้นอย่างเจ็บปวดใจ “ฉีฉีเธอซูบผอมลงมากเลยนะ”
“งั้นก็ไม่ถูกต้องนะสิ ฉันลดน้ำหนักมานานแล้วนะ” ฉีฉีพูดอย่างไม่ใส่ใจ “รุ่นพี่รีบกินเร็วเข้า ให้คุณอยู่เป็นเพื่อนฉัน ก็ลำลากคุณมากพอแล้ว”
“ถ้ารู้สึกว่าลำบากฉัน ก็กินน่องไก่แทนฉันน่องหนึ่ง ให้ฉันมีความสุข”
รุ่นพี่ยกน่องไก่มาวางไว้ตรงหน้าฉีฉี สั่งให้เธอรับมันไป
ไม่มีทางเลือก ฉีฉีจำเป็นต้องฝืนกินน่องไก่ต่อไป
เมื่อก่อนน่องไก่เคยเป็นอาหารโปรดของฉีฉี ตอนนี้กลับกลายเป็นหน้าที่รับผิดชอบที่ต้องทำให้สำเร็จ
เมื่อรับประทานอาหารมื้อดึกเสร็จ ฉีฉีและรุ่นพี่ก็เตรียมตัวกลับ
เมื่อเดินผ่านตรอกเล็กๆ ฉีฉีเห็นว่าทางหน้าข้างมืดไปหมด
แปลกจัง ทำไมไฟถึงเสียได้ เดินผ่านทางนี้ทุกวันก็ไม่ได้มืดขนาดนี้
ฉีฉีที่กำลังสงสัย ข้างหลังก็มีเสียงเท้าเดินกันอลหม่านดังขึ้น
นักเลงสองสามคนเดินผ่านฉีฉี จากแสงจันทร์ที่ส่องกระทบลงมา เมื่อเห็นใบหน้าน่ารักของฉีฉี
หนึ่งในนั้นก็หยุดฝีเท้าลง แล้วแสยะยิ้มให้เธอ “สาวน้อย ไปเดินเล่นกับพี่ไหมจ๊ะ”
พูดแล้ว นักเลงคนนั้นก็คว้าข้อมือของฉีฉีไว้
รุ่นพี่ที่คอยปกป้องฉีฉีอยู่ด้านหลัง ขมวดคิ้วทันที “ไปให้พ้น!”
พวกนักเลงมองเหยียดหยามรุ่นพี่ แล้วพูดขึ้นว่า “คนที่ควรไปคือแก ถ้าดูสถานณ์ออกแล้วก็ไสหัวไปให้ซะ!”
ฝั่งตรงข้ามมีพรรคพวกจำนวนมาก และมีแต่พวกผีห่าซาตาน ฉีฉีจึงรู้สึกกลัวขึ้นมา “รุ่นพี่คะ เราแจ้งตำรวจกันเถอะ”
“แจ้งตำรวจ? ก่อนที่ตำรวจจะมาถึง พวกแกก็ม่องเท่งไปก่อนแล้ว!”
อีกฝ่ายไม่เกรงใจอีกต่อไป เข้าไปกระชากฉีฉีอย่างแรง
ฉีฉีกัดแขนอีกฝ่ายไม่ยอมปล่อย
“โอ้ย นังนี่!”
อีกฝ่ายเจ็บจนเหวี่ยงฉีฉีออกไปแล้วกำลังจะตบหน้าเธอ
เป็นช่วงสำคัญ รุ่นพี่เข้าปกป้องรับแรงตบจากอีกฝ่ายแทน
“อยากเป็นฮีโร่ช่วยสาวงามงั้นเหรอ? งั้นฉันจะทำให้แกได้สมใจ!”
สิ้นเสียง หมัดก็รัวลงมาราวกับเม็ดฝน กระหน่ำใส่รุ่นพี่ไม่ยั้ง
รุ่นพี่ปกป้องฉีฉี เธอจึงไม่ได้รับอันตรายเลยแม้แต่น้อย
แต่ตัวเขาเองกลับมีเลือดไหลออกมาจากปากและจมูก
“พวกแกหยุดนะ หยุด!”
ฉีฉีกรีดร้องอย่างหนัก แต่กลับไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย เธอร้องได้จนเสียงแหบแห้งอย่างสิ้นหวังอยู่ภายในใจ
“ลูกพี่ มีคนมา!”
มีไฟส่องเข้ามาจากปากทาง พวกนักเลงเตะไปที่ศีรษะและขาของรุ่นพี่ จากนั้นพากันวิ่งหนีไป
ทันทีที่พวกเขาวิ่งหนีไป อ้อมกอดของรุ่นพี่ก็คลายออก ร่างกายตกลงไปข้างๆอย่างไร้เรี่ยวแรง
ฉีฉีเอี้ยวตัวไปรับรุ่นพี่ไว้ทันที น้ำเสียงแหบแห้งเอ่ยถามขึ้น “รุ่นพี่ คุณเป็นยังไงบ้าง?”
แม้ทั้งตัวจะกระเซอะกระเซิง แม้ใบหน้าจะเต็มไปด้วยเลือด รุ่นพี่ก็ยังยิ้ม
เมื่อเห็นฉีฉีร้องไห้ รุ่นพี่ก็ยื่นมือไปเช็ดน้ำตาให้เธอ แล้วพูดปลอบใจ “ไม่ต้องกังวล แค่บาดแผลตามผิวหนังเอง ไม่นานก็หาย”
“แต่คุณเลือดออก ไป ฉันจะพาคุณไปหาหมอ”
ฉีฉีวางแขนรุ่นพี่ไว้บนไหล่ของตัวเอง พยายามพยุงเขาไปที่โรงพยาบาล
ตอนมา ฉีฉีไม่รู้ว่าการเดินทางจะไกลขนาดนี้ เวลานี้เธอเกลียดตัวเองที่เอาแต่ตะกละจริงๆ มาหิวอร่อยก็ไม่รู้ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับรุ่นพี่ เธอจะทำอย่างไร?
ฉีฉีร้องไห้จนสายตาพร่ามัว รุ่นพี่จ้องมองแผ่นหลังของเธอ แล้วเอ่ยขึ้น “ฉีฉีเธออย่าร้องไห้ ฉันไม่ได้เจ็บอะไรเลย”
เลือดออกเยอะขนาดนั้น จะไม่เจ็บได้อย่างไร? คำปลอบใจคำนี้ฉีฉีไม่เชื่อเลยสักนิด
เดินออกมาจากตรอกเล็กๆ มีคนเห็นว่ารุ่นพี่ได้รับบาดเจ็บ จึงรีบเข้ามาช่วยประคองไปที่โรงพยาบาล
คุณหมอช่วยรักษาบาดแผลให้รุ่นพี่ ฉีฉีก็เฝ้าดูอยู่ข้างๆ พร้อมกับน้ำตาที่ไหลไม่หยุด
คุณหมอที่เห็นเช่นนี้ก็ยิ้ม แล้วเอ่ยขึ้นว่า “พ่อหนุ่ม แฟนคุณคงรักคุณมาก เห็นเธอร้องไห้ราวกับว่าตนเองเป็นคนเจ็บ”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ รุ่นพี่ก็เงยหน้าขึ้นมองฉีฉี “ฉีฉีฉันเป็นคนเจ็บนะ เธอจะร้องไห้ทำไมขนาดนั้น?”
ฉีฉีสะอื้นพลางพูดขึ้นว่า “รุ่นพี่ทั้งหมดเป็นความผิดของฉัน”
“คนที่รุมฉันเป็นพวกอันธพาลมันเกี่ยวอะไรกับเธอ? เธอไม่ต้องโทษตัวเองหรอก ร้องไห้จนตาบวมหมดแล้ว”
ฉีฉีก้มหน้าลงด้วยความหดหู่ “ฉันคิดว่าฉันเป็นตัวหายนะ ทำให้พวกคุณลำบาก รุ่นพี่หลังจากที่คุณหายดีแล้วก็กลับไปเถอะนะ อยู่ให้ห่างจากฉัน เพื่อไม่ให้ฉันทำร้ายคุณอีก”
รุ่นพี่อยากจะตบหัวฉีฉีให้ได้สติสักที แต่ทันทีที่ขยับแขนก็มีอาการเจ็บแปลบขึ้นมา
เพื่อไม่ให้ฉีฉีสังเกตเห็น รุ่นพี่จึงอดทนต่อความเจ็บปวด และพูดขึ้นอย่างเมินเฉย “เธอนี่นะ ชอบคิดอะไรบ้าๆ”
“ใช่ครับ แม่หนู อาการบาดเจ็บของแฟนหนูไม่นานก็หายดีแล้ว ยังหนุ่มยังแน่นเพื่อสาวเจ็บแค่นี้จะไประคายอะไร”
คุณหมอที่กำลังทำแผลให้รุ่นพี่ พูดขึ้นอย่างหลอกล้อ
ฉีฉีที่เอาแต่โทษตัวเองมาตั้งแรก เมื่อได้ยินที่คุณหมอพูดก็หน้าแดง “เขาไม่ใช่แฟนฉันค่ะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ
ขอบคุณแอดค่ะ...สนุกค่ะ......
สนุก...