“ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ผมเพียงแค่คิด มีอะไรบางอย่างทำให้มู่ยู่วฉีอยากสละชีวิตโดยเปล่าประโยชน์ ไม่รักชีวิตตัวเอง ถ้าเขามีเหตุผลสักนิด คงไม่ขับรถอย่างบ้าคลั่งแบบนั้น ราวกับว่าพยายามจงใจรนหาที่ตาย”
จงใจรนหาที่ตาย?
ประโยคนี้ราวกับค้อนขนาดยักษ์ ทุบลงมาที่หัวใจของฉีฉีอย่างแรง จนทำให้ร่างกายเธอสั่นเทา
รุ่นพี่รีบประคองเธอไว้ทันที จับมือเธอไว้ มอบกำลังให้แก่เธอ
เย่ชูวเสวียมองเห็นฝ่ามือของทั้งสองคนที่ประสานกัน คิ้วขมวดเล็กน้อยแล้วพูดขึ้นว่า “ไม่ มู่ยู่วฉีเป็นคนอดทน ไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น”
แต่หนานกงเจายังคงซักไซ้หาคำตาอบ “สรุปเธอพูดอะไรกับมู่ยู่วฉี?”
“ฉัน...ฉันเพียงแค่บอกกับเขาว่า ฉันต้องการอยู่กับรุ่นพี่ ขอให้หลังจากนี้เขาอย่ามาหาฉันอีก ให้ทำเหมือนกับว่าเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน”
หลังจากพูดจบ คนทั้งสองที่อยู่ตรงข้ามก็เงียบลง
ฉีฉีมองไปที่เย่ชูวเสวียและหนานกงเจา พบว่าสีหน้าของทั้งสองคนบึ้งตึงจ้องเขม็งมายังตัวเอง มีความไม่พอใจอยู่ในแววตาลึกๆ
ในใจมีความหวาดกลัวเล็กน้อย ฉีฉีเอ่ยถาม “คำพูดพวกนี้ก็ไม่เห็นมากเกินไปตรงไหน คนที่เลิกกัน เขาไม่พูดกันแบบนี้เหรอ?”
“ปัญหาไม่ได้อยู่ที่มากเกินไปหรือไม่ ฉีฉี สิ่งที่มู่ยู่วฉีคิดกับเธอ เธอดูไม่ออกเลยเหรอ?”
“ดูออกแล้วต้องยอมรับมันงั้นเหรอ? คำพูดนี้ดูไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไหร่เลยนะ”
ไม่รอให้ฉีฉีได้เป็นคนตอบ รุ่นพี่ก็ย้อนถามเย่ชูวเสวียกลับไปซะก่อน
รุ่นพี่ที่ไม่ได้เอ่ยปากพูดมาตั้งแต่ไหนแต่ไร อยู่ด้วยก็เหมือนไม่อยู่
แต่เมื่อเขาพูดขึ้น ทำให้บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาทันที
เย่ชูวเสวียเงยหน้าขึ้นมองรุ่นพี่ ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าดูอ่อนโยน อบอุ่น นิสัยดี แต่เมื่อมองลึกเข้าไปอย่างละเอียด จะพบดวงตาที่สัมผัสได้ถึงความเย็นชาและเย่อหยิ่ง
ในเมื่ออีกฝ่ายไม่สุภาพ เย่ชูวเสวียก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจเช่นกัน เธอยิ้มเยาะแล้วพูดกลับไป “ที่คุณพูดก็ถูก แต่พาแฟนมาอวดแฟนเก่าของเธอถึงที่นี่ ก็คงไม่ใช่มั้ง”
“ฉันไม่ได้คิดแบบนั้น เพียงแค่ฉีฉีนึกถึงความรู้สึกเก่าๆในอดีต อยากมาเจอมู่ยู่วฉี”
“งั้นคุณก็ไม่คัดค้านที่จะให้ฉีฉีไปดูมู่ยู่วฉีใช่ไหม?”
เย่ชูวเสวียคิดว่าตนเองกำลังจะเป็นฝ่ายชนะ แต่รุ่นพี่กลับพูดขึ้นอย่างไม่รีบร้อน “ฉีฉีมา ก็เพื่ออยากมาเจอมู่ยู่วฉี จะเข้าไปก็ไม่เป็นไร”
พูดจบรุ่นพี่ก็พยักหน้าให้กับฉีฉี “ฉีฉี ไปเถอะ”
แต่ฉีฉีกลับส่ายหน้า ด้วยสีหน้าท่าทางปฎิเสธ
“ฉันยังจะมีหน้าไปเจอมู่ยู่วฉีได้ยังไง? เขากลายเป็นแบบนี้เพราะฉัน”
“โง่ เธอเป็นคนบีบบังคับให้มู่ยู่วฉีเมาแล้วขับ? แค่ถูกเธอปฎิเสธสองสามคำก็อาการหนักถึงขั้นจะฆ่าตัวตาย ก็ไม่แปลกที่จะถูกหมาแมวที่ไหนแย่งผู้หญิงไปได้”
คำพูดของเย่ชูวเสวีย ยิ่งทำให้ฉีฉีอับอาย ความรู้สึกผิดต่อมู่ยู่วฉียิ่งเพิ่มมากขึ้น
และเย่ชูวเสวียเอง ขณะที่พูดออกไปก็จ้องรุ่นพี่เขม็ง ด้วยสีหน้าท่าทางและสายตายั่วโมโห
หนานกงเจารู้จักอารมณ์ของเย่ชูวเสวียดี บางทีคำพูดบางคำอาจทำให้ทะเลาะกันได้
ที่นี่คือโรงพยาบาล เรื่องเล็กๆน้อยๆไม่จำเป็นต้องทำให้ทุกคนรับรู้ จึงรีบไกล่เกลี่ย “อยู่ที่นี่ยังมีเวลาพูดอะไรกันอีกมาก เข้าไปเยี่ยมกันเลยดีกว่า”
“ก็ได้ ฉีฉีก็ต้องไป”
เย่ชูวเสีวยจ้องไปที่รุ่นพี่อย่างยั่วยุ เดินไปคว้าตัวฉีฉีแล้วเดินจากไป
ฉีฉีไม่อยากเข้าไป แต่เย่ชูวเสวียแข็งแกร่งมาก รุ่นพี่ก็ไม่ได้ช่วยเธอ สุดท้ายจึงถูกผลักเข้าไปในห้องผู้ป่วย
ช่วงเวลาที่ได้เห็นมู่ยู่วฉี ฉีฉีก็รีบปิดปากตนเองทันที
คำพรรณาทั้งหมด ไม่อาจบรรยายฉากน่าเศร้าที่เธอได้เห็นกับตาตัวเองได้
เช่นเดียวกับมู่ยู่วฉี เขาบาดเจ็บสาหัส เมื่อได้เห็นเขานอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง ลมหายใจโรยรินที่แทบมองไม่เห็น ไม่อาจทำให้คนที่พบเห็นยอมรับได้
ชายหนุ่มที่ชอบเที่ยวเตร่ไปทั่ว คนที่เวลายิ้มออกมาแล้วแพรวพราวเสียยิ่งกว่าแสงจากดวงอาทิตย์ ทำไมถึงมีสภาพเป็นเช่นนี้?
มู่ยู่วฉีในขณะนี้ ใบหน้าหายไปแล้ว ทั้งตัวถูกพันไว้ด้วยผ้าพันแผล ใบหน้าครึ่งหนึ่งของเขาบวมเบ่งขึ้นมาจนผิดรูป
ก่อนที่ยังไม่ได้เห็นสภาพของมู่ยู่วฉี ฉีฉียังมีความหวัง เธอหวังว่ามู่ยู่วฉีจะไม่ได้รับบาดเจ็บหนัก แต่ทั้งหมดนี้ เธอกำลังหลอกตัวเอง
แต่หลังจากที่ได้เห็นความจริง ภาพลวงตาที่สร้างขึ้นมาก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ชายหนุ่มที่นอนอยู่ตรงหน้า ชีวิตกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย เขาอาจจะ...
ไม่ไม่ไม่ เป็นไปไม่ได้ มู่ยู่วฉีเป็นตัวหายนะ เขาต้องอยู่ไปอีกร้อยปีพันปี!
น้ำตาไหลรินอย่างห้ามไม่ได้ ฉีฉีปิดปากตนเอง แล้วก้าวถอยหลังไป
เมื่อได้ยินเสียงเซี่ยอันน่าและเสี่ยวอวี้หลินจึงหันกลับไปมอง
เซี่ยอันน่ามองเห็นฉีฉี แต่สายตากลับมองข้ามไป
มองเข้าไปด้านในห้อง แล้วเอ่ยถามเย่ชูวเสวีย “คุณลุงคุณป้าอยู่ที่ไหนล่ะ?”
“กลับไปแล้ว”
“กลับไปพักผ่อนก็ดีแล้ว สองวันมานี่พวกท่านคงเหนื่อยมาก”
พูดคุยกับเย่ชูวเสวียเพียงไม่กี่ประโยค เซี่ยอันน่าก็จ้องมองไปยังฉีฉี “แกรู้เรื่องที่เกิดขึ้นไหม? ก่อนหน้านี้ที่ฉันโทรหาก็ไม่มีข่าวคราวอะไรเลย ฉันยังคิดว่าแกถูกลักพาตัวไปแล้ว!”
เย่ชูวเสวียมองไปยังรุ่นพี่ แล้วพูดขึ้น “ไม่ใช่ลักพาตัวหรอก แต่เป็น”
ฉีฉีดูเหมือนว่าจะไม่ได้ยินที่เย่ชูวเสวียกำลังพูดเยาะเย้ย จึงรีบพูดไปอย่างสุภาพ “ขอโทษที สองวันมานี่ฉันยุ่งมากๆ เลยเพิ่งหาเวลาว่างมาได้”
“ไม่ว่าจะยุ่งแค่ไหน ก็เจียดเวลามาไม่ได้เลยงั้นเหรอ”
“ฉัน…”
ก่อนที่ฉีฉีจะคิดหาคำตอบดีๆได้ เย่ชูวเสวียก็พูดขึ้นมาก่อน “คงจะยุ่งเพราะรักกันมาก จะมีเวลามาสนใจเราได้ยังไง เอาล่ะๆทุกคน เธอก็เหมือนกัน กลับไปได้แล้ว”
เหมือนเห็นเย่ชูวเสวียเอ่ยปากไล่ทุกคนอกไป ทุกคนก็ประสานเสียงร้องเรียกชื่อเธอทันที
“ชูวเสวีย!”
แต่ชูวเสวียก็ไม่เปลี่ยนความตั้งใจ ย้อนถามว่า “ฉันพูดผิดเหรอ? บางทีถึงคนอื่นจะมาที่นี่ หรือเราอยู่ก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ แม้กับแฟนของบางคน ยังเทียบไม่ได้”
“เอาล่ะ เธอเลิกพูดได้แล้ว”
“ทำไมจะพูดไม่ได้ พวกเธอดูฉีฉีตอนนี้สิ ผู้หญิงคนที่พวกเรารู้จักก่อนหน้านี้อยู่ที่ไหน? เธอ…”
เย่ชูวเสวียยังคงบ่นอยู่เช่นนั้น แต่สายตาของเซี่ยอันน่า กลับถูกสิ่งอื่นดึงดูดไป
สายตาจ้องมองอย่างถี่ถ้วน สีหน้าของเซี่ยอันน่าตื่นตระหนก กระตุกมือของเสี่ยวอวี้หลิน แล้วตะโกนว่า “ขยับ ขยับแล้ว!”
“อะไรขยับ?”
“มู่ยู่วฉีขยับนิ้วมือเมื่อกี้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนต่างตกใจ
เสี่ยวอวี้หลินที่ยังคงนิ่ง รีบกดกริ่งข้างเตียงเรียกคุณหมอในทันที
จากนั้นไม่นานคุณหมอก็เดินเข้ามาด้วยความหอบเหนื่อย ฉีฉีและรุ่นพี่รีบหลีกทางให้หลบไปด้านหลัง
เมื่อได้ยินที่เซี่ยอันน่าพูด แววตาของฉีฉีจ้องมองไปยังมู่ยู่วฉี หวังว่าเขาจะสามารถพลิกวิกฤตครั้งนี้ได้ ลุกขึ้นมานั่งได้อย่างแข็งแรง
ความวุ่ยวายที่อยู่ตรงหน้า เหมือนไม่ใช่ความจริง ราวกับว่าเป็นดั่งความฝัน
ถ้าเป็นไปได้ ฉีฉีอยากให้ทุกอย่างเป็นแค่ความฝัน ให้มู่ยู่วฉีที่อยู่ในฝันไม่เคยรู้จักตนเอง
รุ่นพี่มองใบหน้าด้านข้างของฉีฉีที่ซีดเผือด กุมมือเธอแล้วพูดเบาๆ “ฉีฉี เรากลับกันไปก่อนดีไหม?”
ฉีฉีไม่อยากไป ทุกอย่างฉายออกมาจากแววตาของเธอ
รุ่นพี่ที่มองการตัดสินใจของฉีฉีออก แต่เขากลับไม่เห็นด้วย “เราอยู่ที่นี่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ กลับกันจะกลายเป็นภาระเปล่าๆ”
เย่ชูวเสวียเห็นทั้งสองคนกระซิบกระซาบกัน จึงเอนตัวเข้าไปใกล้ ได้ยินรุ่นพี่ที่กำลังพูดโน้มน้าวฉีฉี
เย่ชูวเสวียหัวเราะขัดจังหวะขึ้นมา “ไม่อยู่รอคำตอบคงไม่ดีมั้ง ถ้าเกิดมู่ยู่วฉีไม่รอดขึ้นมา คุณจะได้กลับไปดื่มเฉลิมฉลองได้ทัน”
รุ่นพี่หันกลับมาจ้องมองไปยังใบหน้าเย้ยยันของเย่ชูวเสวีย แล้วพูดเบาๆ “อาการบาดเจ็บผมยังไม่หายดี คงดื่มไม่ได้”
“นาย…”
กลับเป็นอีกฝ่ายที่เป็นฝั่งชนะ เย่ชูวเสวียพูดไม่ออก จ้องเขม็งไปที่รุ่นพี่จนแทบคลั่ง
หนานกงเจาเข้ามาหยุดเย่ชูวเสวียได้ทันการณ์ ขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้นว่า “เงียบหน่อย จำเป็นต้องมาทะเลาะกันตอนนี้งั้นเหรอ?”
“ฉันก็ไม่ได้อยากเสียงดัง ผู้ชายคนนี้ต่างหากที่ไม่รู้จักผิดถูก!”
“ใช่ ผมมันไม่รู้จักผิดถูก ดังนั้นจึงไม่อยากอยู่ที่นี่ อยู่ในสายตาของพวกคุณ”
พูดแล้ว รุ่นพี่ก็คว้าตัวฉีฉีต้องการเดินออกไป
แต่ฉีฉีกลับไม่ขยับเขยื้อน สายตาของเธอเอาแต่จับจ้องไปที่มู่ยู่วฉี
การต่อต้านของฉีฉีทำให้เย่ชูวเสวียมั่นใจ ถือโอกาสส่งสายตายั่วโมโหไปให้รุ่นพี่อีกครั้ง
รุ่นพี่ไม่เห็นสายตายั่วโมโหนั้นของเย่ชูวเสวีย เขามองไปยังฉีฉีอย่างสิ้นหวังด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความทุกข์ใจ
หลังจากคุณหมอตรวจอาการเรียบร้อยแล้ว คุณหมอก็หันมาพูดกับทุกคน “ตอนนี้เราทำการตรวจคนไข้เรียบร้อยแล้ว ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงนะครับ”
เซี่ยอันน่าพูดขึ้นอย่างยากลำบาก “แต่เมื่อสักครู่นิ้วมือของมู่ยู่วฉีขยับแล้วนะคะ”
“นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ป่วยมีการตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นบางอย่าง พวกคุณควรทำต่อไป บางทีมันอาจเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยเอง”
“สิ่งกระตุ้น…”
เย่ชูวเสวียเงียบไปสักพัก จากนั้นดวงตาก็เบิกกว้างขึ้น จับมือฉีฉีแล้วพูดว่า “ฉีฉี มู่ยู่วฉีต้องได้ยินเสียงเธอแน่ๆ เขาอยากพูดบางอย่างกับเธอ จึงมีปฎิกิริยาตอบสนอง”
“ฉัน?”
“ใช่ๆ เธอนั้นแหละ! งั้นหลังจากนี้เธอต้องอยู่ดูแลมู่ยู่วฉี เธอเองก็หวังอยากให้เขาฟื้นตัวได้ในไม่ช้าไม่ใช่เหรอ?”
เมื่อได้ยินที่เย่ชูวเสวียพูด ทุกคนก็เข้าใจได้ทันทีว่าเธอหมายความถึงอะไร
ฉีฉีเกิดลังเล ทำอะไรไม่ถูก
รุ่นพี่ที่อยู่ยืนอยู่ข้างๆเธอขมวดคิ้วเล็กน้อย พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “พวกคุณกำลังบีบบังคับเธอ มู่ยู่วฉีจะฟื้นขึ้นมาหรือไม่ แล้วจะทำอะไรกับฉีฉี?”
“ก็เพียงแค่มิตรภาพก่อนหน้านี้ที่พวกเขามีต่อกัน นายจะอยู่ช่วยไม่ช่วยก็ได้ ฉีฉีไม่ได้เลือดเย็นเหมือนนาย เธอต้องอยู่แน่ๆ ฉีฉีเธอว่ายังไง?”
สายตาของเย่ชูวเสวียจ้องมองไปยังฉีฉี ริมฝีปากของเธอขยับเล็กน้อย แต่กลับไม่พูดอะไรออกมา
เย่ชูวเสวียรู้ว่าฉีฉีอยากอยู่ที่นี่ แต่เธอผ่านอุปสรรคที่อยู่ในใจไม่ได้ จึงพูดโน้มน้าวอีกฝ่าย “งั้นเธอทนดูมู่ยู่วฉีตายได้จริงๆใช่ไหม? หากเขาผ่านอุปสรรคครั้งนี้ไปไม่ได้ ถ้าเกิดเขาตายขึ้นมาจริงๆ”
เซี่ยอันน่าที่อยู่ข้างๆ ช่วยพูดอีกแรง “แม้ว่าแกจะไม่อยากอยู่กับมู่ยู่วฉี แต่ก็คงไม่อาจทนเห็นเขาตายได้โดยที่ไม่ช่วย ถ้ามู่ยู่วฉีตายเพราะเรื่องนี้จริงๆ หลังจากนั้นเธอจะไม่เสียใจงั้นเหรอ?”
เสียใจ และก็คงเสียใจไปตลอดชีวิต
ฉีฉีไม่อยากเสียใจกับเรื่องนี้ไปชั่วชีวิต และยิ่งไปกว่านั้นเธอไม่อยากให้มู่ยู่วฉีตาย
ฉีฉีเม้มริมฝีปาก เงยขึ้นมองไปยังรุ่นพี่
“รุ่นพี่?”
เวลานี้ฉีฉีมีคำตอบอยู่แล้ว ไม่ว่ารุ่นพี่จะพูดอย่างไร เธอก็ไม่เปลี่ยนใจ
รุ่นพี่ไม่ได้เป็นคนใจดำแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว เขายิ้มเบาๆ จากนั้นเอ่ยอย่างไม่เต็มใจว่า “ถ้าอยากอยู่จริงๆ ก็อยู่เถอะ ยังไงซะเรื่องนี้ก็คงไม่มีผลกระทบต่อความรู้สึกของเรา”
เมื่อเห็นว่ารุ่นพี่ไม่คัดค้าน ฉีฉียิ้มอย่างสดใส พยักหน้าแล้วพูดว่า “ค่ะ ฉันจะอยู่ต่อคอยดูแลมู่ยู่วฉี”
ตอนนี้ รุ่นพี่ได้แต่รู้สึกสงสารตัวเอง
คอยอยู่เป็นเพื่อนมาโดยตลอด แต่ยังไม่สู้ชายที่อยู่ในใจของเธอสินะ? เพียงแค่คอยดูแลคนป่วยคนหนึ่ง ก็ทำให้เธอมีความสุขได้
ความสุขที่มาจากก้นบึ้งของหัวใจ ไม่มีการเสแสร้งใดๆ ในทางตรงกันข้าม ตอนที่ฉีฉีอยู่ตัวเอง กลับคอยเจียมเนื้อเจียมตัวและสุภาพ
ทั้งสองมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน ชัดเจนโดยไม่ต้องพูด
ความโศร้าเศร้าที่อยู่ภายในใจ แต่รุ่นพี่กลับไม่ได้แสดงท่าทีใดๆออกมา
เย่ชูวเสวียที่อยู่ข้างๆ ไม่ปล่อยโอกาสที่จะได้เยาะเย้ย เธอเอ่ยขึ้นเบาๆ “ฉีฉีอ่า ไม่มีอะไรมากหรอก แค่อยู่กับเขาให้มากๆ พูดถึงเรื่องที่เขาชอบฟัง ส่วนคนที่ไม่เกี่ยวข้องก็ไม่ต้องมาที่นี่อีก จะได้ไม่ต้องทำให้มู่ยู่วฉีไม่มีความสุข”
คำพูดของเย่ชูวเสวียทำให้บรรยากาศรอบๆ อึดอัดขึ้นมา แต่รุ่นพี่กลับไม่ได้สนใจ พูดขึ้นอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ไม่เป็นไร ฉันจะรอที่ล็อบบี้โรงพยาบาล”
ผู้ชายคนนี้หน้าด้านจริงๆ
เย่ชูวเสวียขมวดคิ้ว พลางเอ่ยถาม “นายเจ็บอยู่ไม่ใช่เหรอ? ทำไมไม่ไปพักผ่อนล่ะ”
“หมาป่าหลายหัวกำลังจ้องอยู่ขนาดนี้ ฉีฉีเป็นแค่ลูกแกะน้อย จะหนีก็คงหนีไม่ได้”
อย่ามองว่าเป็นแค่น้ำเสียงที่อ่อนโยน แต่วาทศิลป์นั้นเฉียบคม การพูดเสียดสีคนอื่นเย่ชูวเสวียไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาจริงๆ
เมื่อได้ยินคำพูดของรุ่นพี่ ความโกรธในใจของเย่ชูวเสวียก็ทวีคูณขึ้นมาทันที พูดขึ้นเสียงดัง “นายกับฉีฉีรู้จักกันมานานแค่ไหน? เราทุกคนที่นี่เป็นเพื่อนของเธอ จะให้เล่นแง่กับเธอ คงเป็นเรื่องตลกสิ้นดี!”
“ตั้งแต่รู้จักกันไม่เคยเล่นแง่กับเธอจริงๆเหรอ?”
แววตาของรุ่นพี่ทำให้เย่ชูวเสวียกระวนกระวายอยู่ชั่วครู่ ดูเหมือนว่าความลับในใจจะถูกคนอื่นได้ล่วงรู้
เพื่อปกปิดความตื่นตระหนกของตนเอง เย่ชูวเสวียจึงตะโกนเสียงดังขึ้น “ที่เราทำทุกอย่างนี้ก็เพื่อฉีฉี!”
เมื่อเทียบกับความลนลานของเย่ชูวเสวีย น้ำเสียงของรุ่นพี่ยังคงเรียบราบเช่นเดิม ใช้คำพูดจี้จุดอ่อนของเธอ
“ในฐานะของคนที่คอยรักและทะนุถนอม ยิ่งต้องเจ็บปวด พวกคุณไม่ใช่คนคนนั้น รู้ได้ยังไงว่าเธอต้องการอะไร?”
เย่ชูวเสวียเม้มริมฝีปากแน่น กัดฟันพูดว่า “สมแล้วที่เป็นอาจารย์ ฝีปากดีใช้ได้”
“พวกคุณก็รู้จักผมดีแล้วหนิ แต่ไม่รู้ทำไม ผมยังคิดว่าพวกคุณกำลังสอบสวนผมอยู่”
“หึ แค่รายละเอียดของนายยังต้องสอบสวนอะไรอีก แค่ถามไปงั้นๆ…”
“ชูวเสวีย!”
เย่ชูวเสวียชะงักไป เมื่อรู้ว่าตัวเองพูดเผลอพูดอะไรไป จึงรู้สึดหงุดหงิดขึ้นมาทันที
เย่ชูวเสวียจ้องมองไปที่รุ่นพี่ พูดขึ้นอย่างโกรธเคือง “นายเล่นแง่กับฉันเหรอ?”
เมื่อต้องเผชิญกับคำกล่าวหาเช่นนี้ รุ่นพี่ยิ้มบางๆ แต่กลับไม่ได้ปฎิเสธ
ท่าทีของรุ่นพี่ ราวกับตบหน้าเย่ชูวเสวีย ทำให้เธอโกรธจนอยากจะฆ่าใครสักคน
เมื่อเห็นเย่ชูวเสวียกัดฟันกร่อด ฉีฉีจึงเอ่ยถามขึ้น
“พวกเธอ สอบเรื่องรุ่นพี่ทำไม?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ
ขอบคุณแอดค่ะ...สนุกค่ะ......
สนุก...