ไม่เพียงแค่นั้น จะปล่อยให้มู่ยู่วฉีพูดออกมาเองไม่ได้ เรื่องนี้ต้องคุยกับเขาล่วงหน้าก่อน อย่าให้หลุดปากพูดออกมา
เมื่อคิดเช่นนั้นในใจ เสี่ยวอวี้หลินก็กลับไปหามู่ยู่วฉีที่ห้อง
แต่เมื่อเข้าไปในห้อง กลับไม่เจอแม้ร่องรอยของมู่ยู่วฉี
“โธ่เอ๋ย คนไปไหนแล้วล่ะ?”
เสี่ยวอวี้หลินเดินออกมาจากห้องอย่างสงสัย ดึงพนักงานคนหนึ่งเข้ามาถาม “คนที่อยู่ในนี้เมื่อกี้ไปไหนแล้ว?”
“ออกไปแล้วครับ”
“ไปแล้ว?”
“ครับ ประมาณห้านาทีก่อน”
“แม่งเอ้ย!”
มู่ยู่วฉีดื่มไปเยอะขนาดนั้น ไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไร ตอนนี้เขาเปรียบเสมือนระเบิดเวลา ต้องหาเขาให้เจอแล้วพากลับมา
เมื่อเห็นว่าเสี่ยวอวี้หลินกำลังจะก้าวออกไป พนักงานจึงรีบคว้าตัวไว้ทันที “คุณผู้ชายครับ บิลนี้รบกวนชำระเงินด้วยครับ”
ล้อเล่นหรือเปล่าเนี่ย...
เสี่ยวอวี้หลินไม่ได้พูดอะไร จากนั้นรูดบัตรแล้วรีบเดินออกไป
เมื่อออกมาจากร้าน เสี่ยวอวี้หลินพยายามติดต่อมู่ยู่วฉี
แต่โทรศัพท์มือถือของมู่ยู่วฉีปิดเครื่อง รถก็ยังจอดอยู่ที่ลานจอดรถ อยากออกค้นหาเขา มันไม่ง่ายเลยจริงๆ
ในขณะที่เสี่ยวอวี้หลินกำลังหมดหนทาง ทางด้านมู่ยู่วหลินที่นั่งอยู่บนเครื่องบินส่วนตัว กำลังบินไปยังเมืองที่ฉีฉีอยู่เรียบร้อยแล้ว
มู่ยู่วฉีปวดหัวอย่างมาก มันขยายตัวขึ้น ราวกับกำลังจะระเบิด
ณ ตอนนี้ เขารู้สึกสับสน ไม่ชัดเจน แต่เพียงแค่รู้ว่าตัวเองต้องไปหาคนสำคัญคนหนึ่ง
เดินโซซัดโซเซมาที่ประตูบ้านของฉีฉี มู่ยู่วฉียกมือขึ้นเคาะประตู
ร่างกายไม่มีแรง มู่ยู่วฉียืนพิงกรอบประตู พลางพูดตะโกน “ฉีฉี ฉีฉีคุณมาเปิดประตูเดี๋ยวนี้ ผมมีเรื่องต้องคุยกับคุณ!”
“อย่าคิดว่าการไม่ส่งเสียงอะไรจะซ่อนตัวได้นะ คุณซ่อนตัวจากผมมานานขนาดนี้ ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะมารบกวนคุณ คุณต้องออกมาจากกระดองเต่านั้นซะ ออกมา!”
“ยังไม่พูดอีกเหรอ? งั้นในเมื่อไม่ส่งเสียงอะไร ผมก็พูดอยู่แบบนี้แหละ”
มู่ยู่วฉีหลับตาลง หัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “คุณน่ะ เป็นผู้หญิงที่โง่ที่สุดที่ผมเคยเจอมา โง่ ทำอะไรก็ไม่ได้เรื่องสักอย่าง คอยแต่ทำให้คนอื่นเป็นกังวลแทน แต่เรื่องที่คุณโง่สุดๆ ก็คือ คุณปฎิเสธผู้ชายดีๆอย่างผม คุณรู้ไหม พลาดจากผมไป คุณจะเสียใจไปตลอดชีวิต”
“และอีกอย่าง คนที่อยู่ในสายตาคุณ จริงๆแล้วก็ไม่ได้มีดีอะไร พลาดไปแล้ว แต่ถือว่าขยะนั้นเป็นสมบัติล่ำค่าแล้วกัน คุณคิดว่ารุ่นพี่ของคุณคนนั้นเป็นคนดีงั้นเหรอ? หึ! ไร้สาระเหมือนตดหมา! รอให้คุณได้ค้นพบความจริง คุณต้องร้องไห้แน่ๆ…”
มู่ยู่วฉีพูดยังไม่ทันจบ ก็มีคนเปิดประตูออกมาจากด้านใน
เมื่อประตูถูกเปิดออก มู่ยู่วฉีที่ร่างกายโอนเอนไปมา ก็เกือบล้มหัวคะมำ
ร่างกายทรงตัวไม่อยู่ มู่ยู่วฉีขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ และตะโกนว่า “จะเปิดประตูทำไม่บอกกันก่อน..”
มู่ยู่วฉีกะพริบตา พบว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าไม่ใช่ฉีฉี แต่กลับเป็นคุณพ่อและคุณแม่ของเธอ
พ่อแม่ของฉีฉีขมวดคิ้วจ้องมองไปยังชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา เสื้อผ้าหลุดลุ่ย เนื้อตัวเต็มไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์ ทำให้พวกเขาถึงขั้นต้องปิดจมูก
รวมถึงเรื่องไร้สาระที่เขาเพิ่งพูดไป ทำให้พ่อแม่ของฉีฉีมีความประทับใจแย่ๆเพิ่มมากขึ้น
เมื่อสมองได้สติขึ้นมาเล็กหน้อย มู่ยู่วฉีรู้ว่าตัวเองต้องพูดอะไรสักหน่อยเพื่อกู้สถานะการณ์
“คุณลุงคุณป้า เมื่อกี้คือผมไม่ทันระวังเองแหละครับ”
“พฤติกรรมของคุณ ลามปามมากเกินไปนะ” พ่อแม่ของฉีฉีไม่สุภาพต่อเขาเช่นกัน พูดขึ้นด้วยสีหน้าบึ้งตึง “ลูกสาวของฉันได้ตัดสินใจแล้ว ทางเลือกของเธอ ไม่ใช่นาย”
“ผม...ผมรู้”
“ในเมื่อรู้แล้ว ก็อย่ามารบกวนชีวิตพวกเราที่นี่อีก ถึงเราจะเป็นแค่ครอบครัวเล็กๆ แต่ก็ไม่ปล่อยให้ใครมารังแกได้หรอกนะ!”
“แต่ผมอยากเจอกับฉีฉีเป็นครั้งสุดท้าย ผมอยากคุยกับเธอ”
“ไม่จำเป็น ฉีฉีอยู่กับแฟน เธอมีความสุขมาก มันไม่สำคัญหรอกไม่จำเป็นต้องไปอธิบายกับเธออีก”
แฟน...
คำคำนี้ทำร้ายหัวใจของมู่ยู่วฉีอย่างมาก
เขาคิดว่าดื่มไปเยอะขนาดนี้คงทำให้ตัวเองไร้ความรู้สึกได้ แต่กลับไม่ใช่อย่างที่คิด ทั้งหมดนี้ไร้ประโยชน์ใดๆ
มู่ยู่วฉีไม่รู้ว่าเขาออกมาจากตรงนั้นได้อย่างไร เขาเหมือนศพเดินได้ เดินไปตามถนน
ทันใดนั้นมู่ยู่วฉีก็นึกขึ้นมาได้ ฉีฉีเคยบอกว่ารุ่นพี่คนนั้นได้รับบาดเจ็บเข้าโรงพยาบาล เช่นนั้นตอนนี้เธอคงจะอยู่ที่โรงพยาบาล?
เมื่อคิดเช่นนี้ มู่ยู่วฉีก็สั่งให้ลูกน้องไปตรวจสอบทันที ไม่นานก็รู้ว่ารุ่นพี่คนนั้นอยู่ที่โรงพยาบาลไหน
ตอนนี้ รุ่นพี่ที่ได้รับบาดเจ็บ ตามร่างกายส่วนใหญ่ดีขึ้นมากแล้ว สามารถเคลื่อนไหวไปไหนมาไหนได้ด้วยตัวเอง
แต่เขายังมีท่าทีเกียจคร้าน นอนพิงหมอน และคำพูดที่ดูอ่อนแรง
รุ่นพี่ไม่ได้แกล้งป่วย เขาเพียงแค่ชอบเห็นเวลาที่ฉีฉียุ่งตัวเป็นเกลียวเพื่อตัวเอง
ความรู้สึกที่ได้เติมเต็มนั้น ทำให้คนเราพึงพอใจได้เสมอ
และฉีฉีไม่รู้สึกว่าเขาอยู่ที่นี่ด้วยซ้ำ ช่วยปอกแอปเปิ้ลให้รุ่นพี่อย่างขยันขันแข็ง
หลังจากปอกแอปเปิ้ลเรียบร้อยแล้ว ฉีฉีก็ยื่นให้รุ่นพี่ “เสร็จแล้วค่ะ”
แต่รุ่นพี่กลับไม่รับแอปเปิ้ล แล้วพูดขึ้นว่า “ฉันอยากกินชิ้นเล็กๆ”
“อ่อ”
ฉีฉีหั่นแอปเปิ้ลเป็นชิ้นเล็กๆ วางลงไปในจาน แล้วยื่นให้รุ่นพี่
แต่รุ่นพี่ก็ยังไม่รับ “ทำไมไม่มีส้อมล่ะ?”
“รอเดี๋ยวค่ะ”
ฉีฉีไปเอาส้อมมาหนึ่งอัน ปักไว้บนแอปเปิ้ล แล้วยื่นจานให้รุ่นพี่อีกครั้ง
รุ่นพี่มองไปรอบๆจาน พยายามหาข้อตำหนิ “แอปเปิ้ลนี้เละเทะเกินไป เห็นแล้วกินไม่ลง”
ฉีฉีที่ถือจานอยู่ครุ่นคิด จากนั้นก็ใช้น้ำสลัดบีบเป็นรูปตัวSลงไปบนแอปเปิ้ล
รุ่นพี่เพียงแค่แกล้งฉีฉีเล่น คิดไม่ถึงว่าเธอจะไม่อารมณ์เสียเลยแม้แต่นิด กลับพยายามทำให้ถูกใจตนเองในทุกทาง
รุ่นพี่ยิ้มอย่างหมดหนทาง “ฉีฉี เธอดูอารมณ์ดีเกินไปนะ”
ฉีฉีที่กำลังบีบน้ำสลัด พูดขึ้นอย่างไม่ค่อยใส่ใจ “เรื่องแค่นี้ ทำไมต้องคิดเล็กคิดน้อยขนาดนั้น”
“เธอเป็นแบบนี้ จะถูกเอาเปรียบได้ง่ายๆนะ”
ฉีฉียิ้ม “คุณก็พูดเกินไป หั่นแอปเปิ้ลเรื่องเล็กน้อย เมื่อเทียบกับที่ต้องมีปัญหาเรื่องบุคลิกภาพ”
เมื่อเห็นว่าฉีฉีมักพูดนอกประเด็น รุ่นพี่ก็ส่ายศีรษะ พูดอย่างปลงๆ “เฮ้อ เธอนี้โง่จริงๆ”
ในคำพูดของรุ่นพี่มีความหมายลึกซึ้งแฝงอยู่ แต่ฉีฉีไม่ได้คิดไปไกลขนาดนั้น เธอเงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยถาม “คุณยังอยากกินอยู่หรือเปล่า แอปเปิ้ลดำหมดแล้ว”
รุ่นพี่ยื่นคอไปข้างหน้า “ป้อนฉันสิ”
“คำขอนี้มากเกินไป”
“รู้ว่าถึงต่อต้านไป ฉันคิดว่ายังไงเธอก็ต้องยอมทำมัน”
ฉีฉีถือจานอยู่จนเมื่อยมือ แต่รุ่นพี่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะรับมันไป
ฉีฉีดึงจานกลับมา จิ้มแอปเปิ้ลแล้วยัดเข้าปากตนเอง “เห็นว่าท่าทางคุณดีขึ้นมากคงไม่อยากกินแอปเปิ้ลแล้ว งั้นฉันกินมันเองแล้วกัน”
แอปเปิ้ลหวานมาก ฉีฉีค่อยๆรับประทานทีละชิ้น โดยไม่มีท่าทีว่าจะหยุดแต่อย่างใด
เมื่อเห็นว่าแอปเปิ้ลที่ตกเป็นของตัวเอง ถูกคนอื่นเคี้ยว รุ่นพี่ถอนหายใจอย่างเศร้าๆ มองฉีฉีที่สีหน้าไร้เดียงสาและเคี้ยวอย่างกระหาย
สายตาของรุ่นพี่ที่มองอย่างไร้เดียงสา ทำให้ฉีฉีที่รับประทานอยู่คนเดียวรู้สึกเหมือนเป็นอาชญากรรมร้ายแรง
ฉีฉีไม่มีทางเลือก เธอต้องคอยดูแลรุ่นพี่ “เอาล่ะๆ แบ่งให้ก็ได้”
รุ่นพี่รับแอปเปิ้ลมา แล้วยิ้มอย่างพึงพอใจ
“อืม ท่าทางของเธอแบบนี้ถ้าคุณนอกมองเข้ามา คงคิดว่าเธอกำลังทารุณคนป่วยอยู่แน่ๆ”
ฉีฉีพยายามโต้เถียงด้วยเหตุผล “ไม่ใช่ เห็นอยู่ชัดๆว่าคุณไม่อยากกิน ฉันไม่อยากให้เสียของทิ้งไปเฉยๆ ก็แค่กินมันอย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่ ไม่ใช่กำลังทรมานคนป่วยอยู่สักหน่อย”
“อ่อแบบนี้นี่เอง คำนี้ดูห่างเหินเกินไป ควรพูดว่าเธอกำลังทรมานแฟนของเธอ”
คำพูดนี้ทำให้ฉีฉีชะงักงัน ตัวแข็งทื่อ
อากาศเงียบลงในทันใด บรรยากาศเริ่มอึดอัดขึ้นมา
อย่างไรก็ตามผู้ที่เป็นคนเริ่ม กลับไม่ได้รู้สึกว่าตนเองทำอะไรผิด ยังคงกวักมือเรียกฉีฉี
“ฉีฉีนั่งลงสิ”
“ทำไม?”
“ก็มาว่ากินแอปเปิ้ลนะสิ ไม่งั้นจะให้กินเธอหรือไง?”
การหยอกล้อของรุ่นพี่ทำให้ฉีฉีทำอะไรไม่ถูก
“รุ่นพี่…”
รุ่นพี่ยิ้ม แล้วเอ่ยว่า “เอาล่ะๆ ไม่แกล้งแล้ว ฉันกระหายนิดหน่อยหนะ อยากกินแอปเปิ้ล”
ฉีฉีรู้จักกับรุ่นพี่มานาน เขาไม่ได้เป็นคนจริงจังเหมือนกับสีหน้าของเขา รุ่นพี่ชอบพูดหยอกล้อเสมอ บางครั้งก็ชอบแกล้งเล่น
แต่รุ่นพี่ก็จะคอยหาจังหวะดีๆ ไม่ทำให้คนอื่นรู้สึกลำบากใจ เช่นเดียวกับตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าถูกรุ่นพี่เอาเปรียบ แต่รอยยิ้มของเขากลับบริสุทธิ์ ไม่มีทางเสแสร้งได้
ฉีฉีถอนหายใจเบาๆ รู้สึกว่าตัวเองควรหาโอกาศตอบโต้กลับบ้าง ไม่งั้นคงถูกรุ่นพี่เอาเปรียบได้เสมอ
แต่เพียงแค่คิดว่าต้องใช้สมอง ฉีฉีก็รู้สึกเหนื่อยมากๆ และคิดว่าการรักษาสภาพที่เป็นอยู่นี่ก็ไม่เลวเท่าไหร่
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ฉีฉีก็ยื่นแอปเปิ้ลให้รุ่นพี่อย่างว่านอนสอนง่าย อดทนต่อความยากลำบาก
七七的息事宁人,让学长有一种无力感。
ท่าทีพยายามอดกลั้นอ่อนข้อเพื่อให้เรื่องสงบลงของฉีฉี ทำให้รุ่นพี่เหมือนถูกดูดพละกำลังไป
ยัยเด็กคนนี้ เมื่อก่อนเป็นเด็กที่มีชีวิตชีวา น้ำเสียงจีๆจาๆ ราวกับว่าไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
แต่ตอนนี้? อาการเซื่องซึม ทำให้คนที่พบเห็นรู้สึกเป็นทุกข์ขึ้นมา
รุ่นพี่ไม่ชอบเห็นท่าทางสิ้นหวังแบบนี้ของเธอ จึงตัดสินใจใช้กลอุบายเล็กๆน้อยๆ ให้ฉีฉีดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง
“เชื่อฟังแบบนี้ งั้นต้องให้ของขวัญตอบแทนแล้วล่ะ”
พูดแล้ว รุ่นพี่ก็จูบเบาๆ ลงไปที่หลังมือของเธอ
การกระทำของรุ่นพี่ ทำให้ฉีฉีตกตะลึง
“คุณ…”
ยังไม่ทันที่ฉีฉีจะพูดจบ รุ่นพี่ก็กระซิบที่ข้างหูเธอทันที ด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลน “เขาอยู่ข้างนอก”
ประโยคนี้ทำให้ฉีฉีสั่นไปทั้งตัว
ปฎิกิริยาของฉีฉี ทำให้รุ่นพี่เป็นกังวลและไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่
ตอนที่ยัยเด็กนี้อยู่กับตนเองบรรยากาศอึมครึมมาโดยตลอดไม่เคยมีปฎิกิริยาเช่นนี้ แต่เพียงแค่ได้ยินข่าวมู่ยู่วฉีเท่านั้น เธอก็ดูสดใสขึ้นมา
แม้ฉีฉีจะบอกว่าเธอไม่ได้สนใจมู่ยู่วฉี แต่การกระทำของเธอมากกว่าคำพูดเป็นพันคำ ในขณะนี้เธอกำลังขัดแย้งกับตัวเอง เธออยากเจอมู่ยู่วฉีจนแทบบ้า แต่กังวลว่าจะถูกจับได้
หรือว่า เพียงแค่แสร้งทำเป็นไม่ได้ตั้งใจหันกลับไปมอง?
เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัว ฉีฉีไม่อาจควบคุมมันได้ ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะหันกลับไป เธออยากเห็นหน้ามู่ยู่วฉี
แต่ทันทีที่ฉีฉีขยับตัว ก็ถูกรุ่นพี่ห้ามเอาไว้
“อย่าหันกลับไป อีกนิดเดียวก็จะสำเร็จแล้ว”
ฉีฉีกำมือแน่น ร่างกายแข็งทื่อ
เมื่อเห็นว่าฉีฉีกำลังต่อต้านกับตัวเอง คิ้วของรุ่นพี่ก็ขมวดอย่างห้ามไม่ได้ จากนั้นลดเสียงลงแล้วเอ่ยว่า “ฉีฉี ขยับเข้ามาใกล้หน่อย ซบลงที่ไหล่ของฉัน”
“ทำไม?”
“ทำแบบนี้ เพื่อทำให้เขายอมแพ้ไปในที่สุด ไม่ต้องมายุ่งกับเธออีก หมื่นพันคำพูดก็ไม่เท่ากับเห็นกับตาตัวเอง
ฉีฉีสับสนเล็กน้อย รุ่นพี่ไม่ได้บังคับเธอ เขารอมาตลอดรอจนกว่าฉีฉีจะยินยอม
ฉีฉีหลับตาลง ในที่สุดก็ซบลงบนไหล่ของรุ่นพี่
ไหล่จมลง รุ่นพี่รับรู้ได้ถึงน้ำหนักและความอบอุ่นของฉีฉี
แต่ในขณะนี้เขาไม่มีความสุขเลยสักนิด ตรงกันข้ามกลับยิ่งรู้สึกทุกข์ใจมากขึ้น
ริมฝีปากของเขาสัมผัสไปบนเส้นผมของฉีฉีเบาๆ ร่างกายฉีฉีแข็งทื่อขึ้นมาอีกครั้ง
แต่เธอยังคงรักษาตำแหน่งไว้ ไม่ได้ขยับหนี
รุ่นพี่มองไม่เห็นสีหน้าของฉีฉี แต่เขาเดาว่าตอนนี้ฉีฉีต้องกำลังอายมากแน่ๆ
เฮ้...
ไม่รู้ว่าผ่านไม่นานแค่ไหน รุ่นพี่ตบไหล่ฉีฉีเบาๆ “เอาล่ะ เขาไปแล้ว”
คำพูดนี้ทำให้ฉีฉีราวกับได้รับการนิรโทษกรรม รีบลุกขึ้นนั่งตัวตรงทันที และแอบเช็ดที่ตรงหางตา
ฉีฉีไม่กล้าเงยหน้ามองรุ่นพี่ น้ำเสียงแหบแห้งพูดขึ้น “ขอโทษค่ะ”
“ขอโทษทำไม?”
“ที่ใช้คุณเป็นโล่กำบัง”
“นี่ไม่ใช่หน้าที่ของฉันหรอกเหรอ? ฉันรู้จักตัวเองดีว่าควรอยู่ตรงไหน”
รุ่นพี่พูดเยาะเย้ยตัวเอง เพื่อให้ฉีฉีไม่ต้องรู้สึกอาย ยิ่งเขารู้จักสถานะตัวเองดีเช่นนี้ ยิ่งทำให้ฉีฉีรู้สึกเป็นหนี้ตัวเองมากขึ้น ดูเหมือนว่าชีวิตนี้จะยังไม่มีความชัดเจน
“รุ่นพี่...จริงๆแล้วคุณไม่จำเป็นต้องโทษตัวเองหรอก”
รุ่นพี่ยิ้ม “เธอรู้ได้ยังไง ฉันบอกว่าฉันผิดเหรอ? ทำไมล่ะฉันมีความสุขไม่ได้เหรอ?”
“ถูกคนอื่นใช้เป็นเครื่องมือ ใครจะมีความสุข”
“ฉันไง ฉันมีความสุขจะตาย แลกกับการได้อยู่เป็นเพื่อนเธอ ฉันคิดว่ามันคุ้มค่าที่จะต่อรอง”
ความอบอุ่นของรุ่นพี่ราวกับตาข่ายโปร่งแสง ฉีฉีติดกับอย่างแน่นหนา ไม่อาจดิ้นรนได้ ไม่มีทางหนีไปได้
ตอนแรกฉีฉียังต่อต้านได้ แต่ตอนนี้ เธอได้แต่ประจำอยู่ตำแหน่งเดิม ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามทางที่ควรจะเป็น
ไม่มีผู้ชายคนนั้นอยู่ข้างหลังเธออีกต่อไป ฉีฉีหันไปมองรอบๆเพื่อดูอย่างไม่อาย มองไปยังทิศทางที่เขาเพิ่งจะจากไป
ต้องดูแลรุ่นพี่ให้ดี ฉีฉีลุกขึ้นและเดินออกไปจากห้องผู้ป่วย
ตอนที่กำลังเดินผ่านมุมมุมหนึ่ง ทันใดนั้นก็มีฝ่ามือยื่นออกมา จับข้อมือของฉีฉีเอาไว้
“ช่วย…”
ทันทีที่ฉีฉีจะร้องตะโกน ปากก็ถูกใครบางคนปิดเอาไว้ จากนั้นก็ลากเธอเข้าไปยังมุมเล็กๆ
ชายคนนั้นเมามาก เสียงหายใจหอบหนัก ป้องกันฉีฉีไม่ยอมปล่อย
ฉีฉีหวาดกลัวอย่างมาก เธอคิดว่าตัวเองคงเจอกับพวกนักเลงเข้าแล้ว
เวลานี้ จะงอมืองอเท้ารอความตายไม่ได้ ต้องหาทางจัดการกับอีกฝ่าย
ฉีฉีดิ้นรนอย่างสิ้นหวัง แต่เมื่อคนที่อยู่ด้านหลังเรียกชื่อเบาๆ
“ฉีฉี…”
เมื่อได้ยินเสียงนี้ ฉีฉีถึงกับชะงักงัน
เขาคือ มู่ยู่วฉี!
เวลานี้ฉีฉีไม่อาจบอกได้ว่าตนเองรู้สึกเช่นไร เธออยากเจอมู่ยู่วฉี แต่ก็กลัวที่ต้องเห็นหน้าเขา
“นาย...ดื่มมาเหรอ?”
มู่ยู่วฉีไม่ได้ขยับ ราวกับว่าไม่เต็มใจที่จะปล่อยฉีฉี เขาต้องการดูดซับความอบอุ่นจากเธอ
เป็นเวลาเนินนาน จากนั้นมู่ยู่วฉีจึงเปิดปากพูด ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “เธอกับเขา คบกันจริงๆเหรอ?”
ฉีฉีเม้มริมฝีปาก พูดออกไปโดยไม่ลังเล “ใช่”
มู่ยู่วฉียิ้มเยาะเย้ยตัวเอง “รู้คำตอบอยู่แล้วยังจะถามอีก ถอดใจซะ ฉันกำลังทารุณตัวเองอยู่รึเปล่า?”
มู่ยู่วฉีดูไม่มีชีวิตชีวา ทำให้ฉีฉีทุกข์ใจอย่างมาก
แววตาของมู่ยู่วฉีที่ควรจะแพรวพราว จนทำให้ผู้คนอยากค้นหา ทำไมถึงตกต่ำเช่นนี้ได้เช่นนี้?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ
ขอบคุณแอดค่ะ...สนุกค่ะ......
สนุก...