แต่ฉีฉีก็เมินเฉยต่อความปรารถนาดีของรุ่นพี่ เธอยกมือขึ้นมากอดอก และขมวดคิ้วจองเขา
รุ่นพี่พูดอย่างสิ้นหวัง “พอแล้ว พี่รู้แล้วว่าไม่ควรปิดบังเรื่องที่ได้รับบาดเจ็บกับเธอ ขอโทษ”
“รู้ด้วยเหรอว่าทำไม่ถูก”ฉีฉีขมวดคิ้วแน่นขึ้น “พี่ไม่คุ้นกับชีวิตที่นี่ นอกจากฉันพี่ก็ไม่รู้จักใครอีก แถมพี่ยังไม่มีคนดูแล ในสถานการณ์อย่างนี้ ทำไมพี่ถึงไม่พูดอะไรเลย นอกจากจะไม่รับผิดชอบตัวเองแล้ว ยังไม่เชื่อใจฉันด้วย”
“ไม่รุนแรงขนาดนั้นมั้ง”
“รุนแรงขนาดนั้นแหละ”
เมื่อเห็นท่าทีจริงจังของฉีฉี รุ่นพี่ก็ยิ้มออกมาบางๆ “ที่จริงที่นี่มีหมอพยาบาล พวกเขาดูแลดีมาก ถ้าบอกเธอก็มีแต่ทำให้เธอตกใจ เป็นห่วงเปล่าๆ”
“แต่จิตใจของคนป่วยอ่อนแอที่สุด ต้องการคนอยู่ด้วยมากที่สุด”
“นี่เป็นประสบการณ์ของเธอใช่มั้ย”
ฉีฉีหลบสายตา “เรื่องพวกนี้ใครก็รู้อยู่แล้ว”
การหลบหลีกของฉีฉี ทำให้รุ่นพี่ถอนหายใจออกมา เขาก้มหน้าลง โดยไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
เพราะความรู้สึกผิด ฉีฉีจึงไม่อยากพูดถึงเรื่องพวกนี้อีก จึงพูดถึงเรื่องอาการบาดเจ็บขึ้นมา
“ทำไมพี่ถึงบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้”
รุ่นพี่ส่ายหน้าด้วยท่าทางไม่เข้าใจ “พี่ก็ไม่แน่ใจ พี่กำลังเดินอยู่บนถนน ก็มีคนห้าคนมาล้อมหาเรื่อง โดยไม่พูดอะไรสักคำ”
ฉีฉีงงงวยกับเรื่องนี้ “พี่เพิ่งจะมาที่นี่ ไม่น่าจะไปมีเรื่องกับใครได้ ทำไมคนพวกนั้นต้องมาหาเรื่องด้วย”
รุ่นพี่ยักไหล่ “ใครจะไปรู้ คนพวกนั้นอาจจะเห็นพี่แล้วขัดตามั้ง”
ฉีฉีพูดกับตัวเองว่า “เรื่องนี้มันแปลกเกินไป รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติ”
“พอแล้ว ไม่ต้องคิดถึงเรื่องนี้แล้ว พี่แจ้งตำรวจแล้ว ให้ตำรวจเป็นคนจัดการแล้วกัน”
รุ่นพี่แสดงออกอย่างใจกว้างมาก ในขณะที่ฉีฉีรู้สึกผิดไปทั้งใจ เธอก้มหน้าลง “อุตส่าห์มาพักผ่อนที่นี่ กลับเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ฉันรู้สึกขอโทษจริงๆ”
“เด็กโง่ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเธอเลย เธอจะมาขอโทษทำไม แถมฉันก็ดีใจมากเลยที่ได้อยู่โรงพยาบาล”
เธอเงยหน้าขึ้นมองรุ่นพี่เหมือนมองคนโง่ “พี่โดนตีจนโง่ไปแล้วหรอ อยู่โรงพยาบาลมันมีความสุขยังไง”
รุ่นพี่ไม่ได้อยู่ในอาการซึมเพราะอาการบาดเจ็บ
แต่เขากลับส่งยิ้มออกมาอย่างจริงใจ พูดกับฉีฉีว่า “พี่ไม่ได้โง่ แต่พี่รู้ว่าพี่ต้องเป็นอย่างนี้ ถึงจะทำให้เธอยอมอยู่ข้างพี่ด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่เอาแต่หลบหนีตลอดเวลา”
คำพูดของรุ่นพี่ทำให้ฉีฉีตะลึง
แม้ว่าฉีฉีจะคิดในแง่ดีมากแค่ไหน แต่เธอก็รู้สึกถึงความรักที่ส่งออกมาจากสายตาของรุ่นพี่
ตอนนี้เขาไม่ได้ปกปิดความรู้สึกอีกต่อไปแล้ว เขาต้องการคำตอบจากฉีฉี
แต่ฉีฉีก็หลบสายตาของเขา ไม่กล้าตอบ ได้แต่แกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ
แต่ครั้งนี้รุ่นพี่ไม่ให้โอกาสเธอได้หลบหนีอีกแล้ว ในเมื่อเธอแกล้งไม่เข้าใจ งั้นเขาจะบอกให้เธอเข้าใจเอง
“ฉีฉี เธอดูไม่ออกหรอว่าพี่ชอบเธอ”
ถึงฉีฉีจะรู้ว่ารุ่นพี่มีความรู้สึกดีๆกับเธอ แต่เมื่อได้ยินกับหูตัวเอง ก็ยังส่งผลกระทบไม่น้อย
“ฉัน...พี่...คือ....”
ฉีฉีต้องการจะพูดอะไรบางอย่างเพื่อคลายบรรยากาศที่ตึงเครียดลง
แต่สมองของเธอก็ว่างเปล่า พูดอะไรไม่ออกเลย
“พี่รู้ว่าใจของเธอยังมีมู่ยูวฉี”
เธอไม่มีอะไรจะพูด แต่รุ่นพี่มี
และคำพูดของเขาก็แทงใจดำ
แต่ฉีฉีก็ปากแข็งไม่ยอมรับ “ใครจะไปชอบคุณหยิ่งผยองแบบนั้นกัน ฉันไม่ได้ชอบเขา ไม่ชอบเลยสักนิด”
ยิ่งเธอพูดเสียงของเธอก็ดังมากขึ้น ในขณะที่เธอตอบรุ่นพี่อยู่นั้น เธอก็แอบเตือนตัวเองว่า อย่าไปเสียความรู้สึกกับคนที่ไม่เหมาะสมอย่างเขา
เมื่อเห็นท่าทางจิ้งจอกน้อยกำลังพยายามปกป้องศักดิ์ศรีของตัวเอง รุ่นพี่ก็หัวเราะและส่ายหน้า “ไม่ต้องหลอกตัวเอง มันไม่มีประโยชน์ เธอไม่มีทางเชื่อ พี่ไม่มีทางเชื่อ และมู่ยูวฉีก็ไม่มีทางเชื่อ ในเมื่อเธอไม่อยากคบกับเขา พี่ก็มีวิธีที่ทำให้เธอสามารถตัดใจได้ และหลังจากนี้มู่ยูวฉีก็จะไม่มายุ่งกับเธออีก”
คำพูดของรุ่นพี่ทำให้ฉีฉีใจเต้น เธอเบิกตากลมถาม “วิธีอะไร”
“ให้เขาปล่อยมือ ให้เธอเป็นคนหาวิธีจัดการที่ดีที่สุดเอง นั่นก็คือเริ่มความสัมพันธ์ที่แท้จริง”พูดแล้วคุณพี่ก็ตบอกตัวเอง “เธอดูสิ ผู้ชายที่โดดเด่นแบบพี่ เป็นตัวเลือกที่ไม่เลว เป็นคนที่ชอบเธอ และยังยอมให้เธอใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ ดีขนาดไหน”
รุ่นพี่แกล้งพูดอย่างผ่อนคลาย แต่ก็ยังสามารถจับความเศร้าลึกๆของเขาได้
ผู้ชายตรงหน้าเป็นคนที่โดดเด่นมาก เขาเหมาะกับผู้หญิงที่โดดเด่นเช่นกัน ถึงจะเรียกว่ากิ่งทองใบหยก เธอไม่รู้จริงๆ ว่าเขามาชอบเธอที่ตรงไหน
ปัญหานี้ทำให้ฉีฉีว้าวุ่นใจมาก จนอดไม่ได้ที่จะถาม “รุ่นพี่ ฉันถามอะไรหน่อยได้ไหม”
“แน่นอน”
“ทำไมพี่ถึงชอบฉัน ฐานะของฉันด้อยกว่ามาก เมื่อยืนอยู่ข้างพี่ พี่ก็ดูสูงศักดิ์กว่าฉันมาก”
“แต่พี่ชอบเธอ ชอบทุกอย่างที่เป็นเธอ แล้วพี่จะทำยังไงล่ะ”รุ่นพี่พูดอย่างจริงจัง “เธอดูเป็นคนฉลาด แต่บางครั้งก็ดูสับสนได้ ถ้ามีคนที่มาทำดีกับเธอเพียงแค่เล็กน้อย เธอก็จะรู้สึกประทับใจ และตกหลุมรักเขาได้ในทันที เรื่องพวกนี้ทำให้เธอถูกหลอกได้ง่ายมาก ถึงแม้ตอนนั้นพวกเราจะรู้จักกันได้ไม่นาน แต่พี่ก็ไม่อยากให้เธอรู้สึกเสียใจ จึงให้เธอมาอยู่ข้างๆ และเตือนเธออยู่ตลอด เมื่อทำอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ เธอก็เข้ามาอยู่ในใจของพี่ จะทำยังไงก็ไม่สามารถเอาออกไปได้”
รุ่นพี่พูดจบ เมื่อเห็นฉีฉีไม่พูดอะไรออกมา เขาจึงอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “พี่พูดมามากขนาดนี้ เธอจะไม่พูดอะไรหน่อยหรอ แค่พูดว่าขอบใจก็ยังดี”
“ขอบคุณค่ะ”
ปกติเธอดื้อมาก แต่ครั้งนี้กลับเชื่อฟัง ไม่รู้ว่าเธอจงใจหรือเปล่า
รุ่นพี่ถอนหายใจและพูดว่า “พี่แพ้ให้เธอจริงๆ”
ฉีฉีก็รู้สึกว่าคำตอบของเธอน่าตลกเช่นกัน เธอเกาหัวของตัวเอง ขมวดคิ้วและพูด “ตอนนี้ใจของฉันสับสน เรื่องนี้เกิดขึ้นกระทันหันเกินไป สมองฉันคิดไม่ทัน”
“เธอพูดถูก เธอโง่ขนาดนั้น เรื่องนี้มันเกินขอบเขตความสามารถของเธอ”
เมื่อกี้ยังสารภาพรักกับเธออยู่เลย ทำไมแค่แป๊บเดียวก็เริ่มโจมตีเธออีก นี่มันอะไรกันแน่
ฉีฉีขมวดคิ้วพูดอย่างไม่พอใจ “พี่ว่าใครโง่”
“ก็เธอที่กำลังพูดอยู่นี่ไง”รุ่นพี่ตอบอย่างแน่วแน่ เขาคิดไปถึงเรื่องในอดีต “ตอนที่ต้องเรียนชดเชย พี่รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้น่ารักมาก ทั้งมีความพยายาม และจิตใจดี ถึงแม้จะโง่ไปหน่อย ที่พี่แสดงออกไปขนาดนั้น แต่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าพี่คิดยังไงกับเธอ มีแต่เธอนี่แหละ ที่คิดอยู่ได้ว่าพี่ไม่ได้คิดอะไรเกินเลย”
วิธีการแสดงความรักของรุ่นพี่ลึกซึ้งมาก ไม่ทำให้คนฟังรู้สึกว่าถูกบังคับ แต่ยังรู้สึกถึงมิตรภาพที่ดี
แต่เมื่อเป็นความรู้สึกที่ลึกซึ้ง ก็ยังไม่สามารถเข้าไปถึงหัวใจของฉีฉีได้ มันยิ่งทำให้เธอรู้สึกอึดอัดขึ้นไปอีก
เธอก้มหน้าลง หลบสายตาของรุ่นพี่ “ฉันเชื่อในตัวพี่ ใครจะไปคิดว่า คนคนนี้จะแอบคิดอะไรเกินเลย”
“เพราะว่าเธอโง่ไง”
“เพราะว่าพี่มันเจ้าเล่ห์”
“โอเค พี่มันเจ้าเล่ห์ แล้วเธอจะลองคิดถึงคำแนะนำของพี่ไหม”
หัวข้อนั้นกลับมาอีกครั้ง ฉีฉีจึงถอนหายใจอย่างอ่อนใจ “แต่ฉันไม่คิดว่าเป็นวิธีการที่ดี”
“ไม่ลองแล้วจะรู้ได้ยังไงว่าดีหรือไม่ดี หรือเธอมีวิธีกำจัดไอ้หมาบ้านั้นได้ดีกว่านี้”
ฉีฉีส่ายหน้าอย่างหมดหนทาง “ตอนนี้ยังไม่มี”
“งั้นก็ฟังพี่ พวกเราแกล้งแสดงไปก่อน นานทีจะมีวันหยุด ฉันไม่อยากให้ถูกทำลายลงด้วยฝีมือของคนหยิ่งยโสพวกเราจะร่วมมือกัน แก้ไขปัญหาภายนอก แล้วเธอค่อยคิดถึงเรื่องของเราอีกที”
ฉีฉีมองไปที่รุ่นพี่ รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนไม่ดี ไม่สามารถตอบรับความรู้สึกของรุ่นพี่ได้ แถมยังจะใช้ประโยชน์จากเขา เธอร้ายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
เป็นอย่างที่รุ่นพี่พูด นอกจากวิธีนี้แล้ว เธอยังมีวิธีอื่นหรอ
“รุ่นพี่.....”
แค่มองตาของเธอ รุ่นพี่ก็รู้ว่าเธอกำลังจะพูดอะไร
แต่เขาก็ไม่ได้ปลอบโยนเธอ เขาพูดอย่างติดตลกว่า “ทำไม ซึ้งใจกับความใจกว้างพี่หรอ”
ฉีฉีก็รู้ว่ารุ่นพี่ไม่อยากบังคับตัวเอง มีบางอย่างที่ถึงตอนนี้แล้วก็ยังไม่สามารถพูดออกมาได้
ในเมื่อรุ่นพี่ไม่อยากทำลายความสัมพันธ์ ฉีฉีก็จะไม่เป็นคนพูดขึ้นมาก่อน เธอพูดด้วยรอยยิ้ม “พี่คิดมากเกินไปแล้ว ฉันอยากถามว่าตอนนี้พี่หิวไหม”
รุ่นพี่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยท่าทางเป็นทุกข์ และพูด “ฉีฉี เธอนี่เป็นนักกินจริงๆ ฉันกำลังคิดอยู่ว่า ถ้าฉันเป็นซาลาเปาเนื้อ เธอจะเลือกฉันไหม”
เมื่อเห็นสายตาล้อเลียนของรุ่นพี่ ที่พยายามปิดความรู้สึกไว้ ฉีฉีก็ได้แต่ยิ้มออกมาด้วยความลำบากใจ
ทำไมเธอถึงชอบรุ่นพี่ไม่ได้ ถ้าเธอชอบเขา เธอต้องไม่รู้สึกเจ็บปวดอย่างนี้แน่
คำพูดของรุ่นพี่นั้นถูก วิธีที่ดีที่สุดในการลืมช่วงเวลาหนึ่งไป ก็คือการเริ่มต้นความรู้สึกใหม่
เขาโดดเด่นขนาดนี้ เมื่อเวลาผ่านไปเธอจะเริ่มชอบเขาไหม
เมื่อเวลาผ่านไป ทุกอย่างก็จะเริ่มเลือนลางไป และในที่สุดเธอก็จะลืมมู่ยูวฉี ทำให้ชีวิตที่สงบสุขของเธอกลับมาอีกครั้ง
เธอเม้มริมฝีปากเบาๆ ดวงตาของเธอแสดงถึงความสับสน แต่ก็ยังมีความสดใสอยู่
.....
หลังจากพักฟื้นอยู่หลายวัน อาการบาดเจ็บของรุ่นพี่ก็ดีขึ้นมาก ผ้าก๊อซบนหน้าผากถูกถอดออกไปแล้ว ยังเหลือแค่ตรงใบหน้า ที่มีรอยฟกช้ำ
ทั้งสองคนจงใจหลีกเลี่ยงการพูดชื่อของคนคนหนึ่ง ราวกับว่าคนนั้นไม่เคยมีตัวตนอยู่ในชีวิตของพวกเขา
แต่ฉีฉีรู้ว่านี่เป็นเพียงการหลอกตัวเอง มู่ยูวฉีเหมือนลูกบอลที่อยู่ในทะเล ยิ่งพยายามกดลงไปเท่าไหร่ เขาก็จะยิ่งปรากฏขึ้นมามากเท่านั้น
แต่เมื่อพูดถึงผู้ชายคนนี้ ตอนนี้เขาก็เงียบไปมาก
หรือเขาจะถอดใจแล้วจริงๆ
เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้ ฉีฉีก็หายใจเข้าลึกๆ รู้สึกว่าก็ดีเหมือนกัน ที่ทั้งสองจะได้ไม่ต้องเกี่ยวข้องกันอีก
เธอพยายามข่มความรู้สึกแปลกๆในใจ ให้ยอมรับสภาพนี้ให้ได้
และขณะที่เธอกำลังจะทำได้สำเร็จนั้น เสียงโทรศัพท์ก็เข้ามาทำลายความสงบของเธอ
วันนี้รุ่นพี่ไปตรวจร่างกาย ฉีฉีจึงรออยู่ในห้องพักคนเดียว
ตอนที่เธอเบื่อ เธอก็จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอ่านข่าว แต่เพราะว่าเธอว้าวุ่นใจ ดังนั้นจึงอ่านอะไรไม่รู้เรื่อง
และภายใต้ความเงียบนั้น เสียงโทรศัพท์ของรุ่นพี่ก็ดังขึ้น
ฉีฉีเหลือบไปมองมัน และก็ไม่คิดจะสนใจ
สายนั้นดังขึ้นไม่หยุด ฉีฉีกลัวว่าจะมีเรื่องสำคัญ จึงรับสายแทนรุ่นพี่
“สวัสดีค่ะ”
เสียงจากปลายสายเป็นเสียงที่พูดอย่างเป็นทางการ “สวัสดีครับ จากสถานีตำรวจนะครับ เรื่องการลอบทำร้ายตอนนี้มีความคืบหน้าแล้วครับ ถ้าสะดวกสามารถมาให้การเพิ่มเติมที่โรงพักได้”
ฉีฉีถามอย่างรีบร้อน “พวกคุณหาตัวคนร้ายเจอแล้วหรอคะ”
“ตอนนี้ยังครับ แต่พวกเราเจอเบาะแสที่สำคัญ การจะหาตัวคนร้ายเจอ รอแค่เวลาเท่านั้น”
“เบาะแสอะไรคะ”
พวกเราจับคนที่ลงมือได้ เขาให้การสารภาพแล้วว่ามีคนสั่งให้ทำ แต่เขาไม่ยอมบอกว่าใครเป็นคนสั่ง พวกเรายังต้องการเวลาอีกหน่อย”
มีคนสั่งให้ทำหรอ
คำตอบนี้ทำให้ฉีฉีขมวดคิ้ว
รุ่นพี่มาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน เพิ่งรู้จักคนได้ไม่กี่คน เขาจำไปมีปัญหากับคนอื่นได้ยังไง และจากนิสัยของรุ่นพี่ เขาไม่ใช่คนที่จะไปหาเรื่องคนอื่น
ฉีฉีรู้สึกว่าเรื่องนี้แปลกมาก และคำพูดต่อมาของปลายสายก็ทำให้สายตาของฉีฉีหดลงอย่างรวดเร็ว
“ใช่แล้ว พวกคนร้ายเผลอหลุดปากออกมาว่าคนที่ว่าจ้าง พูดด้วยสำเนียงคนในเมือง มีเงิน ใจกว้าง และน้ำเสียงก็เต็มไปด้วยอำนาจ คุณลองคิดดูว่าเคยไปมีปัญหากับคนแบบนี้ไหม เผื่อจะมีเบาะแสอะไรบ้าง”
ในเมือง....มีอำนาจ....งั้นก็คือ....
เมื่อมีความสงสัยเกิดขึ้นในใจ มันก็หยั่งรากลึกอย่างรวดเร็ว กว่าเธอจะได้สติกลับมา เธอก็ได้เชื่อในสิ่งที่เธอตัดสินใจแล้ว
มู่ยูวฉีต้องเป็นคนลงมือแน่ รุ่นพี่ไม่คุ้นเคยกับคนที่นี่ มีปัญหากับมู่ยูวฉีคนเดียวเท่านั้น
ก่อนหน้านี้มู่ยูวฉีก็ได้ทิ้งคำขู่ไว้ ว่าจะสั่งสอนรุ่นพี่ เมื่อคิดดูดีๆแล้ว คนที่เป็นคนร้ายก็คือมู่ยูวฉีอย่างไม่ต้องสงสัย
ฉีฉีกำมือแน่นด้วยความโกรธ
เธอวางสาย หยิบกระเป๋าและรีบวิ่งออกไปจากห้อง
มู่ยูวฉีเงียบไปนานมาก บางทีเขาอาจจะกลับเมืองหลวงแล้ว
แต่ฉีฉีก็ยังอยากลองเสี่ยงดู ถ้าเธอเจอมู่ยูวฉี เธอจะสั่งสอนเขาให้ถึงที่สุด
ฉีฉีใช้ความโกรธเป็นกำลัง เคาะประตูอย่างรุนแรง “ปังๆๆๆ”เสียงเคาะทำให้ทุกคนตื่นตระหนก
แต่เคาะไปนานมาก ข้างในก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบมา ฉีฉีจึงคิดว่าผู้ชายคนนั้นไม่ได้อยู่ในบ้าน
และขณะที่เธอหันหลังไป ก็มีคนเปิดประตูออกมา
เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู เธอก็รีบหันหลังกลับมาด้วยความโกรธ
เมื่อเห็นสายตาของเธอที่มองมา มู่ยูวฉีก็ตกใจ และถามด้วยความไม่พอใจ “สายตาของคุณอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อกัน”
มู่ยูวฉีหาเรื่องฉีฉี ที่จริงเขาอยากสั่งสอนเธอ แต่ว่าที่บริษัทมีปัญหา ให้เขาต้องกลับไปจัดการด้วยตัวเอง
ดังนั้นสองวันมานี้เขาจึงไปจัดการบริษัท และเพิ่งมีเวลากลับมา คิดไม่ถึงว่าเมื่อกลับมา จะถูกเธอแสดงท่าทีอย่างนี้ใส่ ดังนั้นเขาจึงอดโกรธไม่ได้
“มู่ยูวฉีเป็นคุณจริงด้วย”
เมื่อถูกกล่าวหาอย่างนี้ มู่ยูวฉีก็ถามด้วยความแปลกใจ “อะไรเป็นผม”
“คุณไม่ต้องมาแกล้งโง่ รุ่นพี่ถูกตีจนต้องเข้าโรงพยาบาล คุณพอใจหรือยัง”
เมื่อได้ยินอย่างนั้นมู่ยูวฉีก็ยิ้มขึ้นมา “เขาถูกตีหรอ ฟ้ามีตาจริงๆ”
“คุณมีความสุขในความทุกข์ของคนอื่นได้ยังไง คุณยังมีความเป็นคนอยู่หรือเปล่า”
มู่ยูวฉียักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ “ผมเกลียดมัน มีความสุขในความทุกข์ของวันแล้วจะทำไม เพราะผมไม่ชอบมัน ก็เลยไม่อยากให้มันได้ดี”
“เพราะอย่างนั้นคุณก็เลยให้คนไปสั่งสอนเขาใช่ไหม”
สิ่งนี้ทำให้มู่ยูวฉีขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ “ถึงผมจะอยากทำอย่างนั้นมาก แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ผมจริงๆ”
“มู่ยูวฉีทำไมคุณกล้าทำไม่กล้ารับ”
“เรื่องนี้มันเกี่ยวกับกล้าไม่กล้ารับยังไง ในเมื่อมันไม่ใช่ผม ผมไม่จำเป็นต้องโกหกด้วยเรื่องเล็กน้อยอย่างนี้”
ท่าทางของมู่ยูวฉีจริงจังมาก แต่ฉีฉีก็ไม่เชื่อเขา สายตาของเธอเหมือนมองไปที่คนร้ายด้วยความรังเกียจ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ
ขอบคุณแอดค่ะ...สนุกค่ะ......
สนุก...