“อาหารมาแล้ว มาเร็วมาก”
ฉีฉีเดินไปตรงหน้ามู่ยู่วฉีและพูดเสียงดุ “อย่ามาแกล้งโง่กับฉัน รีบเอาของไปเร็ว”
“ทำไมต้องเอาของออกไป ของพวกนี้ผมตั้งใจซื้อมาเพื่อเป็นเกียรติกับคุณลุงและคุณป้า”มู่ยู่วฉีมองไปที่พ่อกับแม่ของฉีฉีด้วยความจริงใจ “เรื่องคราวก่อนเป็นเรื่องเข้าใจผิด หวังว่าคุณลุงกับคุณป้าจะให้โอกาสผมได้อธิบาย”
ท่าทางของพ่อฉีฉีสงบมาก “มีเรื่องเข้าใจผิดอะไร ถึงจะสมเหตุสมผลพอที่นายจะรังแกฉีฉี”
“ผมไม่ได้รังแกฉีฉี แต่เธอต่างหากที่รังแกผม”
ชี้นกเป็นไม้ ฉีฉีก็เพิ่งจะเห็นวันนี้แหละ
ฉีฉีไม่ได้โกรธ แต่หัวเราะออกมา และถามมู่ยู่วฉีว่า “มู่ยู่วฉีคุณพูดให้มันชัดๆนะ ฉันรังแกอะไรคุณ”
เมื่อถูกฉีฉีจ้อง มู่ยู่วฉีก็พูดอย่างไม่ได้กังวล “หลายวันก่อนคุณเกิดเรื่องที่โรงเรียน ไม่มีที่ให้ไป และผมก็เป็นคนช่วยคุณ ตอนที่คุณป่วย ผมก็ดูแลคุณ จนหายดี ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว จะไล่กันไปง่ายๆ ไม่เห็นแก่สิ่งที่ผมทำเลย คุณทำเกินไปหรือเปล่า”
คำกล่าวหาของมู่ยู่วฉีทำให้หน้าฉีฉีแดงสลับซีด
พ่อกับแม่ของฉีฉีก็ประหลาดใจเช่นกัน สุดท้ายพ่อของฉีฉีก็ถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันหรอ”
ฉีฉีรีบอธิบาย “ไม่ใช่ ยังมีชูวเสวี่ยด้วย เจ้าของร้านที่หนูไปทำงานพิเศษด้วย พวกเราสามคนอยู่ด้วยกัน”
ประโยคนี้ไม่พูดก็ดี พูดออกมาแล้วทำให้เรื่องสับสนมากขึ้นไปอีก
ขณะที่ฉีฉีกำลังจับแก้มยังกังวล รุ่นพี่ที่อยู่ข้างๆก็เปิดปากพูด
“คุณลุงคุณป้าไม่ต้องกังวล ผมเชื่อในตัวของฉีฉี เธอไม่มีทางทำอะไรเกินเลย”
เสียงที่อ่อนโยนของรุ่นพี่ช่วยปลอบโยนหัวใจของฉีฉี เธอรีบพยักหน้า และมองไปที่พ่อแม่อย่างคาดหวัง
จากนั้นรุ่นพี่ก็หันไปมองมู่ยู่วฉีด้วยอารมณ์ไม่พอใจ
“ถ้าเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น การไปอยู่บ้านเพื่อนเป็นเรื่องปกติ แต่ที่ฉีฉีเสียชื่อเสียงในตอนนี้ ไม่ใช่เพราะในฐานะเพื่อน”
“ใครบอกว่าพวกเราเป็นเพื่อนกัน”มู่ยู่วฉีก็ไม่ยอมเช่นกัน เมื่อพูดอย่างนั้นเสร็จเขาก็พูดประโยคหน้าตกใจอีก “เธอคือคนที่ฉันชอบ”
เมื่อได้ยินอย่างนั้นฉีฉีก็ตัวเกร็ง
เธอมองไปที่มู่ยู่วฉี และคิดว่าผู้ชายคนนี้ชอบหาเรื่อง....
เมื่อทุกคนตกใจกับคำพูดของเขา มู่ยู่วฉีก็พอใจมาก
ใช่ เขาต้องการผลลัพธ์แบบนี้ เขาอยากให้ทุกคนรู้ว่า ฉีฉีเป็นผู้หญิงของเขา
มู่ยู่วฉียกยิ้มเล็กน้อย และมองไปที่พ่อแม่ของฉีฉี “ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ของพวกนี้เป็นอาหารฝีมือเชฟระดับห้าดาว รสชาติอร่อยมาก ผมตั้งใจซื้อมาให้คุณลุงคุณป้า เพื่อเป็นการขอโทษเรื่องเมื่อสองวันก่อน ผมว่าพวกคุณก็คงไม่อยากให้ผมร่วมรับประทานอาหารด้วย ดังนั้นผมจะกลับก่อน ทานให้อร่อยนะครับ”
พูดจบมู่ยู่วฉีก็โค้งตัวให้ผู้ใหญ่ และเดินออกไป
มู่ยู่วฉีปิดประตูลงด้วยความเงียบเหงาและอ้างว้าง จนคนที่มองอดรู้สึกสั่นสะท้านในใจไม่ได้
ฉีฉีเหม่อไปแป๊บหนึ่ง หลังจากที่เขาปิดประตูแล้วเธอถึงได้สติกลับมา
เธอกดหัวใจที่เต้นแรงของตัวเอง และคิดว่า คิดในใจก็พอ จะบอกให้มันมาทำร้ายตัวเองทำไม
แต่เขาจะใช้วิธีไหนก็ใช้ไป เธอจะไปตื่นเต้น หน้าแดงทำไม ฉีฉีเธอต้องสงบสติอารมณ์
ฉีฉีแอบสงบสติอารมณ์ในใจ แต่ใจของเธอก็ยังเต้นแรงอยู่
ทันใดนั้นมือของเธอก็รู้สึกถึงความอบอุ่น ทำให้เธอตกใจ
เมื่อเงยหน้าขึ้น ตาของเธอก็เหมือนเห็นแสงระยิบระยับ ก่อนจะเริ่มสงบลง
รุ่นพี่พูดกับเธอ “พี่ดูแล้วในนี้มีซี่โครงด้วย เธออยากกินไม่ใช่หรอ มากินสิ”
ฉีฉีเม้มปากสีแดงของเธอ และพูดอย่างทะเยอทะยาน “ของพวกนี้มู่ยู่วฉีเป็นคนซื้อมา ฉันไม่อยากกิน”
“ถ้าเธอไม่กินก็เสียของสิ ถึงเธอจะโกรธมู่ยู่วฉี แต่อาหารอันโอชะพวกนี้ไม่ได้รู้เรื่องด้วย พี่ว่าพวกมันคงไม่อยากให้คนอย่างมู่ยู่วฉีซื้อหรอก”
“อืม อาจจะเป็นไปได้นะ”
“กองทัพต้องเดินด้วยท้อง พวกเราอย่าไปสนใจมู่ยู่วฉีเลย นั่งลงกินข้าวกันดีกว่า”
รุ่นพี่พูดจบก็กดไหล่ของฉีฉีลงให้เธอนั่งกินข้าว
จากนั้นรุ่นพี่ก็ใช้ปากช่างพูดของเธอ ชวนพ่อกับแม่ของฉีฉีมานั่งลง ชิมอาหารอันโอชะ เหล้ารสดี ดูแล้วเต็มไปด้วยความสุข
แต่ในความเป็นจริง ทุกคนกินอย่างไร้รสชาติ กินไปโดยไม่สนใจ
หลังจากกินข้าวเสร็จ ฉีฉีก็ไปทิ้งขยะกับรุ่นพี่
ที่ชั้นล่าง ฉีฉีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเรียกรุ่นพี่ไว้
“คือ ฉันกับมู่ยู่วฉีไม่มี....ไม่มี... ไม่มีอะไรกันในด้านนั้น”
“พี่เชื่อเธอ”
ฉีฉียังอยากพูดอะไรอีก แต่คิดไม่ถึงว่าเธอจะตอบรับ โดยที่เธอไม่ต้องพูดคำต่อจากนั้น
เมื่อเห็นฉีฉีมองตัวเองด้วยความงง รุ่นพี่ก็ลูบหัวเธอและพูดด้วยรอยยิ้ม “เธอทำอย่างนี้หมายความว่ายังไง”
“ฉันแค่คิดไม่ถึงว่าพี่จะเชื่อในตัวฉันขนาดนี้”
“เธอเป็นคนยังไง พี่เป็นคนตัดสินใจเอง ไม่ใช่ต้องไปฟังจากคำพูดของคนอื่น แล้วทำให้พี่มีอคติ”
ความไว้วางใจและการสนับสนุนของรุ่นพี่ ทำให้ฉีฉียิ้มออกมาอย่างขมขื่น
“ฉันโชคดีขึ้นทุกวัน ได้รู้จักกับทุกคน ได้รับการไว้วางใจ มันรู้สึกดีจริงๆ”
“เธอพูดอย่างนี้ อย่างกับว่ามีคนไม่เชื่อเธออย่างนั้นแหละ”
ฉีฉีหวนคิดไปถึงประสบการณ์ที่ไม่มีความสุขนั้น แล้วส่ายหน้า “เรื่องมันผ่านไปแล้ว ใช่สิ พรุ่งนี้เราจะไปเที่ยวที่ไหน”
“ก่อนที่พี่จะมา ได้ยินว่าแถวนี้มีสวนสาธารณะ และมีการจัดนิทรรศการศิลปะเป็นครั้งคราว และมีคนดังเข้าร่วมมากมาย พี่อยากไปดู”
“ฉันรู้จักสวนสาธารณะนั้น พรุ่งนี้พวกเราลองไปเสี่ยงดูว่าจะมีนิทรรศการไหม ถึงจะไม่มีนิทรรศการ สวนสาธารณะนั้นก็ยอดเยี่ยมมาก มีแต่คนไปถ่ายพรีเวดดิ้งที่นั่น”
“ดี”
ทั้งสองคนพูดคุยกัน พลางเดินกลับ โดยไม่รู้เลยว่ามีสายตาคู่หนึ่งมองทั้งสองคนจากชั้นบนลงมาอย่างเย็นชา
มู่ยู่วฉียอมรับว่าเขาประเมินผู้ชายคนนี้ต่ำเกินไป
แทนที่เขาจะยอมจำนนต่อฐานะของตัวเอง แต่เขาดันทุรังจะสู้ต่อ และดูเหมือนว่าจะมีผลลัพธ์ที่ดีด้วย
พูดตามความจริง มู่ยู่วฉีชื่นชมในความกล้าหาญของผู้ชายคนนี้มาก แต่ครั้งนี้เดิมพันคือผู้หญิงในใจของเขา เขาจึงไม่ยอมให้มีโอกาสเกิดขึ้นโดยเด็ดขาด
ดังนั้นผู้ชายคนนี้ ไม่ว่าจะโดดเด่นสักแค่ไหน ก็ต้องพ่ายแพ้ให้แก่เขา
.....
วันนี้เป็นวันจันทร์ ฉีฉีกับรุ่นพี่แค่มาลองเสี่ยงดู คิดไม่ถึงว่าจะมีนิทรรศการศิลปะจริง ทั้งคู่ดีใจมากราวกับถูกลอตเตอรี่
แต่ฉีฉีไม่มีความรู้เกี่ยวกับงานศิลปะเหล่านี้ ดูไปครู่เดียว เธอก็หมดความสนใจ
แต่รุ่นพี่กลับคุยกับนักวาดอย่างมีอรรถรสมาก ทั้งสองคุยกันด้วยความกระตือรือร้น
เมื่อเห็นรุ่นพี่มีความสุข เธอก็ไม่อยากขวางความสุขของเขา จึงได้แต่มองดอกบัวในสระเหม่อๆ
“ฉีฉีจะกินไอติมไหม”
ขณะที่เธอกำลังเบื่ออยู่นั้น เมื่อได้ยินคำว่าไอศครีม เธอก็กระตือรือร้นพยักหน้าทันที “เอาๆ”
รุ่นพี่ยิ้มพูด “งั้นรอตรงนี้ก่อน พี่จะไปซื้อมา”
“แต่พี่คุยอยู่ไม่ใช่หรอ”
“คุยกันแค่นิดหน่อยก็พอแล้ว พี่ไม่ทิ้งเธอเพราะคนอื่นหรอก”
น้ำเสียงของรุ่นพี่เหมือนกับมีแม่เหล็ก ทำให้คนฟังรู้สึกซึ้งใจ
แต่ฉีฉีก็เหมือนเป็นฉนวน เธอรู้ถึงความอ่อนโยนจากความรู้สึกของรุ่นพี่ ฉะนั้นเธอจึงต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ไม่ให้เกิดสนามแม่เหล็กขึ้น
เมื่อเห็นฉีฉีหลบสายตาของเขา รุ่นพี่ก็ไม่ได้พูดอะไร เขาลูบหัวเธอ และลุกไปซื้อไอศกรีม
ถัดจากร้านของหวาน มีผู้ชายคนหนึ่งยืนจ้องรุ่นพี่ด้วยสายตาไม่หวังดี
แต่รุ่นพี่ก็เหมือนมองไม่เห็น เขาซื้อไอศครีมสตรอเบอรี่สองอันเสร็จ ก็เดินจากไป
“ฉีฉีชอบรสช็อกโกแลตมากกว่ารสสตรอเบอรี่นะ”
รุ่นพี่หยุดเดินและหันกลับมา “ไม่ว่าจะรสไหน แค่ฉันเป็นคนซื้อ เธอก็ชอบ”
คำพูดของอีกฝ่าย ทำให้เกิดความโกรธขึ้นมาในใจของมู่ยู่วฉีได้สำเร็จ
เขากำมือแน่น ไม่อยากพูดไร้สาระกับผู้ชายคนนี้อีกเขาจึงพูดว่า “อยู่ให้ห่างจากฉีฉี แล้วฉันจะให้เงินแก”
รุ่นพี่หัวเราะ “หึ ในที่สุดแกก็พูดกับฉันอย่างนี้”
เสียงหัวเราะของเขาทำให้มู่ยู่วฉีขมวดคิ้วถาม “แกจะยอมรับไหม”
“แกคิดว่าไงล่ะ”
“ฉันว่าแกเป็นคนไม่เห็นโลงศพไม่หลังน้ำตา ถึงฉันจะให้เงินแกมากแค่ไหนแกก็ไม่สนใจ ไม่เป็นไร ฉันยังมีวิธีอื่นที่จะทำให้แกออกไปจากชีวิตของฉีฉี”
“งั้นแกก็ว่ามาสิมีวิธีอะไรดีๆ”
มู่ยู่วฉียกมุมปากขึ้น และพูดช้าๆ “เท่าที่ฉันรู้ พ่อแม่ของแกรักแกมาก ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับแก พวกเขาคงเสียใจมาก แล้วถ้าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาล่ะ แกก็คงจะเสียใจเหมือนกันใช่มั้ยล่ะ”
มู่ยู่วฉีกำลังขู่อย่างชัดเจน
และคำขู่ของเขาก็เป็นจุดอ่อนของรุ่นพี่ด้วย
แต่รุ่นพี่ก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบมาในทันที เขาแสดงสีหน้าดูถูก “หึ นี่คือวิธีที่แกคิดได้หรอ ไร้สมองจริงๆ”
แต่มู่ยู่วฉีก็ไม่สนใจ เขายักไหล่พูด “แค่ใช้ได้ก็พอแล้ว ฉันไม่สนใจวิธีการ”
“งั้นฉีฉีล่ะ แกก็ไม่สนใจหรอ ถ้าเธอรู้ว่าแกใช้วิธีไร้ยางอายแบบนี้ เธอก็จะอยู่ห่างจากแกมากขึ้น”
คำพูดของรุ่นพี่ทำให้มู่ยู่วฉีอึ้ง แต่ก็กลับมาอยู่ในสภาพปกติอย่างรวดเร็ว “เรื่องนี้แกไม่ต้องเข้ามายุ่ง ฉันมีวิธีจัดการของฉัน แกแค่ออกไปจากชีวิตฉันก็พอ”
“ถ้าฉันไม่ยอมล่ะ”
“ถ้างั้นก็อย่าหาว่าฉันใจร้ายแล้วกัน”มู่ยู่วฉีแสดงหน้าตาเสียใจ “พ่อของแกเป็นถึงนักวาดระดับประเทศ ถ้าไม่ได้ชื่นชมผลงานชิ้นเอกอย่างนั้นอีก ผู้คนมากมายคงเสียใจมาก”
มู่ยู่วฉีพูดพลางส่ายหน้าไปด้วย เหมือนกำลังรู้สึกเสียดายจริงๆ
“ไม่แปลกใจแล้ว นี่มันมู่ยู่วฉีจริงๆ ที่ฉีฉีไม่เลือกเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง”
“ไอ้สวะ แกว่าอะไรนะ”
มู่ยู่วฉีกำลังจะยกมือขึ้นชก แต่รุ่นพี่ก็หันหลังเดินจากไปอย่างไม่เร่งรีบ “ถ้าแกไม่กลัวว่าฉีฉีจะรู้เรื่องนี้ ก็รีบลงมือได้เลย”
คำพูดของรุ่นพี่ทำให้มู่ยู่วฉีหยุดมือลง เขามองตามหลังของรุ่นพี่ไปด้วยความโกรธ
มู่ยู่วฉีผู้สง่างามอย่างเขา ถูกเด็กหนุ่มเยาะเย้ยหรอ
และเรื่องพวกนี้ก็ต้องโทษฉีฉี เธอเป็นคนทำให้เขาอ่อนแอ
แต่ผู้หญิงคนนั้นกลับไม่รู้อะไรเลย แถมยังช่วยแทงมีดซ้ำเข้ามาในบาดแผลของเขา
มู่ยู่วฉีขมวดคิ้วมองไปตามหลังรุ่นพี่ และพูดด้วยความโกรธ “กล้าเหมือนกันหนิ ในเมื่อแกคิดว่าฉันกำลังล้อเล่นกับแก งั้นฉันจะเอาจริงให้ดู ให้รู้ว่าคนที่มากวนส้นตีนฉัน จะมีผลเป็นยังไง”
รุ่นพี่เดินกลับมาหาฉีฉี และยื่นไอศครีมให้เธอ
ฉีฉีรับมันไปอย่างมีความสุข แต่ก็แสดงท่าทีสงสัยออกมา
“เหมือนไอศครีมจะละลายไปแล้วนะ”
“อ๋อ พอดีตอนเดินกลับมาบังเอิญเจอเพื่อน เลยคุยกันนิดหน่อย มันเลยช้าไปนิด”
“ถ้ามาอยู่ที่นี่พี่ก็เจอคนที่รู้จักด้วย”
“เมื่อก่อนฉันเคยเรียนวาดรูป ได้รู้จักกับคนไม่น้อย บังเอิญเจอกันที่นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก”
ฉีฉีพยักหน้า “ที่พูดมาก็ถูก”
“รีบกินเถอะ เดี๋ยวจะละลายหมดแล้ว”
ฉีฉีกินไปสองคำและพูด “ช็อกโกแลตอร่อยที่สุด”
คำพูดของเธอทำให้รุ่นพี่ยกยิ้มขึ้นมา “กินช็อกโกแลตเยอะระวังด้วยนะ”
เมื่อพูดอย่างนั้นฉีฉีก็เปลี่ยนการตัดสินใจทันที “งั้นฉันกินสตรอเบอรี่ดีกว่า”
เมื่อเห็นท่าทางเชื่อฟังของฉีฉี คุณพี่ก็ยื่นมือออกไปบีบแก้มเธอ “ใช่ ต้องนุ่มนิ่มเหมือนสตรอเบอรี่ ถึงจะทำให้คนรัก”
“ไม่ต้องบีบแก้มฉันแล้ว มันป่องมากพออยู่แล้ว เดี๋ยวก็บวมหรอก”
“ไม่เป็นไร แค่ฉันเห็นว่าเธอน่ารักก็พอแล้ว”
รุ่นพี่มองไปที่ฉีฉีด้วยความเสน่หา
และสิ่งนั้นก็ทำให้ฉีฉีต้องถอนหายใจออกมาอย่างหมดหนทาง ท่าทางแบบนี้ของเขา ทำให้เธอรับมือไม่ได้จริงๆ
ผู้คนที่เดินผ่านไปมา เมื่อเห็นคู่หนุ่มสาวคู่นี้ โดยเฉพาะผู้ชายที่กำลังมองผู้หญิงด้วยความอ่อนโยน สายตาของเขาเต็มไปด้วยความเสน่หา ทำให้ทุกคนอดคิดไม่ได้ว่าช่วงวัยรุ่นช่างดีจริงๆ
ที่วาดข้างหน้ากำลังว่างอยู่พอดี รุ่นพี่จึงลากฉีฉีมาและพูดอย่างตื่นเต้นว่า “เดี๋ยวฉันวาดรูปให้เธอรูปนึง”
“พี่ว่าเป็นด้วยหรอ”
“ใช่ นั่งเร็ว อย่าขยับนะ”
รุ่นพี่กดไหล่ฉีฉีให้นั่งลงไป จากนั้นก็หามุมที่ดีที่สุดเริ่มลงเส้นวาดฉีฉี
ตอนที่เริ่มวาดฉีฉีรู้สึกสดชื่นมาก เธอจึงนั่งอย่างไม่ขยับ
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ตาของเธอก็เริ่มหนักขึ้น จึงสับผงกไม่หยุด
“เสร็จแล้ว”
อะไรเสร็จแล้ว
ฉีฉีเช็ดมุมปากของเธอด้วยความงง จากนั้นก็มองตรงไปข้างหน้า เมื่อเห็นหน้าของรุ่นพี่ เธอถึงเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้
เธอลุกขึ้นสะบัดแขนขา และเดินไปหารุ่นพี่ เพื่อมองภาพ
“ว้าว วาดได้ไม่เลวเลย สวยกว่าตัวจริงอีก”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ
ขอบคุณแอดค่ะ...สนุกค่ะ......
สนุก...