เธอไม่มีทางปล่อยให้ลูกรู้จักคน ๆ นั้นเป็นอันขาด และเป็นการดีที่สุดถ้าพวกเขาไม่รู้ถึงการมีตัวตนของกันและกันตลอดชีวิต
“อ่อ อย่างนี้นี่เอง” เสี่ยวเวยเวยกระพริบตาโต ราวกับว่าเขาได้เรียนรู้บทเรียนแล้ว จากนั้นพูดด้วยความคาดหวังเต็มเปี่ยมว่า “ผมรู้สึกดีใจที่ได้กลับไปยังที่ที่หม่ามี๊เติบโต แถมยังได้เจอเพื่อน ๆ ที่มีสีผิวเหมือนกับผม”
หลังจากพูดจบ เขาก็ดิ้นร่างเล็ก ๆ ของเขาเหมือนหนอนผีเสื้อ จากนั้นเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วมองดูฉินซูเพื่อยืนยันกับเธอว่า “หม่ามี๊ว่าไหมครับ?”
ฉินซูสะดุ้งเล็กน้อย
เมื่อเห็นแววตาของลูกชายเต็มไปด้วยความไร้เดียงสาและความปรารถนา เธอก็รู้สึกผิดในใจ
ลูกชายเติบโตในต่างประเทศตั้งแต่เด็ก เพื่อนรอบข้างล้วนเป็นเด็กต่างชาติที่มีผิวขาว และมีผมสีบลอนด์ เป็นเพราะความแตกต่างระหว่างผิวสีเหลืองและผมสีดำ จึงทำให้เขาไม่สามารถเปิดใจและเล่นกับเด็กคนอื่นได้
ตอนนี้ลูกชายอายุได้ 3 ขวบแล้ว และยังอยู่ในกระบวนการพัฒนาบุคลิกภาพ
เดิมทีที่เธอตัดสินใจไปต่างประเทศเพราะสถานการณ์บีบบังคับ
เวลาผ่านไปสามปีแล้ว หากสถานการณ์ในประเทศเป็นไปด้วยดี เธอก็ควรพาลูกกลับไปยังบ้านเกิด เพื่อเห็นแก่การเติบโตของลูกหรือเปล่า...
ฉินซูกำลังครุ่นคิดปัญหานี้ และไม่รู้ว่าเด็กชายตัวน้อยในอ้อมแขนผล็อยหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาหายใจทางปากอย่างสม่ำเสมอ
เธอห่มผ้าห่มให้เขาเบา ๆ แล้วผล็อยหลับไปข้าง ๆ เขา
วันถัดมา
ฉินซูเก็บสัมภาระง่าย ๆ และเดินทางไปสนามบิน หลังจากที่ฉินเวยเสร็จสิ้นการรักษาครั้งสุดท้ายเพื่อชะลอภาวะไตวาย
เพื่อนร่วมงานจากโรงพยาบาลต่างพากันมาร่วมอำลาสองแม่ลูก พร้อมส่งคำอวยพร และหวังว่าฉินซูจะทำสำเร็จทุกประการ เสี่ยวเวยเวยสามารถกลับมามีสุขภาพแข็งแรงโดยเร็ว
แม้ว่าเสี่ยวเวยเวยจะไม่ค่อยเล่นกับเด็กวัยเดียวกันมากนัก แต่เขาก็เข้ากับผู้ใหญ่ในโรงพยาบาลได้ด้วยดี แถมยังเป็นเด็กน้อยที่ชื่นชอบในสายตาของเจ้าหน้าที่ทุกคน
ดวงตาของทิฟฟานี่แดงก่ำ และเธอพูดอย่างเป็นห่วงว่า “เธอเป็นคนที่นั่งเครื่องบินก็กลัวความสูง แล้วยังจะพาเสี่ยวเวยเวยกลับไปแบบนี้อีก ช่างไม่น่าไว้วางใจเลย! ถ้าหากว่าฉันกลับไปกับเธอได้ก็คงจะดี”
ฉินซูยิ้มแห้ง “เรื่องมันผ่านไปนานแล้ว ตอนนี้ฉันเอาชนะมันได้แล้ว โอเคไหม?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วุ่นรักวิวาห์ลวง
ติดตามอ่านมาตลอด จะกรุณาอัพโหลดบทให้จบเรื่องได้มั้ยคะ...