ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ นิยาย บท 590

ชี่กุ้ยเฟยโน้มตัวไปหาเขา ทำท่าเหมือนกำลังฟังอยู่ “ฮ่องเต้ ท่านมีอะไรจะพูดกับองค์ชายทั้งหลาย ก็บอกหม่อมฉันได้ หม่อมฉันจะบอกแทนท่านเอง”

นางหันหลังให้กับผู้คน มีเพียงกู้จิ่งซานเท่านั้นที่สามารถมองเห็นความเย่อหยิ่งและความพึงพอใจบนใบหน้าของชี่กุ้ยเฟยได้ในเวลานี้

กู้จิ่งซานโกรธเจียนตายแล้ว แต่เขาก็รู้ว่า ตัวเองนั้นหมดทางเยียวยาแล้ว หากกู้โม่เฟิงฉลาดพอ บางทีเขาอาจจะเห็นอะไรบางอย่างในตอนนี้ แต่กู้โม่เฟิงไม่ใช่กู้โม่หาน

“เจ้า สมควรตาย ข้า ไม่ปล่อยพวกเจ้าไปแน่ เจ้า เจ้าสาม เจ้า อย่าให้ถูก สตรีนางนี้ หลอกเอา…”

เมื่อชี่กุ้ยเฟยได้ยินคำด่าทอของกู้จิ่งซาน และเสียงร้องขอความช่วยเหลืออย่างน่าสงสาร ก็แสร้งทำเป็นพยักหน้าอย่างซาบซึ้ง

จากนั้นชี่กุ้ยเฟยก็ร้องไห้บอกทุกคนว่า “ฝ่าบาทตรัสว่า หลังจากที่พระองค์จากไป จะเหลือพวกท่านพี่น้องไม่กี่คน พี่น้องต้องคอยประคับประคองกันและกัน ต้องไม่มีการต่อสู้แย่งชิงทั้งที่เปิดเผยและหลบซ่อน ห้ามต่อสู้แย่งชิงเพื่อชื่อเสียงและความมั่งคั่งจนเลือดตกยางออก”

องค์ชายสิบทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้น ร้องไห้หนักยิ่งกว่าเดิม “เสด็จพ่อ ท่าน ท่านจะทิ้งเราไปไม่ได้ ท่าน ท่านยังหนุ่ม ทำไมถึง...”

กู้โม่หลิงปลอบโยนองค์ชายสิบ แล้วมองไปที่ชี่กุ้ยเฟยด้วยสีหน้าโกรธแค้นสุดขีด

“เสด็จแม่ ลูกเชื่อว่า ต่อไปในภายภาคหน้าพี่น้องเราจะรักกัน ไม่ทำให้เสด็จพ่อผิดหวัง”

กู้โม่เฟิงเม้มปาก นิ่งเงียบไม่พูดจา

ชี่กุ้ยเฟยชำเลืองมองกู้โม่เฟิง ก้มหน้าแสร้งทำเป็นฟังกู้จิ่งซานพูดต่อไปเงียบๆ

กู้จิ่งซานทั้งโกรธและร้อนใจ พยายามตะเบ็งเสียงให้ดังขึ้น แต่ก็หมดเรี่ยวแรง ปริ่มว่าจะขาดใจ

“เจ้า เจ้าสาม! หนี หนี ไป...”

ชี่กุ้ยเฟยแสร้งทำเป็นประหลาดใจทันที จากนั้นก็พูดอุทานเสียงสูง “ฝ่าบาท ท่านว่ายังไงนะเพคะ?”

“ท่านต้องการยกราชสมบัติให้กับเจ้าเจ็ดหรือ?”

เฟิ่งกงกงหยิบหนังสือสละราชสมบัติปลอมออกมา แล้วมอบให้นางชี่กุ้ยเฟย

“กุ้ยเฟยเหนียงเหนียง นี่คือหนังสือสละราชสมบัติที่ฝ่าบาทเขียนขึ้นเมื่อครู่”

ชี่กุ้ยเฟยแสร้งทำเป็นได้รับเกียรติอย่างใหญ่หลวง รับหนังสือสละราชสมบัติ แล้วคุกเข่าลงข้างเตียงของกู้จิ่งซาน

“ถ้าอย่างนั้น หม่อมฉันขอบพระทัยฝ่าบาท! หม่อมฉันเชื่อว่า เจ้าเจ็ดจะไม่ทรยศต่อความรักของท่านแน่นอน!”

กู้โม่หลิงตกตะลึง มองไปที่กู้จิ่งซานที่อยู่บนเตียง “เสด็จพ่อ?”

องค์ชายสิบหยุดร้องไห้ มองดูทุกอย่างอย่างไม่เชื่อสายตา

เหตุใดอยู่ดีๆ เสด็จพ่อถึงสละราชสมบัติให้พี่เจ็ด?

พี่หกต่างหากที่เป็นไท่จื่อ!

กู้โม่เฟิงขมวดคิ้ว แล้วถามตรงๆ “ช้าก่อน เสด็จพ่อกำหนดตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือว่าให้น้องหกเป็นไท่จื่อ? ทำไมจู่ๆ เขาก็เปลี่ยนความตั้งใจยกราชสมบัติให้น้องเจ็ดแทน?”

“ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าสถานการณ์ของเสด็จพ่อในตอนนี้จะไม่ดี แต่ด้วยทักษะทางการแพทย์ของไท่จื่อเฟยก็อยู่ในจุดสูงสุด อาการป่วยของเสด็จพ่อ บางทีนางอาจจะมีทางช่วยได้”

“ก่อนอื่นให้ประกาศไท่จื่อและไท่จื่อเฟยเข้าวังก่อนเถอะ แล้วค่อยคุยเรื่องสละราชสมบัติ ท่านว่ายังไง?”

กู้โม่หานและหนานหว่านเยียนอยู่ในฐานะไท่จื่อและไท่จื่อเฟยล้วนไม่มีใครอยู่ ก็จะสละราชสมบัติแล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่ชอบมาพากล!

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ชี่กุ้ยเฟยก็หันไปมองกู่โม่เฟิง

“เฉิงอ๋อง ข้ารู้ว่าท่านมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเจ้าหก เป็นพี่น้องที่มีหัวใจเดียวกันเสมอ แต่ในช่วงเวลานี้ท่านหน้าจะมองออก ฝ่าบาทป่วยหนัก ชื่นชมเจ้าเจ็ด ไม่อย่างนั้นคงไม่เลื่อนตำแหน่งให้ แม้กระทั่งเลื่อนพิธีมอบบรรดาศักดิ์ให้อี้อ๋องออกไปเพื่อการแต่งงานของเจ้าเจ็ด”

“นอกจากนี้ ทักษะทางการแพทย์ของหนานหว่านเยียนนั้นเยี่ยมยอดก็จริง แต่ตอนนี้บรรดาหมอหลวงได้บอกแล้วว่า ฝ่าบาทกำลังป่วยหนัก แม้ว่านางจะมาถึงในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญนี้ ก็อาจไม่ทันเวลา ฝ่าบาทได้เตรียมการพร้อมล่วงหน้า จึงเขียนหนังสือสละราชสมบัติขึ้นมา ยังมีอะไรต้องสงสัยอีกหรือ?”

คำพูดของชี่กุ้ยเฟยนั้นไม่มีจุดบกพร่อง ทำให้กู้โม่เฟิงพูดไม่ออก

ในขณะที่เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง จู่ๆ กู้โม่หลิงก็คุกเข่าลงต่อหน้ากู้จิ่งซานด้วยสีหน้าโศกเศร้ามาก

“เสด็จพ่อ ลูกเข้าใจแล้ว หลายวันมานี้ท่านให้ข้าไปค่ายเสินเชื่อก็เพื่อฝึกฝนจิตใจและพละกำลัง”

“เมื่อก่อนลูกไม่เคยคิดว่าจะมีวันนี้ ในใจคิดแค่อยากอ่านหนังสือปราชญ์เท่านั้น แต่การมอบหมายหน้าที่สำคัญทำให้ลูกเข้าใจ ที่แท้เสด็จพ่อก็ต้องการให้บรรดาลูกๆ เอาชนะภยันตราย”

“ลูกทราบดีว่าความสามารถของตัวเองสู้พี่หกไม่ได้ ไม่มีความสามารถในการนำทัพออกรบ แต่ลูกก็มีความสุขและภาคภูมิใจมากที่ได้รับการชื่นชมจากท่าน แต่ทำไม ต้องเป็นในเวลานี้ ลูกยังอยากได้รับการยอมรับจากท่านมากขึ้น…”

ทุกคำทุกประโยคของกู้โม่หลิงไม่ได้กล่าวถึงการสืบทอดตำแหน่งเลย แต่กำลังต่อสู้เพื่อบัลลังก์ของตัวเขาเอง

กู้จิ่งซานเงี่ยหูฟังอยู่บนเตียง โกรธมากจนกระอักเลือดออกมาอีกคำหนึ่ง

เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่า เจ้าเจ็ดที่ดูไม่มีพิษมีภัยและรับมือได้ง่าย ก็ไม่ใช่คนดีอะไรเลย

ยิ่งกว่านั้นชี่กุ้ยเฟยซึ่งเป็นผู้หญิงตัวคนเดียว ไม่มีทางควบคุมและเปลี่ยนแปลงกองกำลังมากมายในวังได้ด้วยตัวคนเดียว แต่กู้โม่หลิงต้องจงใจปลูกฝัง ในเดือนนี้เขาได้รับอนุญาตให้โยกย้ายทหารองครักษ์ต้องห้ามในวังได้อย่างอิสระ นี่มันชักศึกเข้าบ้านชัดๆ!

เมื่อเห็นเช่นนี้ชี่กุ้ยเฟยก็รีบพูดว่า “เจ้าสาม ท่านอย่าโกรธเสด็จพ่อของท่านเลย ดูสิ เสด็จพ่อของท่านโกรธท่านจนกระอักเลือดออกมาอีกแล้ว ทำตามที่เสด็จพ่อของท่านบอก หากมีข้อสงสัยเรื่องหนังสือสละราชสมบัติ ก็ให้ทุกคนได้เห็น จะได้ไม่ต้องมีใครสงสัยอีก”

พูดจบ ชี่กุ้ยเฟยก็ส่งต่อหนังสือสละราชสมบัติ

เมื่อทุกคนได้ดูพระราชโองการแล้ว ก็พากันตกตะลึงอ้าปากค้าง

ไม่ว่าจะเป็นลายมือและตราประทับหยก ล้วนเป็นลักษณะการเขียนของกู้จิ่งซาน ดูเหมือนว่า ฮ่องเต้ต้องการให้กู้โม่หลิงได้ขึ้นครองบัลลังก์แน่แล้ว!

สีหน้าชี่กุ้ยเฟยดูสงบนิ่ง ความภาคภูมิใจในแววตาแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ

ในขณะที่ทุกคนกำลังจะยอมรับคำสั่งและคุกเข่าให้กู้โม่หลิงนั้น จู่ๆ กู้โม่เฟิงก็ตะเบ็งเสียงถามขึ้นทันที “ข้าจำได้ว่า สีของตราประทับหยกนั้นเป็นสีแดงชาดเสมอ แต่ทำไมสีตราประทับบนหนังสือสละราชสมบัตินี้กลับเป็นสีแดงไห่ถางล่ะ?”

อะไรนะ?

ตราประทับเป็นสีแดงไห่ถาง?!

ทันใดนั้น สายตาของทุกคนถูกดึงดูด พากันมองไปที่มุมขวาล่างของหนังสือสละราชสมบัติในมือของชี่กุ้ยเฟย มันเห็นได้ชัดเจน เป็นสีแดงอมม่วงเล็กน้อย

ชี่กุ้ยเฟยยังมองไปที่สีของตราประทับโดยไม่รู้ตัว ทันใดนั้นเหงื่อก็แตกพลั่ก

บัดซบ กู้จิ่งซานล่อนางมาติดกับ!

แต่ก่อนที่นางจะทันได้ตอบโต้ กู้โม่เฟิงก็ยิ้มเยาะ

“กุ้ยเฟยเหนียงเหนียง ท่านคงไม่ได้ ปลอมแปลงราชโองการใช่ไหม?”

คำถามของกู้โม่เฟิงทำให้บรรยากาศในปีกตำหนักตึงเครียดขึ้นมาอย่างไม่ต้องสงสัย

ทุกคนมองไปที่ชี่กุ้ยเฟย แล้วมองไปที่กู้จิ่งซานบนเตียงอีกครั้ง บรรยากาศเงียบสงัด

ชี่กุ้ยเฟยยืนอยู่กับที่ด้วยความตกตะลึง มือที่ถือหนังสือสละราชสมบัติออกแรงเล็กน้อย บนเตียง กู้จิ่งซานก็เบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจไม่แพ้กัน

เมื่อครู่ในขณะที่เขาแกะผนึกออก ก็ไม่ได้สังเกตว่าสีของตราประทับหยกนั้นไม่ถูกต้อง แต่นึกไม่ถึงว่า กู้โม่เฟิงจะมองออกอย่างรวดเร็ว

หรือว่าสวรรค์จะให้โอกาสเขา ทำให้ลูกชายของเขาที่ไม่เคยเปิดหูเปิดตากลับฉลาดขึ้น?

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ กู้จิ่งซานก็พยายามตะเกียกตะกายพยักหน้าด้วยกำลังทั้งหมดของเขา “นาง นางชั่วร้าย...”

ความสนใจทั้งหมดถูกส่งไปที่ฮ่องเต้และชี่กุ้ยเฟย เมื่อเห็นดังนั้นก็สะเทือนใจมาก

สายตาของกู้โม่หลิงดูเย็นชา เฟิ่งกงกงก็ขมวดคิ้วอย่างมีลางสังหรณ์เช่นกัน

องค์ชายสิบมองชี่กุ้ยเฟยอย่างไม่เชื่อสายตา “เสด็จแม่ ท่านทำได้ยังไง ท่านทำเรื่องทรยศเช่นนี้ได้อย่างไร?”

ในความทรงจำของเขา เสด็จแม่เป็นคนที่อ่อนโยนเสมอ จะปลอมหนังสือสละราชบัลลังก์ให้เสด็จพ่อแต่งตั้งพี่เจ็ดเป็นผู้สืบทอดได้อย่างไร?

ถ้าเป็นเช่นนี้จริง คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เสด็จพ่อป่วยหนักอย่างกะทันหัน…

พี่เจ็ด ก็คงจะรู้เรื่องนี้เหมือนกันใช่ไหม?

กู้โม่เฟิงตวาดใส่ทันที “กุ้ยเฟยเหนียงเหนียง ท่านมีอะไรจะพูดอีกไหม?!”

เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ชี่กุ้ยเฟยก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก แต่ตอนนี้ทุกคนที่ยืนอยู่ที่นี่ล้วนเป็นกองกำลังของนาง หลังจากฆ่ากู้โม่เฟิงปิดปากแล้ว ให้กู้โม่หลิงขึ้นครองบัลลังก์ แล้วเรื่องนี้จะปกปิดอย่างไรก็ได้

ชี่กุ้ยเฟยชำเลืองมองกู้โม่เฟิงอย่างเย็นชา “ในเมื่อท่านไม่มีไหวพริบแบบนี้ ก็อย่าหาว่าข้าไร้ความปรานี! ทหาร ฆ่าพวกเขาให้หมด!”

สิ้นเสียง ทหารกลุ่มหนึ่งก็พุ่งเข้ามาจากด้านนอกตำหนัก ชี่กุ้ยเฟยหัวเราะอย่างภาคภูมิใจ

แต่ทันทีที่นางหัวเราะออกมา ดาบก็ฟาดลงมาทันที ชี่กุ้ยเฟยถูกดาบยาวแทงทะลุหน้าอกของนางทันที เลือดไหลทะลักออกมานองเต็มพื้น

นางไม่มีเวลาแม้แต่จะพูดอะไร ขาดใจตายทันที

การกลับตาลปัตรอย่างฉับพลัน ทำให้ทุกคนตกตะลึง

ในเวลานี้มีคนอุทานว่า “เป็น เป็นดาบของอี้อ๋อง…”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้