ยอดหมอร้อยพิษสยบปฐพี นิยาย บท 152

มู่ซิวหานอยากจะเปิดปากพูดหลายครั้ง แต่ทุกครั้งที่อ้าปาก ก็มีกลุ่มควันหนา ๆ ลอยเข้ามา สำลักจนน้ำตาไหล ที่สำคัญคือตอนที่กำลังไอนั้น ไม่รู้ว่ามันสัมพันธ์กับบาดแผลบนตัวเขาอย่างไร เวลาที่ไอครั้งหนึ่ง แผลบนตัวเขาก็มีเลือดสด ๆ ไหลออกมาจากปากแผล...

นัยน์ตาของเฟิ่งเสวียนตู้หม่นลงเล็กน้อย แต่ท่าทางในการย่างปลานั้นกลับเป็นไปตามระเบียบแบบแผน

ไม่นานนัก กลิ่นหอมของปลาย่างสด ๆ ก็ลอยออกมา

ฉู่เชียนหลีมองไปที่กองไฟที่บางครั้งก็เกิดเป็นควันหนา นัยน์ตาเต็มไปด้วยความรู้สึกแปลกใหม่

เจ้าขี้เหร่ วันนี้ใช้วัสดุอะไรมาย่างปลา เปลวไฟกลุ่มเล็กกำลังลุกโชน กลับยังมีควันหนาลอยออกมา น่าทึ่งมาก

“เอาล่ะ เชียนหลี มากินได้”

“มาแล้ว”

ได้กลิ่นหอมของปลาย่าง ฉู่เชียนหลีก็ล้มเลิกความคิดจะสำรวจปัญหาควันหนาในทันที ลุกขึ้นเดินมานั่งข้าง ๆ กองไฟ ถอนหายใจออกมาอย่างสบายใจ

“หอมจริง”

มีฉู่เชียนหลีอยู่ใกล้ ๆ กองฟืนไม่ปล่อยควันหนาทึบอีกต่อไป

มู่ซิวหานในที่สุดก็ได้มีโอกาสสูดอากาศบริสุทธิ์ พยายามอลุกขึ้นยืน เดินมาตรงหน้าฉู่เชียนหลี

“ข้าน้อยตวนเหยา คารวะพี่เทพธิดา”

มู่ซิวหานกำมือขึ้นทำความเคารพ ใบหน้าซีดเผือดนั้นมีร่องรอยเลือดฝาดจากความเขินอาย เมื่อมองฉู่เชียนหลี อดไม่ได้ที่จะเม้มปากแน่น ดูเหมือนทำอะไรไม่ถูกเลยทีเดียว

ฉู่เชียนหลีกัดปลาย่างหอมกรุ่นหนึ่งคำ ตาก็มองไปทางมู่ซิวหาน แววตาสั่นไหวเล็กน้อย

เมื่อครู่คนผู้นี้นอนอยู่ ก็นับว่าดูดีอย่างมากแล้ว คาดไม่ถึงว่าเมื่อลืมตาขยับตัวขึ้นมา กลับดึงดูดสายตาคนได้ขนาดนี้ โดยเฉพาะตอนนี้ที่หน้าขาวเนียนและขอบตาแดงก่ำ ประกอบกับใบหน้าที่อ่อนเยาว์ราวกับเด็กน้อย แค่มองก็เรียกคะแนนสงสารจากคนอื่นได้มากมาย

เพียงแต่ การแสร้งทำเป็นใสซื่อบริสุทธิ์ของคนผู้นี้ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย อย่างน้อยก็ต้องเก็บรังสีการป้องกันตัวในสายตาของตนเสียหน่อยไม่ใช่หรือ?

เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเป็นหมาป่าพันธุ์แท้ เก็บเขี้ยวเล็บปลอมตัวเป็นลูกหมา มันเป็นการดูถูกดวงตาที่แหลมคมของนางเกินไป

“เจ้านามตวนเหยา?”

“ขอรับ ข้าน้อยสกุลมู่ นามตวนเหยา” มู่ซิวหานพูดชื่อของตนออกมา สายตาจ้องไปที่สีหน้าของฉู่เชียนหลี หวังว่าจะมองเห็นข้อผิดสังเกตุจากสีหน้าของนาง

“มู่ตวนเหยา?” ใบหน้าของฉู่เชียนหลีเผยรอยยิ้มเบิกบาน “อืม เจ้าฟื้นก็ดีแล้ว สถานการณ์เมื่อครู่มันอันตรายเกินไป”

เมื่อมองเห็นรอยยิ้มของฉู่เชียนหลี มู่ตวนเหยาก็ใจสั่นอย่างรุนแรง ใบหน้าพลันแดงเรื่อขึ้นมาในทันที เขารีบร้อนหลุบตาลง ราวกับว่าไม่กล้ามองไปยังใบหน้าที่งดงามเจิดจ้าของฉู่เชียนหลี

“ขอบใจท่านพี่หญิงที่ช่วยชีวิต บุญคุณเหลือล้นไม่อาจตอบแทน ต่อไปหากมีโอกาสจะต้อง...”

เฟิ่งเสวียนตู้ขมวดคิ้วแน่นขึ้นไปอีก ‘ต่อไปเขาจะทำอะไร? อุทิศชีวิตให้?’

ฉู่เชียนหลีแววตาสั่นไหวเล็กน้อย อย่างไรกัน หากต่อไปมีโอกาสค่อยว่ากันหรือ? หมายความว่าจะไม่จ่ายค่ารักษาหรือ? ฝันกลางวัน!

“ไม่เป็นไร จ่ายเงินก็พอ”

มู่ซิวหานชะงักไป “พี่เทพธิดา...”

จะเอาเงิน?

“อืม เจ้าไม่ได้ฟังผิด แค่จ่ายเงินก็พอ ถึงข้ารักษาของข้าจะไม่ได้ถือว่าถูกนัก แต่ข้าเห็นแก่น้องชายที่หน้าตาหล่... แค่กแค่ก เป็นคนอบอุ่น ต้องเป็นคนที่สามารถเชื่อถือได้แน่นอน”

“ใช่แล้ว ท่านพี่หญิงช่วยชีวิตข้า สมควรที่จะจ่ายเงินตอบแทน เพียงแต่ ในตอนนี้ข้าไม่มีปัจจัยเลยแม้แต่น้อย...” มู่ซิวหานเผยสีหน้าเขินอาย

ฉู่เชียนหลีด้านหนึ่งกินปลาเผา ด้านหนึ่งก็ชื่นชมภาพที่มู่ซิวหานหน้าแดงหูแดงอยู่ตรงหน้า อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้ หากตัดเรื่องความดุร้ายที่เขาแผ่รังสีออกมา ใบหน้านั้นก็งดงามมากจริง ๆ

ถึงว่านางชาเขียวแห่งองค์กรกาลเวลามักจะพูดอยู่บ่อย ๆ ว่าเหล่าลูกปลาน้อย ๆ ของนางหน้าตาดีเสียจนไม่ต้องกินข้าว แต่ว่า เงินค่ารักษาที่ควรจะได้รับก็ต้องได้ ฉู่เชียนหลีไม่ใช่คนที่จะยอมไม่เก็บเงินเพราะใบหน้าที่งดงามเช่นนั้น

เฟิ่งเสวียนตู้หยิบปากกาและกระดาษออกมาจากแขนเสื้อ วางไว้บนก้อนหินอีกด้านหนึ่ง และพูดออกมาแค่สามคำ “เขียนสัญญา!”

ฉู่เชียนหลีแอบงับปลาย่างในมือคำหนึ่ง ‘ในแขนเสื้อเจ้าขี้เหร่พกกระดาษดินสอติดตัวไว้ตลอด?’

มู่ซิวหานก็ชะงักไปในทันที ไม่ทันได้มีสติตอบอะไร

เฟิ่งเสวียนตู้ขมวดคิ้ว นัยน์ตาฉายแววอันตรายขึ้นมาทันที “คิดจะชักดาบ?”

“ไม่ไม่ ข้าเขียน” มู่ซิวหานแสดงท่าทีเร่งรีบ สีหน้าก็ดูว่างเปล่าขึ้นมามากทีเดียว เหตุใดจึงไม่เหมือนกับที่เขาคิดเอาไว้ “พี่เทพธิดา ไม่รู้ว่าค่ารักษาของท่านคือ...”

“หนึ่งหมื่นเหลี่ยง” เฟิ่งเสวียนตู้ส่งปลาเงินย่างอีกตัวหนึ่งป้อนให้ฉู่เชียนหลี ถือโอกาสในขณะที่นางกำลังกินอยู่พูดต่อขึ้นมา “ทองคำ!”

รู้สึกได้ถึงความเยือกเย็นที่ลอยจากที่ไหนสักแห่ง มู่ซิวหานกัดฟัน คนเหล่านี้มีกลอุบายมากมายที่จะหลอกลวงเขาจริง ๆ ตอนนี้ก็เริ่มจะเล่นแมวจับหนูแล้ว

เขียนก็เขียน เมื่อเขาเขียนเสร็จก็เอ่ยปากบอกว่าจะไป ดูสิว่าพวกเขาจะแสดงต่อไปอย่างไร! เมื่อคิด เขาก็มาถึงบริเวณโขดหิน แล้วเขียนสัญญาอย่างละเอียดจนเสร็จ

“ท่านพี่หญิง ไม่ทราบว่าตอนที่พวกท่านเข้ามาในเขา พบร่องรอยของทหารองครักษ์บ้างหรือไม่?”

หรือคนพวกนี้จะจับเหล่าองครักษ์ของเขาไป แล้วจงใจสร้างกับดักล่อให้เขามาติด?

ฉู่เชียนหลีมองดูสัญญากู้ยืม เมื่อยืนยันแล้วว่าไม่มีอะไรผิดพลาดก็ส่ายหน้า “นอกจากเจ้า ก็ไม่ได้พบคนอื่น ๆ อีก”

มู่ซิวหานก้มหน้าลง จากนั้นก็หยิบหยกแขวนที่เอวออกมา วางลงบนสัญญาอย่างเคร่งขรึม

“พี่เทพธิดา ข้ายังมีเรื่องต้องทำต่อ ต้องของตัวจากไปก่อน หยกแขวนชิ้นนี้ถือเป็นของแทนใจ อีกหนึ่งเดือนท่านพี่หญิงสามารถไปหาข้าได้ที่เมืองหลวงตงเสวียน ข้าจะต้องตอบแทนค่ารักษาให้ท่านพี่หญิงอย่างแน่นอน”

มีคนหลายกลุ่มกำลังไล่ล่าเขา เขาไม่รู้ว่าคนสองคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นกองกำลังจากที่ใด แต่ให้สัญลักษณ์ประจำตัวแก่พวกเขาไปแล้ว นักล่าคนอื่น ๆ จะตามหาพวกเขาอย่างแน่นอน ดังนั้นก็ปล่อยให้พวกเขาฆ่ากันเอง!

ฉู่เชียนหลีรับรู้ได้ถึงความมุ่งร้ายที่แผ่ออกมาจากตัวมู่ซิวหานในนาทีนั้นก็ค่อย ๆ เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

นี่คือนางช่วยชีวิตไอ้คนอกตัญญูไว้หรือ? จะฆ่ามันให้ตายในตอนนี้เลยดีหรือไม่?

“พิษในตัวของเจ้า ยังไม่ได้ถูกถอนจนหมด เจ้าแน่ใจหรือว่าจะไป?”

“ใช่” มู่ซิวหานรู้สึกกังวลในใจ หรือที่แท้สองคนนี้จะไม่ให้เขาไปจริง? หากเป็นเช่นนั้น เขาก็จะฆ่าให้เลือดท่วมทางไปเสีย...

“อืม ย่อมได้ เจ้าไปเถิด”

“หา?” มือของมู่ซิวหานที่กำลังจะแตะกริชหยุดกะทันหัน จ้องไปทางฉู่เชียนหลีที่เพิ่งเอ่ยปากเมื่อครู่ “ท่านพี่หญิง ให้ข้าไปได้?”

“ไม่ใช่ว่าเจ้าจะไปหรือ? หรือว่าเสียดายขึ้นมา?”

“มิได้ เช่นนั้นข้าจะไปจริง ๆ แล้วหนา?”

เฟิ่งเสวียนตู้เก็บสัญญากับหยกแขวน ความเยือกเย็นรอบ ๆ ตัวลดลงไปมากทีเดียว แต่เมื่อได้ยินคำพูดของเขา คิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากันอีกครั้ง “หรือข้ายังจะต้องเก็บเจ้าไว้กินข้าวด้วยกัน?”

“ไม่ ข้าไม่ได้หมายความเยี่ยงนั้น” มู่ซิวหานหมุนตัว ก้าวเท้าถอยหลังไปสองก้าวด้วยความหวาดระแวง เมื่อหันกลับมามองก็เห็นทั้งสองกำลังตั้งอกตั้งใจกินปลาย่างอยู่ หาได้สนใจเขาแต่อย่างใด จึงได้รีบสาวเท้าจากไป

ฉู่เชียนหลีเก็บสายตากลับมา ค่อย ๆ ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา

เฟิ่งเสวียนตู้เห็นว่านางไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรเป็นพิเศษ ในใจก็ค่อย ๆ ผ่อนคลายลงไปได้ ตอนนี้ไม่มีใครมารบกวนแล้ว ในที่สุดก็เหลือแค่พวกเขาสองคน พวกเขาจะได้...

“ท่านแม่!”

มีเสียงกระพือปีกดังมาแต่ไกล ตามด้วยเสียงสดใสของเซินเป่าที่ดังขึ้น

เฟิ่งเสวียนตู้ยืนขึ้นด้วยสีหน้านิ่งเรียบ ในวินาทีที่เซินเป่ากระโดดลงมา ก็เอื้อมมือออกไปรับมาไว้ในอ้อมกอด

ในนาทีนี้เอง ก็รู้สึกขึ้นมาได้ว่ามันหนักผิดปกติ เมื่อก้มหน้าลงถึงถึงได้พบว่า ในอ้อมกอดของเซินเป่ามีลูกหมาป่าสีเงินอีกตัวหนึ่ง

เซินเป่าหันมายิ้มกว้างให้กับเฟิ่งเสวียนตู้ “ขอบคุณเจ้าอาขี้เหร่”

“เจ้าลูกหมาป่ามาจากไหนกัน?” ฉู่เชียนหลีประหลาดใจ

“จากเพื่อน ๆ หมาป่าในหุบเขา ข้าอุ้มมาให้ท่านแม่ดู” เซินเป่าพูดตอบ กระโดดลงมาตรงหน้าฉู่เชียนหลี จับอุ้งเท้าหน้าของลูกหมาป่าส่งไปตรงหน้าฉู่เชียนหลี

“ท่านแม่ ท่านดูสิ ลูกหมาป่าน่ารักใช่หรือไม่?”

ลูกหมาป่าตัวน้อยคร่ำครวญเล็กน้อย เผยให้เห็นฟันเขี้ยวแหลมคม ตากลมโตจ้องที่มองมา แฝงด้วยความดุร้ายที่เป็นสัญชาตญาณเป็นสิ่งเฉพาะตัวของสัตว์ป่า มันเหมือนกับเจ้าเด็กอกตัญญูคนนั้นที่พยายามกลับดำให้เป็นขาวอยู่เล็กน้อย

ฉู่เชียนหลีเพิ่งกินอิ่ม นางเอื้อมมือไปลูบลูกหมาป่าตัวน้อยด้วยความอารมณ์ดี

ลูกหมาป่าอายุราวสามเดือนขนปุยนุ่มไปทั้งตัว เส้นขนยังไม่ได้เปลี่ยนเป็นเส้นแข็ง เมื่อลูบไปแล้วทำให้รู้สึกสบายมืออย่างมาก

ลูกหมาป่าตัวน้อยเบิกตากว้าง ราวกับว่าสันชาตญาณสัตว์ป่าถูกกวาดทิ้งไปจนสิ้น นอนสบายอยู่บนพื้นดิน ให้ฉู่เชียนหลีลูบขนที่ท้องของมันอย่างสบายใจ

เมื่อครู่ยังชมว่าเป็นสหมาป่าดุร้ายอยู่เลย เหตุใดตอนนี้กลายเป็นลูกหมาเสียแล้ว?

ฉู่เชียนหลีหัวเราะเบา ๆ ขึ้นมา “น่ารัก แต่ว่า เหตุใดเจ้าจึงเอาลูกหมาป่าตัวนี้มาด้วยหรือ?”

ฝูงหมาป่าที่เขาไร้เงาไม่ได้มองว่านางกับเซินเป่าเป็นพวกอันตพาลหรอกหรือ? ทุกครั้งที่เจอกัน ต่างก็วิ่งหนีไปไกลหลายลี้

เซินเป่ายิ้มอย่างสบายใจ “เจ้าปู่เฟิ่งช่วยข้าไกล่เกลี่ยเอง เจ้าปู่เฟิ่งบอกว่า ในฐานะที่เป็นฝูงหมาป่า ก็ต้องใจกว้าง จากนั้นฝูงหมาป่าก็ใจกว้างมาก ๆ ยกลูกหมาป่าให้เซินเป่าอุ้มเลย”

เจ้าลุงเฟิ่งช่วยไกล่เกลี่ย?

แน่ใจหรือว่าเป็นการไกล่เกลี่ย ไม่ใช่ข่มขู่?

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหมอร้อยพิษสยบปฐพี