ยอดหมอร้อยพิษสยบปฐพี นิยาย บท 62

สรุปบท บทที่ 62 ไว้ทุกข์ให้เจ้า: ยอดหมอร้อยพิษสยบปฐพี

อ่านสรุป บทที่ 62 ไว้ทุกข์ให้เจ้า จาก ยอดหมอร้อยพิษสยบปฐพี โดย เย็นอวี่ฟังหัว

บทที่ บทที่ 62 ไว้ทุกข์ให้เจ้า คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายประวัติศาสตร์ ยอดหมอร้อยพิษสยบปฐพี ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย เย็นอวี่ฟังหัว อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

ด้านบน จักรพรรดิทรงตรัส

“สองวันก่อน ในเมืองหลวงปรากฏดอกไม้นานาพรรณบานสะพรั่งนับเป็นทิวทัศน์อันเป็นมงคล ประจวบกับวันคล้ายวันประสูติของฉีเฟยที่ใกล้เข้ามา เจิ้นมีความสุขเหลือเกิน เมื่อคิดว่าวังหลวงไม่ได้มีงานคึกคักมานานแล้ว จึงได้ถือโอกาสนี้จัดงานรื่นเริงร่วมกับทุกท่าน”

“เหล่ากระหม่อมขอบพระทัยที่ฝ่าบาททรงเมตตา”

องค์ชายสามหยุนชิงกุยลุกขึ้น เขาสวมชุดองค์ชายที่สวยงามเต็มยศ ใบหน้างดงามราวมงกุฎหยก คิ้วและดวงตาเต็มไปด้วยความอบอุ่น มือทั้งสองประกบเข้าหากันโค้งตัวคำนับ ท่วงท่าสง่างาม ให้ความรู้สึกถึงดอกไม้ที่โน้มลงอย่างงดงาม

“เสด็จพ่อ สิริมงคลดลบันดาลจากสวงสวรรค์เป็นเรื่องมงคลที่ร้อยปีจะพบสักครั้ง ต้องเป็นเพราะเบื้องบนรับรู้ได้ว่าเสด็จพ่อทั้งฉลาดและมีคุณธรรม อีกทั้งจากการตรวจสอบของลูกดอกไม้นานาพรรณบานสะพรั่งในบริเวณเขตเมือง พบว่ามีชายชราคนหนึ่งกลับมีผมดำงอกขึ้นมาภายในชั่วข้ามคืน ราวกับเป็นปาฏิหาริย์ เหล่าชาวบ้านต่างพากันทำแผ่นจารึกเพื่อภวายพระพรให้เสด็จพ่อทรงมีอายุยืนยาว ลูกคิดว่าควรบำเพ็ญกุศลต่อวัดบรรพชนและประกาศเรื่องนี้ให้ทุกคนรู้พ่ะย่ะค่ะ”

“ฮ่า ๆ ๆ เจ้านี่...” ฮ่องเต้เพลิดเพลินใจจากคำพูดเยินยอขององค์ชายสาม “ยังไม่รู้แน่ชัดว่าความมงคลนั้นเกิดจากเหตุใด แล้วจะไปประกาศให้ไพร่ฟ้ารู้ได้เช่นไรเล่า? เอาล่ะ วันนี้เป็นวันเกิดของท่านแม่ของเจ้า นั่งลงดีดี แล้วดื่มเป็นเพื่อนท่านแม่สักจอก”

“ลูกคิดไม่รอบคอบ ขอบพระทัยเสด็จพ่อชี้แนะ”

องค์ชายสามกลับไปที่บัลลังก์นั่งของตน มองเห็นบนโต๊ะมีเต็มไปด้วยอาหารมากมาย สีหน้าก็พลันลำบากใจขึ้นมาทันที

“เสด็จพ่อ ลูกกำลังฝึกตนมังสวิรัติ อาหารบนโต๊ะเหล่านี้เก็บไปก่อนเถิด”

ฮ่องเต้นัยน์ตาสั่นไหวเล็กน้อย “ก็ดี”

ฉู่เชียนหลีเมื่อเห็นฉากตรงหน้า อดไม่ได้ที่จะบ่นพึมพำในใจ

มังสวิรัตินั้นเห็นได้ชัดว่านางเป็นคนบังคับเขาเอง เป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในวันนี้คำนี้ถูกพูดออกมาจากปากของหยุนชิงกุย กลับกลายเป็นการฝึกตนเสียอย่างนั้น

องค์ชายสามคนนี้เป็นนักเปลี่ยนหน้ากากหรือไร เปลี่ยนหน้าเก่งเหลือเกิน!

ภายในตำหนักบรรยากาศคึกคัก ผู้คนไม่น้อยพากันดื่มฉลองกับฉีเฟยและองค์ชายสาม

เมื่อการดื่มเพื่อแสดงความเคารพสิ้นสุดลง หยุนชิงกุยก็ลุกขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “เสด็จพ่อ ท่านแม่ คู่หมั่นของลูกหลิงเซวียนได้เตรียมระบำหนึ่งเอาไว้ เพื่อถวายพระพรท่านแม่ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้พยักหน้าตอบรับ “ดี”

ไฟในตำหนักส่วนหนึ่งถูกดับลงไป เดิมทีแสงสว่างที่สาดส่องไปทั่วนั้นก็พลันมืดลงไปไม่น้อย

ชั่วครู่ต่อมา ราวกับมีเสียงของลูกปัดทองคำตกลงบนแผ่นหยก เสียงที่คมชัดดึงดูดความสนใจของทุกคนในทันที

หลังจากนั้น กลิ่นหอมราวกับความฝันพัดผ่าน ฉู่หลิงเซวียนที่สวมชุดระบำสีแดงสดในมือถือผ้าพลิ้วสีแดง ลอยลงมาจากฟากฟ้า กระโปรงสีสดใสราวเปลวเพลิงบานออกดุจดอกไม้เบ่งบาน สวยงามพราวตา

เสียงดนตรีจากไม้ไผ่ดังขึ้น คลอด้วยเสียงนักร้องหวานนุ่ม

เมืองใต้มีสาวงาม ระบำเอวเขียวอันอ้อนช้อย

งานเลี้ยงกลางฤดูใบไม้ผลิ ปลายเสื้อปลิวไสวดั่งเมฆและฝน

...

ฉู่เชียนหลีมองไปทางฉู่หลิงเซวียนที่กำลังเพลิดเพลินไปกับการแสดงและเสียงดนตรี ก็พึมพำออกมาเบา ๆ

“ไม่เลวเลย”

นิสัยของฉู่หลิงเซวียนมักจะทำให้ผู้อื่นขุ่นเคืองใจอยู่เสมอ แต่หากมองด้วยใจที่เป็นกลาง การแสดงระบำนี้ช่างน่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก

อารมณ์ที่เป็นของร่างเดิมนั้นกลับมากึกก้องอีกครั้ง อารมณ์ที่เต็มไปด้วยการถูกกดขี่ ความอิจฉาริษยา รวมถึงความรู้สึกต่ำต้อยที่ชัดเจน

ฉู่เชียนหลีไม่ได้สนใจ จิบเหล้าพลางชื่นชมการแสดงที่งดงามนั้น เมื่อเห็นฉู่หลิงเซวียนก้าวลอยไปบนอากาศราวกับนางฟ้านางสวรรค์ รูปร่างผอมเพรียวงดงามราวกับขนนกที่บางเบาไร้น้ำหนักนั้น ยังเป็นตัวช่วยที่ดีเพื่อให้นางเข้าถึงจังหวะ

เฟิ่งเสวียนตู้ดันผลไม้ในมือไปตรงหน้าฉู่เชียนหลี มีความหงุดหงิดที่ไม่สามารถสังเกตได้ซ่อนอยู่ในน้ำเสียงของเขา

“มีอะไรให้น่าดูกัน?”

“เจ้าขี้เหร่ เจ้าคิดว่าไม่งามหรือ?”

ฉู่หลิงเซวียนหากมองภายนอก ก็นับว่าเป็นหญิงงามอันดับต้น ๆ ทีเดียว หรือว่ามาตรวัดความงามของเจ้าขี้เหร่มีปัญหา?

“ไม่งาม”

การระบำของเผ่าหงส์ ในสมัยโบราณ การร่ายรำของหงส์ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความมงคล มาถึงในกาลหลัง เผ่าหงส์ก็ยิ่งนับวันยิ่งน้อยลง ระบำหงส์ก็ยิ่งหาดูยากตามไปด้วยเช่นกัน

จากการพัฒนามาจนถึงปัจจุบัน เผ่าหงส์ก็มีเพียงแค่ตอนที่เกี้ยวพาราสีเท่านั้นถึงได้ร่ายรำด้วยชุดที่มีสีสันสดใจ

ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ชอบระบำ แต่หากเป็นนางคนนี้ที่เขาชอบ ก็ไม่ใช่ว่าจะรับไม่ได้เสียทีเดียว

“หือ?” ฉู่เชียนหลีเข้าไปใกล้ขึ้นเล็กน้อย สังเกตเห็นว่าเฟิ่งเสวียนตู้มีความหงุดหงิดแฝงอยู่เล็กน้อย อยู่ ๆ ในใจก็เกิดแสงวายแล่นพาดผ่านไป “เจ้าขี้เหร่ เช่นนั้นเจ้าคิดว่าข้างามหรือไม่?”

เฟิ่งเสวียนตู้ลมหายใจสะดุดไปชั่วขณะ นัยน์ตาหลุบลงสบตาเข้ากับดวงตาใสดั่งแก้วของเซินเป่า ใบหูพลันแดงขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ในใจก็คิดว่าอยู่ต่อหน้าเด็ก พูดอะไรเช่นนี้?

“เจ้า... ก็ธรรมดา”

“ดี” นัยน์ตาของฮ่องเต้เต็มไปด้วยความประหลาดใจ

มีข้าหลวงคนหนึ่งยืนขึ้น พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี

“ฝ่าบาท การระบำนี้สืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์ถัง เพียงเพราะเงื่อนไขของนักระบำที่สูงยิ่ง จึงทำให้ค่อย ๆ หายไป หากต้องการระบำนี้จำเป็นต้องฝึกตั้งแต่ยังเล็ก ฝึกฝนนานนับสิบปี จึงจะสามารถเป็นการแสดงที่สมบูรณ์แบบได้ คุณหนูรองฉู่สามารถแสดงได้อย่างไร้ที่ติ ช่างน่าชื่นชมจริง ๆ”

“ฝ่าบาท ก่อนนี้มีดอกไม้นานาพรรณบานสะพรั่งนับเป็นทิวทัศน์อันเป็นมงคล จากนั้นก็มีการร่ายรำพร้อมกับผีเสื้อหลากสีสันสุดตระการตา นับเป็นความมงคลอย่างยิ่ง ตงเสวียนในปีถัดไปจำต้องราบรื่นและสงบสุขเป็นแน่”

“ใช่แล้ว ฝ่าบาท ถึงแม้การระบำจะสิ้นสุดลง แต่ผีเสื้อเหล่านี้ยังคงวนเวียนอยู่ แสดงถึงความงดงามของการระบำของคุณหนูรองตระกูลฉู่”

ได้ยินเช่นนั้น ฉู่หลิงเซวียนก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา นางลำบากลำบนฝึกฝนมาตั้งแต่ยังเล็ก ก็เพื่อให้ได้รับคำชื่นชมจากบรรดาผู้คนอย่างเช่นวันนี้ ความลำบากจากครั้งเมื่อยังเล็ก วันนี้ถือว่าได้ผลตอบแทนแล้ว

“หม่อมฉันขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงชื่นชมเพคะ ที่จริงแล้วหม่อมฉันยังมีของขวัญอีกชิ้นหนึ่ง ที่อยากจะถวายให้กับฉีเฟยด้วยตนเอง เป็นความตั้งใจของผู้น้อยเพคะ”

ฮ่องเต้หันไปมองทางฉีเฟยที่มีสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความยินดี แล้วจึงพยัก “อนุญาต”

นางในที่หยุนชิงกุยเตรียมไว้ยกกระถางดอกไม้คลุมด้วยผ้าไหมขึ้นมาให้ พวกนางต่างเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง ทุกย่างก้าวมั่นคง ไม่ให้กระถางดอกไม้นั้นสั่นไหวแม้เพียงเล็กน้อย

จนกระทั่งนางในเดินมาถึงที่กลางตำหนัก ฉู่หลิงเซวียนจึงได้สาวเท้าไปด้านหน้า หยิบผ้าไหมที่คลุมออกด้วยท่าทีระมัดระวัง

ผู้คนภายในตำหนักต่างก็ตะลึงงันไปชั่วขณะ

ในกระถางมีดอกมารดาแผ่นดินสีเหลืองบานสะพรั่ง ดอกไม้กำลังเบ่งบาน ฐานดอกขนาดใหญ่ สีสันสดใส ทุกกลีบ ทุกกิ่ง ทุกใบ ดูเหมือนจะได้รับการดูแลอย่างดี ไม่มีแม้แต่รอยตำหนิเล็ก ๆ ให้เห็น แม้แต่บนกิ่งก้านก็ไม่มีรอยที่เกิดจากการเจริญเติบโตของพืช

ฉู่เชียนหลีกำลังดื่มอย่างเงียบ ๆ เมื่อเห็นฉากตรงหน้าก็พลันชะงักไป ในแอบไว้ทุกข์ให้กับฉู่หลิงเซวียนไปเรียบร้อย

มารดาแผ่นดินของฉู่หลิงเซวียนนี้ แค่มองก็รู้ว่ามันถูกคัดเลือกมาอย่างดีและขุดออกมาจากดอกไม้ที่บานสะพรั่งเหล่านั้น

คนในยุคนี้มองแค่เพียงดอกไม้ ไม่ได้เข้าใจเลยว่าสิ่งที่ถูกพลังแห่งจิตวิญญาณของนางหล่อเลี้ยงก็คือผืนดินแห่งนั้น

ดอกไม้เบ่งบาน ก็เพียงเพราะได้รับการดูดซึมพลังของพลังแห่งจิตวิญญาณที่อยู่ในพื้นดิน

ให้ดอกไม้อยู่บนพื้น อย่างน้อยก็สามารถคงสภาพไว้ได้นานถึงสามหรือห้าเดือนโดยไม่โรยรา แต่หากขุดขึ้นมาแล้ว ไม่มีพลังแห่งจิตวิญญาณคอยเป็นรากฐานหล่อเลี้ยง ผลที่ตามมาก็ชัดเจนในตัวเองโดยไม่ต้องพูดอะไร

ฮึ ฉู่หลิงเซวียนขุดหลุมขึ้นมาด้วยมือของตนเอง แล้วยังฝังกลบฝังตัวเองด้วยดินมากกว่าหนึ่งตันอีก!

หากคนอยากจะตาย ต่อให้รั้งอย่างไรก็รั้งไม่อยู่จริง ๆ!

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหมอร้อยพิษสยบปฐพี