ยอดหมอร้อยพิษสยบปฐพี นิยาย บท 68

สรุปบท บทที่ 68 คนบางคนร้ายกว่าสัตว์เดรัจฉาน: ยอดหมอร้อยพิษสยบปฐพี

บทที่ 68 คนบางคนร้ายกว่าสัตว์เดรัจฉาน – ตอนที่ต้องอ่านของ ยอดหมอร้อยพิษสยบปฐพี

ตอนนี้ของ ยอดหมอร้อยพิษสยบปฐพี โดย เย็นอวี่ฟังหัว ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายประวัติศาสตร์ทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 68 คนบางคนร้ายกว่าสัตว์เดรัจฉาน จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

ฉู่เชียนหลีดวงตาแดงก่ำ มือข้างหนึ่งห้อยอยู่กำหมัดไว้แน่น

นางไม่อยากเดินเข้าไปรบกวนการใกล้ชิดกันของท่านลุงและโม่เฟิง แต่นางรู้สึกว่าโม่เฟิงมีบางอย่างผิดแปลกไป

“ท่านลุง ท่านปลอบโม่เฟิงสักหน่อยได้หรือไม่ ให้ข้าเข้าใกล้มันเพื่อตรวจสอบเสียก่อน”

ซูยี่ปาดน้ำตาที่อาบหน้า ค่อย ๆ ประคองลำคอของโม่เฟิงด้วยความเบามือ น้ำเสียงโศกเศร้า

“ก่อนนี้ที่โม่เฟิงพยศ เป็นเพราะมันสาบานตนไว้แล้วว่าจะไม่รับเจ้านายคนอื่นอีก อย่าได้ใส่ใจว่ามันจะดิ้นรนต่อสู้อย่างไร แต่จงจำไว้เสมอว่าคำสั่งคือทหารไม่ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ เชียนหลี เจ้ามาเถอะ!”

ฉู่เชียนหลีใสสั่นระรัว ถึงว่าตอนที่นักแสดงพวกนั้นล่าถอยออกไป โม่เฟิงก็หยุดนิ่งอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อน มันไม่ปรารถนาที่จะทำร้ายใครทั้งนั้น

ม้าตัวหนึ่งที่ทั้งเชื่องและซื่อสัตย์เช่นนี้ คนพวกนั้นทำไมถึงได้ลงมือทำร้ายได้ลงคอ?

นางสงบสติอารมณ์ เดินเข้าไปด้านหน้าและเอื้อมมือไปดึงผ้าดำที่ปิดตาโม่เฟิงไว้ออก

วินาทีต่อมา ความโกรธพุ่งพรวดขึ้นมารอบร่างกายของนาง!

“โม่เฟิง...”

ซูยี่ก็จ้องไปที่โม่เฟิงไม่วางตาเช่นกัน นัยน์ตาค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือด

ดวงตาของโม่เฟิงถูกทำร้ายจนบอด เหลือแต่รอยแผลเป็นสีดำ และตอนนี้ก็มีทั้งเลือดและหนองไหลออกมา!

โม่เฟิงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อรับรู้ถึงลมหายใจที่แข็งแกร่งของฉู่เชียนหลี ก็เขยิบเข้าใกล้ซูยี่ พยายามเอาตัวมันบังเขาเอาไว้เป็นการป้องกัน

ฉู่เชียนหลีรีบกดพลังของที่ล้อมรอบตนไว้ลง ด้วยเกรงว่าจะทำให้มันตกใจ หลังจากนั้นก็เข้าไปตรวจหูและจมูกของโม่เฟิง จากนั้นความโกรธก็ยิ่งพุ่งพราดขึ้นไปอีก!

ถึงว่าตอนที่เรียกมัน ไม่ว่าจะตะโกนเรียกมันอย่างไรก็ไม่ได้รับการตอบรับ

เพราะหูของมันถูกทำให้บาดเจ็บจนหูหนวกไม่ได้ยินเสียงใด จมูกก็ถูกพิษจนไม่สามารถได้กลิ่นลมปราณใด!

หยุนชิงกุยได้ตัดประสาทสัมผัสที่จะทำให้โม่เฟิงจำคนได้ทุกทางแล้ว ดังนั้นจึงได้พูดอย่างแน่ใจว่ามันคือม้าพยศตัวหนึ่ง และจะฆ่ามันให้ตายที่ตรงนี้เสีย!

“หยุนชิงกุย!”

เสียงกัดกรามด้วยคอาฆาตหลอมรวมอยู่ในใจ ฉู่เชียนหลีเหลือบตาขึ้น มองไปยังหยุนชิงกุยด้วยความเย็นชาและเกรี้ยวกราด

นาง ฉู่เชียนหลีจะต้องให้คนคนนี้ชดใช้อย่างสาสม!

หยุนชิงกุยเมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาของฉู่เชียนหลี ในใจก็สั่นระรัว ในเวลาเดียวกัน ความรู้สึกวิตกกังวลก็เกิดขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้

ฮ่องเต้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “นี่มันเรื่องอะไรกัน? โม่เฟิงม้าคู่กายของซูยี่ทำไมถึงได้มาปรากฏตัวที่กลางคณะการแสดงม้า?”

หยุนชิงกุยเผยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ “ทูลเสด็จพ่อ ลูกก็ไม่ทราบ คณะการแสดงม้านี้ลูกเพียงแค่บังเอิญพบเข้าเท่านั้น”

องค์ชายใหญ่หยุนชิงฝานหัวเราะด้วยเสียงเยือกเย็น “น้องสาม ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไรก็ทำด้วยความระมัดระวังเสมอ ถึงขนาดตัดสินใจเลือกคณะการแสดงม้าเข้ามาในวัง คงต้องตรวจสอบเบื้องลึกเบื้องหลังมาแล้วเป็นแน่? เหตุใดแม้แต่เรื่องสำคัญอย่างโม่เฟิงก็ยังตกหล่นได้หรือ?”

หยุนชิงกุยก้มหน้าลงเล็กน้อย “เป็นน้องเองที่ไม่รอบคอบ แต่ว่า นี่คือม้าศึกที่ถูกปลดแล้วต่างก็ต้องกลับไปอยู่ภายใต้การปกครองของกระทรวงกลาโหม และเสมียนผู้ช่วยของกระทรวงกลาโหมก็คือฝั่งท่านแม่ของท่านพี่ใหญ่ ท่านเหลียง...”

องค์ชายใหญ่เงยหน้าขึ้นในทันที จ้องไปทางหยุนชิงกุยไม่วางตา “น้องสาม คำพูดเช่นนี้เจ้าจะตำหนิว่ากระทรวงกลาโหมจัดการที่ไม่ดีหรือ?”

“น้องไม่ได้หมายความเช่นนั้น เพียงแค่สงสัยก็เท่านั้น”

“หุบปาก!” ฮ่องเต้ตระโกนเสียงเย็น สีหน้าวิตกกังวลอย่างมาก

หยุนชิงฝานและหยุนชิงกุยหยุดการห้ำหั่นกันด้วยวาจาทันที และไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรอีก

บนลานกว้าง ฉู่เชียนหลีมองโม่เฟิงด้วยความปวดใจ ลองเอื้อมมือไปแตะคอของมันเบา

โม่เฟิงตัวสั่นอย่างรุนแรง หลังจากที่ซูยี่ตบมันเบา ๆ เป็นการปลอบ มันก็ยืนตัวตรงทันทีโดยไม่เหลือความเกรงกลัวอีก

“โม่เฟิงเก่งมาก!”

ฉู่เชียนหลีเอ่ยชมด้วยเสียงในลำคอ จากนั้นก็วางมือลงบนต้นคอของโม่เฟิง แปรเปลี่ยนพลังวิญญาณเพื่อช่วยรักษาตัวให้มัน

ในเวลานี้ นางรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ตนเริ่มก้าวสู่เส้นทางฝึกยุทธที่ถูกต้อง หากเป็นก่อนหน้านี้ พลังวิญญาณของนางมีขีดจำกัด ต่อให้มีใจปรารถนาเพียงใดก็ไม่มีแรงจะช่วยได้

“ฮิ๊...”

ความเจ็บปวดบนกายของโม่เฟิงค่อย ๆ หายไป เมื่อรู้ว่าฉู่เชียนหลีกำลังช่วยมันอยู่ ก็ส่งเสียงครางต่ำเบา ๆ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความรู้สึกขอบคุณ ที่เบ้าตาที่บาดเจ็บและเปื่อยเน่า ยังมีร่องรอยของน้ำตาที่ไหลนองออกมาเป็นเลือดอีกด้วย

ซูยี่คอยลูบใบหน้าของโม่เฟิงอย่างเบามืออยู่ตลอดเวลา ปลอบประโลมมันไม่หยุด ในขณะที่สัมผัสน้ำตาของมัน มือก็กำแน่น เส้นเลือดและเอ็นที่หลังฝ่ามือปูดโปนขึ้นมา น้ำตาเอ่อล้นขึ้นมาทันที

“โม่เฟิง เจ้ารออีกสักหน่อย ข้าจะล้างแค้นให้เจ้าแน่นอน!”

เฟิ่งเสวียนตู้เดินขึ้นมาด้านหน้า พยุงซูยี่ขึ้นมาจากพื้น พาเขาและโม่เฟิงถอยออกมาที่ข้างจัตุรัส

ซูจิ่นจือมองไปทางฉู่เชียนหลีด้วยสีหน้ากังวลใจ “น้องหญิงเชียนหลี นาง...”

“นางมีแผนการในใจ”

ฉู่เชียนหลีกำผ้าไหมสีแดงไว้ในมือ ยกแขนขึ้นเล็กน้อย ผ้าไหมสีแดงปล่อยออกไปเหมือนงู พันเข้ากับดาบที่เอวขององครักษ์ที่อยู่ข้าง ๆ เสียงดาบถูกดึงออกจากฝักดังขึ้น

ฉู่เชียนหลีเขย่งปลายเท้า ร่างที่ผอมบางกระโจนขึ้นสูง ดาบเล่มหนึ่งถูกกำไว้ในมือ ความเยือกเย็นแผ่กระจายไปรอบตัวนาง วินาทีนั้นผ้าไหมสีแดงที่ปลิวไสวแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ เหมือนกลีบดอกไม้สีแดงที่ร่วงโรย

เงาสีแดงที่ลุกโชนดั่งเปลวเพลิง คนหนึ่งคนและดาบหนึ่งเล่มเปล่งประกายเจิดจ้า

เห็นได้ชัดว่าไม่มีดนตรีประกอบ แต่ทุกคนมองไปที่ฉู่เชียนหลีถือดาบยาวอยู่ตรงหน้า ดูเหมือนจะมีเพลงต่อสู้ที่งดงามดังอยู่ในหูของพวกเขา!

ฉู่เชียนหลีเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาเป็นประกายระยิบระยับยามราตรี ดาบยาวในมือของนางเป็นเหมือนอาวุธที่ไม่มีใครต่อกรได้ ลำแสงเยือกเย็นพุ่งออกมาตามจังหวะการโบกสะบัดมือ

เฟิ่งเสวียนตู้นัยน์ตาสั่นไหวเล็กน้อย แววตาของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ

เผ่าหงส์ รำดาบ!

เขาลุกขึ้นเดินออกไปด้านข้าง ตรงนั้นมีกลองรบที่ที่คณะการแสดงม้ายังไม่ได้ขนย้ายออกไปวางอยู่

ไม้กลองที่อยู่ในมือของเขา ถูกตีลงไปบนหน้ากลองอย่างรุนแรง

“ตุ้ง!”

เสียงกลองที่ทุ้มหนาราวกับทุกเคาะลงไปกลางใจของผู้ชม ทำให้ทุกคนตกอยู่ในภวังค์ในทันที

ฉู่เชียนหลีนัยน์ตาเป็นประกาย ดาบยาวในมือพริ้วไหวราวกับสายรุ้ง

ด้วยท่ารำดาบของนาง พลังวิญญาณสายแล้วสายเล่าครอบคลุมทั้งจัตุรัสและโถงด้านหน้าอย่างไร้ร่องรอย เป็นเหมือนกรงที่กักขังทุกคนไว้ในที่แห่งนี้

หยุนชิงกุย เจ้าชอบการทรมานไม่ใช่หรือ?

วันนี้ ข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มลองรสชาติที่มีคนเป็นดั่งมีด และเจ้าเป็นดั่งเนื้อปลา!

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหมอร้อยพิษสยบปฐพี