ยอดหมอร้อยพิษสยบปฐพี นิยาย บท 69

สรุปบท บทที่ 69 ความรู้สึกที่ถูกคนทรมานเป็นเช่นไร?: ยอดหมอร้อยพิษสยบปฐพี

ตอน บทที่ 69 ความรู้สึกที่ถูกคนทรมานเป็นเช่นไร? จาก ยอดหมอร้อยพิษสยบปฐพี – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

บทที่ 69 ความรู้สึกที่ถูกคนทรมานเป็นเช่นไร? คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายประวัติศาสตร์ ยอดหมอร้อยพิษสยบปฐพี ที่เขียนโดย เย็นอวี่ฟังหัว เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

เฟิ่งเสวียนตู้ตีกลองรบเป็นทำนองเพลงรบเผ่าหงส์ ถึงแม้จะเป้นการตีที่เรียบง่าย แต่กลับสามารถชนะใจและดึงดูดผู้คนได้

ฉู่เชียนหลีราวกับมีทวยเทพคอยช่วยเหลือ พลังวิญญาณกระจายออกไปด้วยความรวดเร็ว ช่วยนางสร้างค่ายกลลึกลับ

ฮ่องเต้และเหล่าผูชมนับร้อยมองไปยังฉู่เชียนหลี มองท่วงท่าการรำดาบของนาง ไม่อยากจะกะพริบตาแม้สักครั้งเดียว ด้วยเกรงว่าจะพลาดท่วงท่าที่งดงามของนาง อดไม่ได้ที่จะรู้สึกปลงในใจ

รวดเร็วดุจดวงดาวที่ตกลงสู่พื้น อ่อนช้อยดุจมังกรทะยานขึ้นฟ้า

เมื่อเริ่มดุจสายฟ้าที่เก็บซ่อนความโกรธ หยุดนิ่งเหมือนแสงที่ส่องประกายบนเจียงไห่ที่สงบไร้คลื่นลม

...

ทันใดนั้น สายตาพวกเขาก็พล่ามัว เสียงของทหารนับพันที่เดินทัพเข้ามาดังก้องอยู่ในหู หัวใจเต้นเร็วขึ้น เลือดราวกับกำลังพุ่งออกมาตามจังหวะการเต้นของหัวใจ

หลังจากนั้น ภาพทหารสู้รบกันในสงครามก็ปรากฏขึ้น ประหนึ่งว่าแม่ทัพชุดแดงยืนอยู่หน้าการต่อสู้ ดาบยาวฟาดฟันผ่านสัญญาณขอความช่วยเหลือของศัตรู

แต่ความรู้สึกขององค์ชายสามกลับแตกต่างออกไป นับตั้งแต่ฉู่เชียนหลีเริ่มรำดาบ เขารู้สึกกดดันอย่างหนักที่หัวใจ ทั้งตัวรู้สึกราวกับว่ากำลังจมลงในโคลนดูด ที่ยิ่งดิ้นรนก็ยิ่งถูกดูดกลืนเข้าไป

“ตุ้ง!”

มันใดนั้น เมื่อเสียงกลองที่ทุ้มต่ำดังขึ้น เขาก็รู้สึกว่าภาพจตรงหน้าเปลี่ยนไปในทันที และจู่ ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเขาได้กลายเป็นม้าศึกสีดำตัวหนึ่ง

จากนั้นเสียงตะโกนปลุกเร้าให้ฆ่าก็ดังขึ้น ดาบ หอกยาว แส้ ก้อนหิน... โจมตีเข้าที่ร่างกายเขาไม่หยุด ทุกการโจมตีทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดเข้าไปในวิญญาณ

“อ้าก!”

ทันใดนั้นเขาก็กรีดร้องโหยหวน แต่ปากกลับถูกใส่ตะกร้อคอบปากเอาไว้ ไม่สามารถอ้าปากได้แม้แต่น้อย

เขาอยากจะวิ่งหนี แต่ขาทั้งสี่ข้างจู่ ๆ ก็เกิดคความรู้สึกเจ็บปวดราวร้าว เมื่อก้อมลงมองจึงได้รู้ว่ากีบทั้งสี่ข้างแตกหัก เลือดไหลอาบไปบนพื้นทรายสีเหลือง

“ปล่อยข้า!”

ฉู่เชียนหลี เจ้ากล้าเล่นงานข้าหรือ?

หยุนชิงกุยไม่หยุดที่จะดินรนต่อสู้ ทุก ๆ ครั้งต่างก็ออกแรงจนหมดพลัง แต่สายบังเหียนที่ปรากฏบนตัวเขากลับรัดเขาไว้แน่น ไม่สามารถทำอะไรได้เลย

หลังจากนั้น ฉู่เชียนหลีที่รวมชุดสีแดงทั้งชุดก็ถือดาบยาวเดินตรงเข้ามาตรงหน้าเขา สายตาที่เยือกเย็นไร้ซึ่งความอบอุ่นและอารมณ์ใด ๆ

ทันใดนั้น ดาบยาวในมือของนางก็โบกสะบัด ปลายดาบหันไปทางดวงตาของเขา

“ไม่... ไม่...”

ดาบยาวเล่มนั้นไม่มีความรีรอใด ๆ ดาบคมแทงทะลุตาทั้งสองข้างของเขา

“อ้าก!”

หยุนชิงกุยกรีดร้องด้วยความทรมานอีกครั้ง ความโกรธที่ถูกเล่นงานในใจได้หายไปจนสิ้น เหลือเพียงความเจ็บปวดและความกลัวเท่านั้น

“ฉู่เชียนหลี... ฉู่เชียนหลี เจ้าปล่อยข้าเถิด ข้าไม่ทำแล้ว...”

“ตุ้ง ตุ้ง ตุ้ง!”

เสียงกลองที่ทุ้มต่ำดังขึ้น แต่ละครั้งราวกับว่าเป็นเสียงนาฬิกาตามล่าวิญญาณ

หยุนชิงกุยไม่ได้รับการตอบกลับใดใด จากนั้นก็มีอาการเจ็บที่หูขึ้นมาอย่างกะทันหัน ต่อจากนั้นเสียงทั้งหมดหายไปในทันที

โลกมืดที่ว่างเปล่าเงียบสงัด ไม่ว่าเขาจะดิ้นรน ตะโกนกรีดร้องอย่างไร ก็ไม่สามารถมองเห็นแสงแม้เพียงเล็กน้อยและไม่ได้ยินเสียงใดใดทั้งสิ้น

ไม่ ไม่!

ดวงตาทั้งสองถูกเจาะ ความสามารถในการได้ยินก็ถูกพรากไป วินาทีนั้นเอง หยุนชิงกุยรู้สึกเพียงว่าตนได้ตกลงไปในโลกที่หมดสิ้นหนทางที่สุด ความสิ้นหวังประดังประเดกันเข้ามาจนท่วมท้น ห่อหุ้มเขาไว้ทีละชั้น ๆ แล้วลากเขาให้ดำดิ่งลงไปเรื่อย ๆ

“ข้าผิดไปแล้ว ข้าสำนึกผิดแล้วจริง ๆ!”

ในตอนแรก เขาออกคำสั่งให้ฆ่าโม่เฟิง เพียงเพราะรู้สึกว่านั่นเป็นเพียงแค่สัตว์เดรัจฉานตัวหนึ่ง ช่วยให้แผนการของเขาสำเร็จลุร่วงไปได้ ถึงตายไปก็ไม่เสียเปล่า

แต่ในวินาทีที่เขาได้กลายเป็นโม่เฟิง ในที่สุดก็รู้จักว่าความเห็นอกเห็นใจคืออะไร!

การรำดาบของฉู่เชียนหลีมาถึงช่วงสุดท้าย ทั่วทุกคนได้ยินเสียงเพลงแห่งชัยชนะดังขึ้นที่ข้างหู กองทัพได้รับชัยชนะ

เมื่อตอนออกไปรบนั้นทั้งยิ่งใหญ่และกล้าหาญ ในตอนที่กลับมานั้นกลับไม่เหลือใครสักคน มีแต่ความหายนะปรากฏตรงหน้า

การรบได้รับชัยชนะ แต่กลับมีพี่น้องร่วมชาติจำนวนนับไม่ถ้วนถูกกลบฝังอยู่ในทรายสีเหลืองตลอดไป

เพลงสงครามแปลเปลี่ยนเป็นความเศร้าโศก ภาพกองทัพที่แตกสลายกลับมายังบ้านเกิดของพวกเขาปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคน

ธงขาวโบกสะบัดกลางอากาศ เสียงกรีดร้องที่สุดแสนอ้างว้างได้กรีดแทงทะลุหัวใจของผู้คน

ซากกระดูกถูกทิ้งไว้ไกลหลายหมื่นลี้ แต่ละบ้านทำได้เพียงเรียกวิญญาณมาฝั่งไว้ใต้เมือง

“ตุ้ง!”

ฉู่เชียนหลีมองไปทางหยุนชิงกุยที่ไม่รู้ว่าเป็นลมไปจริงหรือว่าแกล้งเป็นลม ความโมโหที่อยู่ภายในใจนั้นก็พลันหายไปมากแล้ว

“ฝ่าบาทชมเกินไปแล้วเพคะ หม่อมฉันเกิดและโตในชนบท ไม่เคยได้ร่ำเรียนการระบำ จึงได้ระบำดาบไปตามเรื่อง น่าอายเสียจริงเพคะ”

“สามารถร่ายรำดาบได้ดั่งเช่นเจ้า ยังถือว่าเกลียด เช่นนั้นทั่วทั้งประเทศตงเสวียนเกรงว่าคงจะไม่มีใครกล้าออกมารำดาบยาวแล้วล่ะ ไหนลองพูดมาเถิด เจ้าอยากได้อะไรเป็นของรางวัล?”

ฉู่เชียนหลีเงยหน้าขึ้น ใบหน้าที่งดงามไร้ที่ติภายใต้แสงพล่ามัวยามค่ำคืนที่ปกคลุมอยู่นั้น ยิ่งส่งให้นางงดงามจนคนมองต้องใจสั่น

“ฝ่าบาท หม่อมฉันมิกล้า แต่เพียงหวังว่าจะพาโม่เฟิงกลับไปที่ตระกูลซูได้ โดยมีท่านลุงและท่านผู้พี่ของข้าคอยดูแลด้วยตนเองเพคะ”

ฮ่องเต้สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย “โม่เฟิงแต่เดิมก็เป็นม้าศึกคู่กายของซูยี่ ยกให้เขานั่นเป็นเรื่องที่สมควร เจ้ามิจำเป็นต้องสิ้นเปลืองโอกาสในครั้งนี้”

ฉู่เชียนหลีส่ายหน้า “ฝ่าบาท ตามกฎหมายแล้ว ม้าศึกที่ถูกปลดจะต้องอยู่ในการดูแลของกรมม้าศึก นี่เป็นข้อปฏิบัติ ท่านลุงและหม่อมฉันมิอาจมองข้ามกฎหมายได้ ดังนั้นหม่อมฉันจึงทำได้เพียงขอร้องต่อฝ่าบาทให้ทรงเมตตาเพคะ”

ฮ่องเต้เผยสีหน้าผ่อนคลาย “ดี นิสัยเช่นนี้ของเจ้า เจิ้นชอบใจยิ่งนัก อนุญาต”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท”

ซูยี่นั่งอยู่บนรถเข็น ถึงซูจิ่นจือเข็นมาด้านหน้า เพื่อทำความเคารพและเป็นการขอบคุณในเมตตาของจักรพรรดิ

เพิ่งได้สัมผัสฉากการต่อสู้อันน่าสลดใจผ่านการร่ายรำดาบ เมื่อทุกคนมองไปที่ซูยี่อีกครั้ง ในนาทีนั้นก็เกิดความรู้สึกผสมปนเปกันในใจ

ฮ่องเต้เอ่ยปาก “เอาล่ะ งานเลี้ยงสิ้นสุดลงแล้ว ฉู่เชียนหลีและอาจารย์เทียนเสวียนรออยู่ก่อน ส่วนคนอื่น ๆ ก็เดินทางกลับเถิด”

“พ่ะย่ะค่ะ”

ฉู่เชียนหลีพร้อมกับกลุ่มคนจำนวนหนึ่งเดินตามจักรพรรดิกลับเข้าไปภายในตำหนักอีกครั้ง

ฮ่องเต้มองไปยังซูยี่ที่นั่งอยู่บนรถเข็น สีหน้ากังวลใจก็เผยขึ้นบนใบหน้าของเขา

“เชียนหลี ฝีมือการแพทย์ของเจ้า เจิ้นได้เห็นมากับตา สามารถกลั่นยาที่น่าอัศจรรย์เช่นนั้นออกมาได้ เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ทวยเทพประทานทีเดียว เช่นนั้นจะมีวิธีรักษาซูยี่และซูจิ่นจือให้หายดีหรือไม่?”

“ทูลฝ่าบาท บาดแผลของท่านลุงและท่านผู้พี่ หม่อมฉันได้เคยช่วยตรวจดูแล้วก่อนหน้านี้ พิษประหลาดที่ทั้งสองได้รับนั้น หม่อมฉันก็เคยลองถอนพิษดูแล้ว แต่จุดลมปราณของท่านผู้พี่ถูกทำลาย ข้าของท่านลุงก็พิการมานานหลายปี ต่อให้เป็นหม่อมฉัน ก็ไร้ซึ่งความสามารถเพคะ”

ฉู่เชียนหลีตอบด้วยความเสียดาย

เมื่อพูดจบ นางก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงความรู้สึกที่ผ่อนคลายขึ้นมาในทันทีของฮ่องเต้ อดไม่ได้ที่จะยิ้มเยาะเล็กน้อย

หัวใจของกษัตริย์ ช่างสกปรกโสมมเสียจริง เพราะไม่รู้ว่าพลังที่ซ่อนเร้นในร่างกายของท่านลุง มีความเกี่ยวข้องกับราชวงศ์หรือไม่?

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหมอร้อยพิษสยบปฐพี