ยอดเขาไต้หยุน บุรุษในชุดขาวผู้หนึ่งยืนอยู่บนยอดเขาที่สูงที่สุด เมื่อเห็นอินทรีมู่หยูกลับมา รอยยิ้มประจบสอพลอก็ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าทันที
“อินทรีมู่หยู เจ้าพักผ่อนก่อน รอถึงตอนกลางคืน ก็ถึงเวลาที่พวกเราจะทำให้ทั่วทั้งตงเสวียนสั่นสะเทือนแล้ว!”
อินทรีมู่หยูหยุดอยู่บนก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่ง ทำความสะอาดขนของตน โดยไม่ได้สนใจบุรุษที่กำลังกล่าวอยู่เลยสักนิด
บุรุษผู้นั้นกลับไม่ได้ใส่ใจ และเดินเข้าไปช่วยแปรงขนให้กับอินทรีมู่หยู จากนั้นก็ได้หยิบข้าวทิพย์ออกมากำหนึ่งแล้วประเคนให้
อินทรีมู่หยูกระพือปีกอย่างยิ่งยโส แล้วก้มหน้าลงกินอาหาร
ในพระราชนิเวศน์ เพราะเรื่องของไก่ขนม่วง ฮ่องเต้จึงได้เรียกเหล่าขุนนางให้มาประชุม ส่วนฉู่เชียนหลีนั้นได้อยู่ในห้องกับเซินเป่า
เฟิ่งเสวียนตู้ยกน้ำชาและของว่างเข้ามา ก็ได้เห็นฉู่เชียนหลียื่นแขนออกมา เลิกแขนเสื้อขึ้น ปรากฏให้เห็นข้อมือขาว ๆ บนข้อมือ กำไลหยกเลือดหงส์เปล่งประกายงดงาม
เซินเป่านั่งลงไปที่ข้างเก้าอี้ ประเคนกำไลหยกเลือดขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ปากเล็ก ๆ ก็เริ่มขมุบขมิบ
“กำไลน้อย เซินเป่าอยากได้ไหมเงือก! เซินเป่าอยากได้ไหมเงือก......”
เฟิ่งเสวียนตู้ฝีเท้าชะงักไปเล็กน้อย และกล่าวอย่างงุนงง: “ทำอะไรกัน?”
ฉู่เชียนหลีหยิบของว่างขึ้นมาก้อนหนึ่งแล้วใส่ลงไปในปาก และเอ่ยตอบ: “พอพรน่ะ!”
“จะได้ผลได้อย่างกัน?”
ฉู่เชียนหลีเงยหน้า: “เมื่อก่อนข้าเองก็ไร้เดียงสาเหมือนกับเจ้า”
สู้เอาเป็นเอาตายอยู่ที่องค์กรกาลเวลามานานหลายปี นางเชื่อมาตลอดว่ามีให้ถึงจะมีได้ ต่อมาได้เห็นความรักความเข้าข้างที่กำไลหยกเลือดหงส์มีต่อเซินเป่า นางถึงพลันเข้าใจขึ้นมา
ในตอนที่เจ้าวิ่งไปข้างหน้าอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่นั้น ก็ได้มีขึ้นคนรถสปอร์ตไปเสียแล้ว
เพราะฉะนั้น ทำใจให้ชินก็พอ
เฟิ่งเสวียนตู้หลุดหัวเราะออกมา จากนั้นก็ส่ายศีรษะ
กำไลหยกเลือดหงส์เป็นสมบัติของเผ่าหงส์ แต่สืบทอดกันมา เป็นสัญลักษณ์ของราชินีหงส์มาโดยตลอด อย่างมากก็แค่ช่วยเพิ่มแรงผูกติดระหว่างเผ่าหงส์และไฟประหลาดเท่านั้นเอง และสะดวกต่อการให้กำเนิดทายาท ส่วนอย่างอื่น......
“แปะ!”
เสียงหนึ่งดังขึ้น เส้นไหมม้วนหนึ่งตกลงมาบนโต๊ะ
เซินเป่าดวงตาเป็นประกายขึ้นมา และจูบลงไปบนกำไลหยกเลือดหงส์
“ขอบคุณกำไลน้อย ท่านแม่ รีบดูเร็ว อันนี้ใช้ได้หรือไม่?”
ฉู่เชียนหลีหยิบของที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมา ใช้นิ้วลองบิดไปมา: “ใช้ได้!”
“ท่านแม่ แล้วจะจับไก่ขนม่วงได้ไหมขอรับ?”
“ไม่มีปัญหา!”
ฉู่เชียนหลียกแขนขึ้นแล้วโบกไปมา และส่งรอยยิ้มที่มีความหมายลึกซึ้งให้กับเฟิ่งเสวียนตู้
“กำไลน้อย เจ้าไม่เลวเลยจริง ๆ !”
บนกำไลหยกเลือดหงส์ เหมือนมีแสงแวบผ่านไปราง ๆ และหายไปในทันที
ฉู่เชียนหลียิ้มเยาะ: เหอะ ๆ ในที่สุดนางก็พบเข้ากับข้อลับลมคมในแล้วสินะ?
นางว่าแล้วเชียว คนในองค์กรกาลเวลาพวกนั้น มีใครบางที่ไม่ถูกนางสั่งสอนจนเชื่อฟัง ถ้าหากมีประสงค์ร้ายต่อนางจริง ๆ ก็ควรที่จะวางแผนสังหารนางอย่างไม่อาจหนีรอดไปได้ แต่ไม่ใช่ทิ้งให้มาอยู่ที่นี่โดยไม่ถามสารทุกข์สุกดิบ
ไหมเงือกม้วนนี้นางได้มาตอนที่เข้าไปในโลกแห่งปีศาจ ปีศาจเงือกได้เป็นผู้สร้างขึ้น ตกน้ำไม่ละลายตกไฟไม่ไหม้ ทอเป็นผ้า กลายเป็นผ้าคลุมเงือกแยกพลังวิญญาณ ทำให้ล่องหนได้ เป็นสมบัติวิเศษของโลกแห่งนั้น
ตามหลักแล้ว ของประเภทนี้อยู่ในขอบเขตที่องค์กรกาลเวลาจะเก็บเอากลับไป
ทว่าในตอนนี้ มันกลับได้หล่นออกมาจากกำไลหยกเลือดหงส์ นั่นก็หมายความว่า กำไลบัดซบนี่ได้ซ่อนเครื่องมือของนางเอาไว้มากกว่านี้ใช่หรือไม่?
เซินเป่าสัมผัสได้ถึงอารมณ์ความรู้สึกของฉู่เชียนหลี จึงได้รีบวิ่งเข้ามาดึงแขนเสื้อของนางเอาไว้ในทันที
“ท่านแม่ เป็นอะไรไป? อารมณ์ไม่ดีหรือเปล่า?”
ฉู่เชียนหลีลูบศีรษะเล็ก ๆ ของเขา
“ไม่หรอกจะ ท่านแม่อารมณ์ดีมาก อีกไม่นานก็จะให้ลูกได้ทานไก่ขนม่วงตุ๋นโสมชื่อหยุน”
“ขอรับ”
เฟิ่งเสวียนตู้นั่งอยู่ที่ด้านข้าง เขาอ้าปากอยู่บ่อยครั้ง สุดท้ายก็เก็บเอาความตกตะลึงที่อยู่ภายในใจเอาไว้
กำไลหยกเลือดหงส์สามารถขอพรได้จริง ๆ เช่นนั้นหรือ?
จากนั้น ร่องรอยความปีติยินดีก็ได้เกิดขึ้นภายในใจ
“เชียนหลี เจ้าให้ข้าได้รับรู้ถึงความสามารถของกำไลหยกเลือด ไม่กลัวว่าข้าจะเกิดความโลภขึ้นมาหรือ?”
ฉู่เชียนหลีโยนไหมเงือก ที่อยู่ในมือเบา ๆ ในช่วงที่กลอกลูกตาไปมานั้นรอยยิ้มก็ได้ปรากฏขึ้นมาในดวงตา: “เจ้าจะลองดูก็ได้”
“ไม่จะดีกว่า”
“เด็กดี!”
ผ่านไปสักพักใหญ่ ๆ เทียนชูและเทียนเสวียนก็ได้พาคนเฝ้าลานบ้านเอาไว้
ภายในห้อง ฉู่เชียนหลียกแขนขึ้นเล็กน้อย ปลายนิ้วขาว ๆ แฝงไปด้วยแสงอ่อน ๆ ของพลังทิพย์ ไหมเงือก ถูกกลั่นแปลด้วยพลังทิพย์ ทำให้โปร่งใสแข็งแรงขึ้น
จากนั้นไม่นาน พลังทิพย์ที่ไร้ตัวตนสายแล้วสายเล่า ได้กระจายสอดประสานกันไปทั่วห้อง จากนั้นไหมเงือกที่โปร่งใสก็สอดแทรก ล้อมรอบไปตามเส้นทางของพลังทิพย์ กลายเป็นกลายเป็นตาข่ายที่หนาแน่น
ฉู่เชียนหลีทำสัญลักษณ์มือขึ้นมา ค่ายทิพย์ที่ลึกลับค่อย ๆ รวมตัวขึ้นมาบนมือของนาง จากนั้นไม่นาน นางพลิกฝ่ามือ สลักค่ายทิพย์ลงไปบนตาข่ายไหมเงือก“สำเร็จแล้ว!”
ร่างของฉู่เชียนหลีโอนเอน สีหน้าก็ซีดขาวลงเล็กน้อย
เฟิ่งเสวียนตู้รีบขยับเข้ามา พยุงไหล่ของนางเอาไว้ และขมวดคิ้ว
เพื่อของกิน ไม่เสียดายที่จะใช้พลังของตนไปจนหมด มันคุ้มหรือ?
ฉู่เชียนหลีเก็บตาข่ายไหมเงือกลง ในแววตาเต็มไปด้วยการเฝ้ารอ
“เอาล่ะ ทุกอย่างเตรียมพร้อม ขาดแค่ไก่จนม่วงแล้ว”
ในลานล่าสัตว์ เนื่องจากการปรากฏตัวของอินทรีมู่หยู ฮ่องเต้ไม่มีกะจิตกะใจจะล่าสัตว์เลยสักนิด เพียงแค่ทำเป็นเชิงสัญลักษณ์เท่านั้นเอง
ตอนค่ำ หลังจากที่การล่าสัตว์เสร็จสิ้นลง ก็คืองานเลี้ยงกองไฟ
ฉุ่เชียนหลีมาพร้อมกับเซินเป่าและเฟิ่งเสวียนตู้ มองไปรอบ ๆ ลานล่าสัตว์ ก็พบว่าทหารรักษาพระองค์ที่คอยคุ้มกันอยู่รอบพระราชนิเวศน์นั้นเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
กองไฟลุกโชน เกาหลินให้คนเอาขากวางที่เสียบไม้เรียบร้อยแล้วมาให้ฉู่เชียนหลี เพื่อให้นางสะดวกต่อการสัมผัสความน่าสนใจของการอย่างเนื้อ
ฉู่เชียนหลียื่นขากวางให้กับเซินเป่า
เซินเป่าครุ่นคิดอยู่สักพัก ก็ยื่นขากวางให้กับเฟิ่งเสวียนตู้
“อาขี้เหร่ เซินเป่าจะเก็บท้องไว้ทานไก่ขนม่วง”
เฟิ่งเสวียนตู้ได้แต่รับเอาขากวางมา และนำไปย่างที่ข้างกองไฟ
ไม่รู้ว่าคืนนี้พวกเขาจะรอการมาถึงของไก่ขนม่วงตัวนั้นได้หรือเปล่า ย่างขากวางให้เสร็จก่อน หากพวกเขารอจนหิวขึ้นมา ก็พอที่จะรองท้องได้บ้าง
เทียนชูและเทียนเสวียนยืนอยู่ด้านข้าง แอบกลืนน้ำลายอย่างเงียบ ๆ
เฮ้อ จะว่าอย่างไรดีล่ะ ชินแล้วก็จะดีเองสินะ
ฮ่องเต้ยกจอกเหล้าขึ้นมา: “งานเลี้ยงกองไฟของการล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ผลิ ทุกคนยกจอกขึ้นพร้อมกันกับข้า แก้วที่หนึ่งคำนับฟ้าดิน ขอให้ตงเสวียนของข้าเป็นมิตรกับสวรรค์ อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขกับผืนดิน......”
“ขอตงเสวียน เป็นมิตรกับสวรรค์ อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขกับผืนดิน
ทุกคนต่างลุกขึ้นยกจอก เตรียมทำการคารวะ
วินาทีต่อมา จู่ ๆ แสงอันเจิดจรัสก้ได้ลอยขึ้นมาจากในป่า จากนั้นเสียงบรรเลงที่มีท่วงทำนองทรงพลังก็ได้ดังขึ้นตามมา คล้ายเสียงสันสกฤต แต่ก็ยังขาดความเป็นพุทธอยู่บ้าง มีไปสังหารอยู่มากยิ่งกว่า
จากนั้น แสงสว่างสาดส่องไปทั่วทั้งบริเวณ ครอบคลุมลานล่าสัตว์เอาไว้
“รีบดูเร็ว!”
เมื่อนานมาแล้ว พวกเขาเคยได้เห็นไข่มุกมังกรแก้ว มาก่อน ตอนนั้นก็รู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
ทว่าในตอนนี้ แสงของลูกแก้วที่ลอยอยู่ในอากาศนั่นเจิดจรัสยิ่งกว่า ถึงขนาดที่ทำให้ผู้คนเกิดเป็นภาพลวงตาเหมือนกับว่าพระจันทร์กำลังสาดสองอยู่ ทั่วทั้งเขาไต้หยุนเปลี่ยนจากกลางคืนสว่างไสวเหมือนตอนกลางวันในทันที
ในกลุ่มคน นางอู๋และฉู่หลิงเซวียนที่ฝืนทนมาโดยตลอดมีท่าทางตื่นเต้นดีใจขึ้นมาทันที
พวกนางแฝงตัวเข้ามาในลานล่าสัตว์ แต่ก็ไม่มีสิทธิ์มาร่วมงานเลี้ยงกองไฟโชคยังดีที่ตำแหน่งว่าที่พระชายาองค์ชายสามยังพอใช้ได้อยู่บ้าง พวกคนชั้นล่างยังไม่อยากจะล่วงเกินองค์ชายสามไปอย่างสิ้นเชิง จึงได้จัดที่นั่งบริเวณริมขอบให้กับพวกนาง
จักต้องเป็นหานปี้มาแล้วอย่างแน่นอน!
พี่ชาย จักต้องเป็นพี่ชายแน่!
วินาทีต่อมา ภายใต้แววตาเฝ้าคอยของพวกนาง เงาร่างคนสายหนึ่งก็ได้ลอยออกมาจากป่า
เขาสวมชุดผ้าเนื้อดีสีขาวไร้ที่ติ สวมมงกุฎผมสีม่วงอยู่บนศีรษะ แสงสว่างห่อหุ้มไปทั่วร่าง เหมือนเดินเหยียบพระจันทร์มา
วินาทีก่อนหน้า เหมือนว่าอยู่ห่างไกลจากผู้คนมาก วินาทีต่อมากลับใกล้เพียงเอื้อมมือ ราวกับมีเพียงเซียนที่สามารถย่อโลกให้เหลือเท่านิ้วมือได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหมอร้อยพิษสยบปฐพี
เรื่องนี้สนุกมากขอทางทีมงานอัพเดทต่อด้วยนะคะ😭...
อยากให้อัพเดทเรื่องนี้ต่อไปนะคะ😭...
เรื่องนี้สนุกมากไม่ลงตอนใหม่แล้วหรอค่ะ...
ขอร้องลงตอนใหม่ด้วยนะคะ😭...
เรื่องนี้ไม่ลงต่อแล้วหรอค่ะ...
เรื่องนี้ไม่อัพเดทแล้วหรอค่ะ...