ไฟในจวนของนางหวังสว่างไสว และทุกที่ล้วนมีการจุดโคมไฟทั้งหมดแล้ว
แม่นมจางยกผ้าม่านขึ้นให้ชีหยวน แต่ยังไม่ได้อ้อมผ่านฉากกั้น ก็ได้ยินเสียงที่อ่อนโยนดังขึ้น “ท่านแม่ ผ้าปักซูซิ่ว[footnoteRef:1] เรียนยากจริง ๆ เลยนะเจ้าคะ นิ้วมือของข้าถลอกจนกลายเป็นแผลหมดแล้ว” [1: เป็นรูปแบบการปักผ้าที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของมณฑลเจียงซู]
เสียงนี้หวานจนเลี่ยนเล็กน้อย การเคลื่อนไหวของชีหยวนชะงักไปครู่หนึ่ง เมื่ออ้อมผ่านฉากกั้นมา ก็เห็นนางหวังตอนนี้เอนตัวอยู่บนเตียงยาว และด้านข้างมีบุตรสาวที่สวมชุดผ้าโปร่งสีชมพูกำลังยกมือขึ้นให้นางดูอยู่
นี่ก็คือชีจิ่น
จิ่นที่แปลว่ายอดเยี่ยมงดงาม เมื่อได้ฟังชื่อนี้ ก็ทราบแล้วว่าจวนโหวรักและให้ความสำคัญต่อบุตรสาวคนนี้มากเพียงใด
นางหวังยิ้มและมองนิ้วมือทั้งสิบของนางอย่างใจเย็น พลางเอื้อมมือไปจิ้มแก้มของนาง “ข้าไม่ได้ให้เจ้าไปเป็นซิ่วเหนียง[footnoteRef:2]เสียหน่อย ลองเรียนดูก่อน จะได้รู้วิธีและจดจำไว้ก็พอแล้ว” [2: หญิงที่มีความสามารถด้านการเย็บปักถักร้อย หรือเป็นอาจารย์ที่สอนเกี่ยวกับงานฝีมือ]
เมื่อเห็นชีหยวนมา นางหวังก็เก็บรอยยิ้มที่รักใคร่บนใบหน้าลงโดยไม่รู้ตัว และพยักหน้าอย่างเคร่งขรึมเล็กน้อย “อาหยวนมาแล้วหรือ”
ชีหยวนเดินไปหานางหวังอย่างช้า ๆ และค้อมตัวเพื่อแสดงความเคารพกับนางหวัง “คารวะท่านแม่เจ้าค่ะ”
ท่าทางและมารยาทล้วนไร้ที่ติ
และในเวลาเดียวกัน ชีจิ่นก็หันหน้ามามองนางด้วยรอยยิ้มที่เหมือนกับไม่ยิ้ม และรอมยิ้มตรงมุมปากก็ค่อย ๆ นิ่งค้างไป
ไม่รู้ว่าชีหยวนเพิ่งเรียนรู้กฎและมารยาทเดี๋ยวนั้นหรือไม่ ถึงไม่มีจุดที่จะสามารถจับผิดได้เลย
ซึ่งห่างไกลจากสิ่งที่นางจินตนาการไว้ว่า เติบโตอยู่ในชนบท ผิวหยาบกร้าน และหยาบคายไร้ความรู้
แต่สิ่งที่ทำให้นางยิ่งไม่สบายใจก็คือใบหน้านี้ของชีหยวน
ใบหน้านี้ ช่างเหมือนกับคนในตระกูลชีมากเหลือเกิน
เพียงแค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นบุตรสาวของตระกูลชี
หัวใจของนางค่อย ๆ จมดิ่งลง ส่วนโค้งที่มุมปากก็เกร็งเช่นเดียวกัน
เมื่อชีหยวนคารวะเสร็จ นางหวังก็แนะนำกับชีหยวน “นี่คือน้องรองของเจ้า...พวกเจ้าเป็นพี่น้องฝาแฝดกัน และต่อไปก็จะต้องอยู่ร่วมกันดีๆ รู้หรือไม่?”
ช่วงที่นางหวังอยู่ต่อหน้าชีหยวน การพูดจาก็มักจะไม่ค่อยดูเป็นธรรมชาติสักเท่าใดนัก
โดยเฉพาะเมื่อเอ่ยประโยคนี้ออกมา ก็จะยิ่งหลบสายตาของชีหยวนโดยไม่รู้ตัว
กลับเป็นชีจิ่น ที่หันไปมองทางชีหยวนด้วยรอยยิ้มมที่เหมือนกับไม่ยิ้ม บนใบหน้าก็แฝงไปด้วยความเย้ยหยันที่ดูเหมือนจะยินดีในความทุกข์ของคนอื่นเล็กน้อย
สิ่งที่ทำให้นางผิดหวังคือ สีหน้าของชีหยวนกลับไม่เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย และขณะเดียวกันก็ยังใช้ท่าทางที่หยอกล้อมองกลับมาอีกด้วย
สายตาของทั้งสองปะทะกัน และชีหยวนก็ยิ้มไปทางนางอย่างคล้อยตามเสียก่อน “น้องรอง”
ชีจิ่นไม่มีทางเลือกนอกจากฝืนยิ้มออกมา “พี่หญิงใหญ่ ในที่สุดพี่ก็กลับมาเสียที ได้ยินว่าพี่เกิดเรื่องจนขึ้นศาลาว่าการ ข้าเป็นห่วงพี่มากเลยนะเจ้าคะ”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องที่ศาลาว่าการ คิ้วของนางหวังก็ขมวดอีกครั้ง และน้ำเสียงก็เย็นชายิ่งขึ้น “เรื่องในอดีต ก็ไม่ต้องเอ่ยถึงอีกแล้ว”
แค่นึกถึงบุตรสาวที่ใช้ชีวิตอยู่ในชนบทมานานขนาดนั้น แถมต้องอยู่ร่วมกับคนหยาบกระด้างเหล่านั้น และปะปนอยู่ในสังคมแบบตลาดอีก นางก็ไม่สบายใจมากแล้ว
ชีจิ่นกัดริมฝีปาก และทันใดนั้นน้ำตาก็เต็มขนตา “ท่านแม่ ข้าพูดอะไรผิดไปใช่หรือไม่เจ้าคะ? ข้าเองก็รู้ดีว่า ถึงอย่างไรข้าก็เป็นเพียงนกเขาที่แย่งรังนกเอี้ยง[footnoteRef:3]...” [3: เป็นสำนวนที่เปรียบเปรยถึงการเข้าไปครอบครองสิ่งที่ไม่ใช่ของตนเองหรือแย่งชิงที่อยู่อาศัยของคนอื่น]
มีบางครั้ง ชีหยวนก็นับถือคนอย่างชีจิ่นมาก เห็นได้ชัดว่าเป็นคนใจแข็ง แต่ภายนอกกลับทำตัวน่าสงสารอยู่เสมอ
ใช้ใบหน้าที่ไร้เดียงสาที่สุดนี้ แกลับเอ่ยคำพูดที่แทงใจคนที่สุด
นางหวังรู้สึกสงสารมาก กอดชีจิ่นไว้ในอ้อมแขนและตำหนิด้วยเสียงที่แผ่วเบา “พูดไร้สาระอะไร? เจ้าก็เหมือนกับพี่สาวเจ้า ล้วนเป็นบุตรสาวแท้ ๆ ของข้า!”
เลี้ยงดูมานานหลายปีขนาดนี้ ไม่ใช่บุตรแท้ ๆ ก็เหมือนเป็นบุตรแท้ ๆ แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ชีจิ่นปากหวานและเชื่อฟัง แต่ไหนแต่ไรก็เป็นแก้วตาดวงใจที่นางหวังใส่ใจมากที่สุด
ในด้านความรู้สึก นางหวังถึงกับไม่คาดหวังว่าเรื่องเข้าใจผิดนี้จะเป็นจริง
นางไม่ได้มองชีหยวนมากนัก
ชีจิ่นสะอื้นอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็หยุดร้อง และเอ่ยกับนางหวังด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวาน “ท่านแม่ ข้าอยากกินขนมถั่วกวน[footnoteRef:4]เจ้าค่ะ” [4: ทำจากถั่วลันเตาเหลือง เป็นขนมที่นิยมในราชสำนักในสมัยโบราณของจีน]
เมื่อหัวร้อน นางก็ทนไม่ไหวจึงถาม “พี่หญิง ข้าได้ยินว่าก่อนที่ท่านจะกลับมา พ่อแม่บุญธรรมของพี่ล้วนเสียชีวิตกันหมดแล้ว...ทำไมท่านถึงไม่เสียใจสักนิดเลยเล่าเจ้าคะ?”
นางหวังตกตะลึง
ชีหยวนก็เงยหน้ามองไปทางชีจิ่น
จากมุมที่นางมองไป บนใบหน้าของชีจิ่นเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ราวกับคุณหนูใหญ่ที่ไร้เดียงสาและไม่คุ้นเคยกับเรื่องทางโลกคนหนึ่ง
ชีจิ่นถามเรื่องเหล่านี้ ไม่ใช่ต้องการแค่ทำให้นางไม่สบายใจ และในขณะเดียวกันก็เป็นการเตือนสตินางหวังด้วย ว่านางถูกคนขายเนื้อสวี่กับหลี่ซิ่วเหนียงเลี้ยงดูมานานกว่าสิบปี แถมยังเย็นชาต่อพ่อแม่บุญธรรมแบบนี้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงบิดามารดาแท้ ๆ ที่ไม่เคยเลี้ยงดูเลย
ช่างใช้ใบหน้าอ่อนโยนราวกับพระโพธิสัตว์นี้ ทำเรื่องชั่วร้ายที่สุดเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนเลยจริง ๆ
แต่น่าเสียดาย ชีหยวนไม่คิดจะพูดจาเหน็บแนมกับนาง
นางเบิกตาโตอย่างตรงไปมา “น้องหญิงไม่รู้หรือ? การตายของพวกเขาไม่ค่อยสวยเท่าใดนัก หลี่ซิ่วเหนียงแอบคบชู้กับคนอื่น ลอบฆ่าสามีตนเอง และถูกโยนลงทะเลไปแล้ว”
นางจ้องมองชีจิ่นไม่วางตา และเอ่ยอย่างเย้ยหยัน “อีกอย่าง เขาว่ากันว่าเลือดย่อมข้นกว่าน้ำ ข้าน่าจะ ไม่ใช่คนที่ควรจะปวดใจมากที่สุดคนนั้นกระมัง?”
ในคืนนั้นคนขายเนื้อสวี่กับหลี่ซิ่วเหนียงเลือกให้ติงเฉิงหย่งเข้าไปในห้องของนาง ซึ่งจะต้องได้รับสัญญาณจากชีจิ่นอย่างแน่นอน
แม้สองคนนี้จะไม่ใช่คน แต่เพื่อชีจิ่นบุตรสาวคนนี้แล้ว ก็ถือได้ว่าจริงใจมากทีเดียว
นางเองก็อยากเห็นเหมือนกันว่า เมื่อชีจิ่นได้ยินถึงการตายของหลี่ซิ่วเหนียงกับคนขายเนื้อสวี่ จะมีปฏิกิริยาอย่างไร
สีหน้าของชีจิ่นซีดลงในทันที สายตาก็เผยความโกรธแค้นออกมา และโผเข้าสู่อ้อมแขนนางหวังพลางร้องไห้เบา ๆ “ท่านแม่ ข้ากลัวเจ้าค่ะ...”
นางหวังรู้สึกไม่พอใจ และหันหน้ามาตักเตือนต่อชีหยวนอย่างเย็นชา “เรื่องที่ไร้สาระจากบ้านนอกแบบนี้ ทำไมถึงเอามาพูดถึงในบ้านได้? เจ้าช่างไร้มารยาทยิ่งนัก!”
ชีหยวนหัวเราะเสียงเย็นในใจ
คนที่เอ่ยขึ้นมาก่อนดูเหมือนจะไม่ใช่นาง แต่นางหวังกลับละเลยจุดนี้และหันมาตำหนิตนเอง เห็นได้ชัดว่าเลือกที่รักมักที่ชังเกินไปหน่อยแล้ว

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงในเงามาร