หลินเทียนเฟิงพ่นลมหายใจออกมาหนึ่งที
“เหอะ แน่นอนว่าต้องไปอยู่แล้ว! เพียงแต่ในผาแดนสวรรค์นั้นมีค่ายกลเคลื่อนย้ายระดับหนึ่งอยู่เพียงเครื่องเดียว แถมยังมาพังในช่วงวิกฤตเช่นนี้ด้วย มันจึงทำให้ทางเราล่าช้า! และกว่าจะซ่อมเสร็จก็ต้องใช้เวลาถึงสองวัน…เจ้ากลับไปแจ้งเช่นนี้ก่อน แล้วข้าจะเขียนจดหมายส่งไปทีหลัง แทนการอธิบายเหตุผลของทางเราให้ฝั่งนั้นเข้าใจอย่างชัดเจน”
“ขอรับ!”
เมื่อองค์รักษ์ได้ยินเช่นนั้น เขาจึงถอยกลับไปอย่างรวดเร็ว
หลินเทียนเฟิงยืนนิ่งอยู่กลางลานบ้านครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหลังกลับแล้วเดินเข้าไปในเรือน
เขาขมวดคิ้วแน่นไม่คลาย เห็นได้ชัดว่าในใจยังกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่เป็นระยะ
ซึ่งปัญหาแรกก็คือ พิธีเฉลิมฉลองวันคล้ายวันประสูติของโอรสสวรรค์ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้ว หากพวกเขาเลื่อนนัดออกไปอีกคงดูไม่ดีแน่
สถานะภาพของผาแดนสวรรค์นั้นมิได้สูงส่งนัก ถ้าเกิดพวกเขาตัดสินใจพลาดในช่วงเวลาน่าเสี่ยวหน้าขวานเช่นนี้ ก็มีแต่จะแย่ลงกว่าเดิม!
และอย่างที่สองก็คือ แค่ได้รู้เกี่ยวกับสภาพร่างกายของหลินจือเฟย ก็ยิ่งทำให้เขาอารมณ์เสียมากขึ้นเท่าตัวแล้ว
เขาเดินไปหาทั้งสองคนและทอดสายตามองตู๋กูเยว่ด้วยใบหน้าเศร้าหมอง
“ม่ายสาว เจ้าน่ะ…ช่วยผ่อนปรนให้ข้ามิได้เลยหรือ? ขอเพียงแค่เจ้ารักษาจือเฟยให้หายดี หลังจากนี้ตระกูลหลินของข้า จะยกยอเชิดชูปฏิบัติต่อเจ้าในฐานะอาคันตุกะผู้ทรงเกียรติแน่นอน!”
หลินจือเฟยหลุบตาลงพร้อมสีหน้าเรียบเฉย
“เกิดแก่เจ็บตายคือสัจธรรม ท่านพ่อ ท่านอย่าได้บังคับแม่ม่ายตัวน้อย…”
“แต่ก็ใช่ว่ามันจะไร้หนทาง”
ในที่สุดฉู่หลิวเยว่ก็เอ่ยปาก
แววตาของหลินเทียนเฟิงทอประกายวาววับ
“เชิญกล่าวออกมาได้เลยแม่สาวน้อย!”
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะ พลันย้อนถามกลายๆ ว่า
“เหมือนเมื่อครู่ข้าจะได้ยินว่า ประมุขหลินจะไป…ร่วมงานเฉลิมฉลองวันคล้ายวันประสูติของโอรสสวรรค์หรือ?”
หลินเทียนเฟิงชะงัก แต่ไม่ได้คิดจะปิดบัง
“ใช่แล้ว”
ยามนี้มีคนทราบเรื่องนี้แล้วไม่น้อย และมันไม่มีสิ่งต้องห้ามที่พูดออกไปไม่ได้
ฉู่หลิวเยว่ยังคงสงบนิ่ง ทว่ามือเรียวที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อกลับค่อยๆ กำหมัดทีละนิด
ก่อนที่นางจะถามเน้นทีละคำว่า
“มิทราบว่าโอรสสวรรค์ผู้นี้มีนามว่า…หรงซิวหรือไม่?”
“ม่ายสาวโปรดระวังวาจา!”
หลินเทียนเฟิงตื่นตกใจตาโต พลันตวาดเสียงเข้มอย่างลืมตัว
“นามของโอรสสวรรค์ คิดว่าคนอย่างเราๆ สามารถเรียกได้ตามอำเภอใจหรือ?”
หัวใจของฉู่หลิวเยว่จมดิ่งลงทันที!
เป็นอย่างที่คิดจริงด้วย!
โอรสสวรรค์ผู้นี้…คือหรงซิวจริงๆ!
เช่นนั้นงานฉลองและการเลือกพระชายาที่พวกเขาพูดถึงเมื่อครู่ ก็เป็นเรื่องจริงทั้งหมดน่ะสิ?
ฉู่หลิวเยว่เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหลุดเสียงหัวเราะออกมา
ปรากฏว่าตอนนั้นที่เขาบอกว่ามีเรื่องยุ่งยากต้องจัดการ…ก็คือเรื่องนี้เองหรือ?
“ประมุขหลินโปรดอย่าถือสา ข้าแค่พลั้งปากถาม ไม่ได้มีเจตนาจะทำให้ขุ่นเคืองแต่อย่างใด”
ฉู่หลิงเยว่เอนหลังลงบนเก้าอี้ แล้วใช้มือข้างหนึ่งเคาะที่เท้าแขนเบาๆ พร้อมแย้มยิ้มบางเบา แต่กู๋ตูโม่เป่าที่นั่งอยู่ข้างๆ นางนั้น สัมผัสได้ถึงลมปราณอันเย็นยะเยือกที่แผ่ออกมาจากร่างของนางได้อย่างชัดเจน!
เขาขมวดคิ้วนิดๆ ดวงตาสีม่วงอันน่าหลงใหลคู่นั้นทอประกายวาววับ
“เมื่อครู่ก่อน ตอนที่ข้ากล่าวว่าข้าต้องรีบไปยังที่แห่งหนึ่ง ความจริงแล้วมันคือสถานที่เดียวกันกับที่ที่ประมุขหลินต้องไป ฉะนั้นหากประมุขหลินและนายน้อยสี่ไม่รังเกียจล่ะก็ เช่นนั้น…พวกเราก็เดินทางไปด้วยกันดีหรือไม่? เพราะถ้าทำแบบนี้ เราทั้งสองฝ่ายก็จะไปที่นั่นได้ทันเวลา และอีกนัยหนึ่ง ขณะเดินทางข้าเองก็จะได้คอยดูแลสภาพร่างกายของคุณชายสี่ไปด้วย และช่วยให้เขาฟื้นฟูโดยเร็วที่สุด ไม่ทราบว่าท่านทั้งสอง…มีความเห็นเยี่ยงไร?”
หลินเทียนเฟิงขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง พลันรู้สึกพอใจขึ้นมา
นี่เป็นแผนการเหมาะเจาะมากๆ
ก่อนจะหันไปมองฉู่หลิวเยว่ด้วยความตกใจอีกครา
“คุณหนูตู๋กู… จะไปที่ใดนะ?”
นั่นไม่ใช่สถานที่ที่ใครจะไปก็ได้เสียหน่อย!
ยิ่งไปกว่านั้น ตู๋กูเยว่ผู้นี้มาจากนอกพรมแดน ทำให้การเข้าไปยิ่งยากมากขึ้นกว่าเดิม
หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง หลินเทียนเฟยก็พูดว่า
“คุณหนูตู๋กู ที่เจ้าว่ามาก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ แต่มีข้อแม้ว่า หากเจ้าถึงที่นั่นแล้ว ข้าหลังว่าเจ้าจะรอให้ธุระของพวกข้าเสร็จสิ้นเสียก่อน แล้วค่อยมาพิจารณาเรื่องตามหาคนอีกที และเพื่อเป็นการชดเชย เมื่อถึงเวลานั้น ทางตระกูลหลินจะส่งคนช่วยออกตามหาสามีให้เจ้าอีกแรง เจ้าว่าเช่นไร?”
ขอเพียงแค่ไปร่วมงานฉลองวันคล้ายวันประสูติได้อย่างราบรื่น จากนั้นค่อยแอบไปตามหาคน และระวังไม่ทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตก็พอแล้ว
ฉู่หลิวเยว่แย้มยิ้มช้าๆ
“เช่นนั้นข้ากับพี่เป่าจักมอบของสมนาคุณล่วงหน้า ให้ประมุขหลินและคุณชายสี่ ณ ที่แห่งนี่เลยแล้วกัน! และท่านไม่ต้องกังวล ไม่ว่าจะหาเขาเจอหรือไม่ ข้ากับพี่เป่าจะไม่สร้างปัญหาให้พวกท่านแน่นอน!”
นางพูดพลางขยิบตาให้ตู๋กูโม่เป่า
“พี่เป่า ยังไม่รีบกล่าวขอบคุณอีกหรือ?”
ตู๋กูโม่เป่าสูดหายใจเข้าลึกๆ และหลับตาลงอย่างเหนื่อยหน่าย
“พี่เป่า? พี่เป่า?”
ฉู่หลิวเยว่บีบมือเขาเบาๆ
ตู๋กูโม่เป่าพลันลืมตาขึ้น ดวงตาของเด็กน้อยแข็งกร้าว แต่ละคำพูดฟังดูราวถูกบีบออกมาจากช่องไรฟันที่ขบกันเสียดสีกันอย่างไม่สบอารมณ์
“ขอบ คุณ!”
แม้ว่าเด็กน้อยจะทำหน้ามู่ทู่ แต่ดีที่รูปร่างอันอ้วนกลมและน้ำเสียงน่ารักๆ นั่น ได้ช่วยกลบความผิดปกนั่นเสียมิด แต่อีกนัยหนึ่ง มันก็ทำให้สองพ่อลูกตระกูลหลินสัมผัสได้ว่า เด็กคนนี้โกรธแค้น “บิดา” ผู้ไร้ความรับผิดชอบมากเพียงใด
เมื่อคิดเช่นนี้ หลินจือเฟยก็ได้แค่ถอนหายใจเบาๆ
“การเป็นแม่คนนั้นหนักหนาสากันยิ่งนัก”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มบาง และพอจะสัมผัสได้ว่ารัศมีอันน่ากลัวที่ตู๋กูโม่เป่าปล่อยออกมาค่อยๆ จางลงแล้ว แต่นางก็ไม่ได้ตอบอันใดกลับไป
“ถ้าอย่างนั้นก็เป็นอันตกลงตามนี้ และเพื่อความรอบคอบ เมื่อไปถึงที่นั่น เจ้าจะต้องไปในฐานะผู้ดูแลส่วนตัวของจือเฟย”
หลินเทียนเฟิงกล่าว
“เนื่องจากการเพิ่มอาคันตุกะโดยพลการ ถือเป็นเรื่องมิได้รับอนุญาต”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าแล้วกล่าวขอบคุณ
“ขอบพระคุณท่านประมุขหลิน ขอบพระคุณคุณชายสี่!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
ขอบคุณมากค่ะ สนุกมากกกค่ะ...
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...