หลังจากนั้นชั่วครู่ แม่นางร่างสูงเพรียวผู้หนึ่งก็เดินอย่างเนิบนาบเข้ามา
ท้องฟ้าด้านนอกมืดแล้ว นางสวมชุดกระโปรงสีขาว บนเอวคอดกิ่วผูกไว้ด้วยพู่หยกห้อยสีเขียวแกมน้ำเงิน และเรือนผมสีดำเงางามดั่งเส้นไหมก็พลิ้วไหวไปตามจังหวะก้าวเดิน
โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้นของนาง ใสซื่อบริสุทธิ์ตราตรึงใจ อ่อนโยนและนุมนวลดุจสายน้ำ ริมฝีปากแดงที่มักจะเชิดขึ้นอยู่ตลอดพกพาความมีไหวพริบแฝงติดมาอยู่บ้าง
รูปลักษณ์และเสน่ห์หมดจดเช่นนี้ เดิมย่อมนับว่าเป็นความงามอันหาผู้ใดมาแทนเทียบ น่าเสียดายที่เมื่อเทียบกับบุรุษตรงหน้านางอาจจะดูเฉยชาไปกว่าบ้าง
ผู้คนที่ได้เห็นรูปลักษณ์ดั่งเทพเซียนของหรงซิวมาแล้วก่อนหน้านี้ บัดนี้เมื่อพบเจอคนผู้อื่น ความรู้สึกตื่นตาประหลาดใจก็จางหายไปด้วย
ทว่า เมื่อเทียบกับแม่นางมากมายภายในโถงของตำหนักใหญ่แล้ว คนทั้งคู่ก็ยังงดงามกว่าเป็นไหนๆ
เมื่อมองเห็นผู้มาใหม่ ฉู่หลิวเยว่ก็หรี่ดวงตาคู่งามลงเล็กน้อย พลางยิ้มอย่างครุ่นคิด
คนผู้นี้คงจะเป็นผู้ที่ถูกกล่าวถึงหนาหูในข่าวลือ…คุณหนูใหญ่เจียงผู้นั้นกระมัง?
หรงซิวก้าวขายาวๆ กลับเข้ามาภายในโถงใหญ่ ทำประหนึ่งว่ามิได้สดับยินถึงคำพูดของนางก็มิปาน
เจียงจื่อหยวนตื่นตกใจไปชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นก็รีบตามเขาเข้ามาอย่างรีบร้อน
เมื่อครู่นางกำลังปรึกษาหารือเรื่องของสำนักวิชากับหรงซิวอยู่ฝั่งทางโน้น จากนั้นเยี่ยนชิงก็เดินกลับมา ไม่รู้ว่าเขาไปพูดอันใด หลังจากนั้นหรงซิวก็ดูจะสติไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว
ถ้าหากมิใช่เพราะกังวลเรื่องสำนัก เกรงว่าเขาอาจจะทนไม่ไหว และผุดลุกขอปลีกตัวออกไปตั้งนานแล้ว
จนกระทั่งเมื่อครู่นี้ งานเลี้ยงต้อนรับกำลังจะเริ่มแล้ว เขาจึงได้เดินก้าวฉับๆ อย่างรีบร้อนตรงมาทางนี้
ดูไปแล้วก็ราวกับเขากังวลว่าตนจะมางานสายก็มิปาน
ทว่านี่แหละ เป็นสิ่งที่น่าประหลาดที่สุด
หรงซิวฐานะสูงส่งดั่งโอรสสวรรค์ ต่อให้ปล่อยคนพวกนี้รออยู่ที่นี่ไปอีกสักชั่วยามหนึ่ง พวกเขาก็คงมิกล้าเอ่ยขัดอันใดมากมาย
ยิ่งไปกว่านั้น แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็มักวางแผนกลยุทธ์ในกระโจมค่าย มิเคยแสดงท่าทีเช่นนี้มาก่อน…
จะพูดอย่างใดดี นี่มันท่าทีที่ราวกับรีบร้อนไปทำเรื่องสักเรื่องก็มิปานน่ะ
เจียงจื่อหยวนยังไม่ทันจะได้ออกปากถามให้ละเอียด ก็จำต้องรีบเดินรุดตามมาเสียแล้ว
นางมองตามครรลองสายตาของหรงซิวเข้าไปตามทิศทางในโถงตำหนักใหญ่โดยสัญชาตญาณ
น่าเสียดายที่ภายในโถงนั้นมีคนมากมายเกินไป นางจึงมองได้ไม่ชัดนักว่าหรงซิวกำลังมองใครอยู่กันแน่
บัดนี้เองผู้คนภายในโถงตำหนักใหญ่ก็ตอบสนองกันโดยไว และพากันรีบร้อนหยัดกายลุกขึ้นคำนับ
“พระโอรสเสด็จแล้ว!”
ก่อนหน้านี้ บรรดาประมุขและผู้นำตระกูลส่วนใหญ่เคยพบเจอหรงซิวมาแล้ว ยามนี้จึงมิได้ตื่นตระหนกตกใจอันใด
ทว่าแม่นางจำนวนมากที่มารวมตัวกันอยู่ ณ ขณะนี้ เพิ่งเคยได้เจอโอรสสวรรค์ในข่าวลือเป็นครั้งแรก
คนจำนวนไม่น้อยล้วนใบหน้าขึ้นสี ดวงตาเบิกกว้างยามจดจ้องไปยังบุรุษที่กำลังก้าวเข้ามา
ช่างน่ายำเกรง!
และน่าหวาดหวั่น!
ข้างนอกต่างมีข่าวลือหนาหูว่าโอรสสวรรค์ผู้นี้เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ โหดเหี้ยมอำมหิต เป็นพวกเผด็จการชอบกดขี่ข่มเหง!
ดังนั้นเมื่อพูดถึงเขา ภาพแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวของคนส่วนใหญ่คือเป็นผู้น่ายำเกรง!
ทว่าบัดนี้เมื่อพบเห็นด้วยตาของตนแล้ว ก็รู้ได้ว่าโอรสสวรรค์ผู้นี้มีรูปลักษณ์งดงาม ไร้ผู้ใดเทียบเทียม!
แค่ใบหน้าที่ราวกับเทพเซียนดวงนั้น ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ในใจของแม่นางจำนวนมากเต้นระส่ำ
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเป็นผู้สูงศักดิ์ที่ซึ่งกุมอำนาจทุกอย่างไว้ในมือ!
บุรุษเช่นนี้ จะมีแม่นางสักกี่คนเชียวที่ไม่หวั่นไหวต่อความงามของเขา?
หลังจากนั้นไม่นาน ท่ามกลางสายตานับไม่ถ้วนที่กำลังจับจ้อง หรงซิวพลันก้าวเปลี่ยนทิศ มุ่งหน้าไปยังอีกทิศทางหนึ่ง
เพราะแบบนั้นเอง สายตาของคนทุกผู้ ก็ล้วนมองตามเขาไปด้วยเช่นกัน
“นี่…เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าพระโอรสกำลังเดินมาทางพวกเราล่ะ!?”
แม่นางผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ข้างฉู่หลิวเยว่หน้าแดงก่ำ นัยน์ตาเบิกกว้างพลางพึมพำเสียงเบา
“จะเป็นไปได้อย่างใด!? พระโอรสเป็นคนประเภทใด เหตุใดจึงได้…เดี๋ยวนะ! เขาเดินมาทางนี้จริงด้วย!”
“เขากำลังมองใครน่ะ!? คงไม่ใช่ว่ากำลังมองพวกเราหรอกกระมัง?”
คุณหนูอีกสองนางที่เหลือเองก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา
มีเพียงตู๋กูเยว่ที่หลุบตาลง มือก็รินสุราจอกหนึ่งให้ตนอย่างผ่อนคลาย
“ประมุขหลิน”
หรงซิวเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของหลินเทียนเฟิง ก่อนจะเอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงเฉยชา
“ฝ่า ฝ่าบาท!?”
บัดนี้ในใจหลินเทียนเฟิงเองก็เปี่ยมไปด้วยความตื่นตะลึง รีบร้อนหยัดกายลุกขึ้น
“หลินเทียนเฟิงแห่งผาแดนสวรรค์ ถวายบังคมพระโอรส พ่ะย่ะค่ะ!”
หลินเทียนเฟิงเองก็เป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพเช่นกัน และในฐานะของผู้นำหุบผา โดยปกติแล้วลมปราณและรัศมีแรงกดดันของเขานั้นไม่อ่อนแอเลย
“ประมุขหลินมิต้องเป็นกังวลไป ข้าเพียงแค่คิดอยากถามไถ่เท่านั้น มิได้มีเจตนาอื่นใด”
ริมฝีปากบางของหรงซิวยกขึ้นเล็กน้อย สายตาของเขาเบนออกไป ครรลองเลื่อนสบเข้ากับผู้คนที่อยู่เบื้องหลังของหลินเทียนเฟิง
“ท่านเหล่านี้คงเป็นผู้ที่ติดตามมาด้วยกันกับประมุขหลินกระมัง”
หลินเทียนเฟิงรีบหันศีรษะไปโดยพลัน รีบขยิบส่งสายตาให้คนเหล่านั้น
คนเหล่านั้นที่ยังคงเหม่อไม่รู้สึกตัว จึงทยอยพากันคำนับทีละคน
“ถวายบังคมพระโอรสเพคะ!”
คุณหนูผู้หนึ่งในบรรดาคนเหล่านั้นเอื้อนเอ่ย แต่อาจเป็นเพราะประหม่าเกินไป นางจึงเผลอทำโต๊ะที่อยู่ข้างหน้าตนขยับไปด้วย
ฉู่หลิวเยว่เพิ่งรินสุราได้ที ยังไม่ทันจะได้หยิบขึ้นมา สุราก็กระฉอกออกมาเสียครึ่งจอก
คิ้วกระบี่ของหรงซิวเลิกขึ้น
“คุณหนูเหล่านี้เป็นคนของผาแดนสวรรค์ทั้งหมดเลยหรือ?”
ในใจหลินเทียนเฟิงตื่นตระหนก เขารีบผงกหัวรับโดยพลัน จากนั้นก็รีบร้อนตอบไปว่า
“สามคนนี้ใช่ แต่คุณหนูตู๋กูนั้นมิใช่”
ในนัยน์ตาของหรงซิวพลันมีประกายสนใจใคร่รู้วาบผ่าน
“คุณหนู…ตู๋กูหรือ?”
หลินเทียนเฟิงหันศีรษะไปโดยสัญชาตญาณ กลับพบภาพที่ทุกคนนั้นล้วนยืนคำนับกันพร้อมเพรียง มีเพียงฉู่หลิวเยว่ที่ยังคงนั่งอยู่
นางไม่คิดจะเงยศีรษะขึ้นมาด้วยซ้ำ อีกทั้งยังกำลังรินสุราให้ตัวเองอยู่
หางตาของหลินเทียนเฟิงกระตุกอย่างแรง
นี่มันยามไหนเข้าไปแล้ว นางยังนั่งดื่มสุราอย่างสบายอารมณ์เช่นนั้นอีก!?
นางรู้หรือไม่กันแน่ว่าคนตรงหน้าคือโอรสสวรรค์น่ะ!
“คุณหนูตู๋กู ดูท่าจะมิค่อยมีความสุขเท่าใดที่ได้เห็นโถงตำหนักใหญ่นี้?”
ฉู่หลิวเยว่จึงได้ตวัดสายตาขึ้นมาพลางหัวเราะเล็กน้อย ดวงตาคู่นั้นของนางเปล่งประกายเสียยิ่งกว่าจอกสุราที่สะท้อนแสงไฟอยู่ในมือนางเสียอีก และเป็นประกายเสียจนทำให้ผู้คนลุ่มหลงได้
นางฉีกยิ้มพลางกล่าว
“พระโอรสทรงเข้าใจผิดแล้ว”
“เมื่อครู่ข้าแค่มองไม่เห็นท่านเพียงเท่านั้น”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
ขอบคุณมากค่ะ สนุกมากกกค่ะ...
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...